หวังให้พ่อแม่ยอมส่งลูกไปโรงเรียน ตามแผนการของรัฐบาลที่ต้องการเปิดสถานศึกษาทั่วประเทศ

หวังให้พ่อแม่ยอมส่งลูกไปโรงเรียน ตามแผนการของรัฐบาลที่ต้องการเปิดสถานศึกษาทั่วประเทศ

ที่มาภาพ : unsplash-Colin Watts

แปลและเรียบเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา

 

รัฐบาลอังกฤษเตรียมฟื้นกฎหมายคำสั่งปรับพ่อแม่ที่ไม่ยอมส่งบุตรหลานไปเรียนที่โรงเรียนนับตั้งแต่เดือนกันยายนขึ้นมาใช้อีกครั้ง หลังระงับไปเพราะ COVID-19 หวังให้พ่อแม่ยอมส่งลูกไปโรงเรียน ตามแผนการของรัฐบาลที่ต้องการเปิดสถานศึกษาทั่วประเทศในเดือนกันยายน

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The Guardian ของอังกฤษ รายงานว่า บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ส่งลูกหลานไปโรงเรียนในภาคเรียนการศึกษาใหม่ที่จะเปิดขึ้นอีกครั้งหลังวิกฤต COVID-19 คลี่คลาย จะโดนคำสั่งปรับจากทางการ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุผลอันสมควรที่ไม่ส่งลูกไปโรงเรียน

กระทรวงศึกษาธิการอังกฤษ เปิดเผยว่า เตรียมวางแผนออกมาตรการเชิงบังคับให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องส่งลูกหลานไปโรงเรียนให้กับทางรัฐบาลพิจารณาตัดสินใจภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้ทันในการบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนการเปิดโรงเรียนทั่วไปประเทศในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือ เดือนกันยายน เป็นต้นไป 

รายงานระบุว่า ทางกระทรวงเตรียมพิจารณาออกคำสั่งบังคับให้เด็กทุกคนต้องกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ยกเว้นว่า จะมีเหตุผลสมควรที่ทำให้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ อย่างเช่น มีอัตราการระบาดของ COVID-19  เพิ่มขึ้นภายในพื้นที่หรือชุมชน ที่เด็กนักเรียนอาศัยอยู่

Gavin Williamson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอังกฤษ กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ท้องถิ่นว่า เป้าหมายหลักก็เพื่อให้เด็กๆ ได้กลับไปเรียนหนังสือทุกคน จึงจำเป็นต้องมีคำสั่งบังคับ และต้องกำหนดบทลงโทษตามมาสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน เพื่อให้การดำเนิการเป็นไปอย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวได้รับการคัดค้านจากบรรดาครูใหญ่ในโรงเรียนต่างๆ รวมถึง เหล่าสมาชิกสหภาพครูทั่วประเทศ โดยทั้งหมดเห็นตรงกันว่า เหล่าพ่อแม่ต่างวิตกกังวลอยู่แล้วในเรื่องการส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียน เพราะห่วงด้านความปลอดภัย ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรลงมือไมใช่การบังคับและเพิ่มบทลงโทษ แต่เป็นการหาทางสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บรรดาพ่อแม่ว่า ลูกๆ จะยังคงปลอดภัย หากต้องกลับมาเรียนหนังสือที่โรงเรียน 

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการระบาดของโรค COVID-19 อังกฤษก็มีกฎหมายสั่งปรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ส่งบุตรหลานไปโรงเรียนอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ ทางการมีคำสั่งระงับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในช่วงวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ ทำให้ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่มีการเปิดโรงเรียนบางส่วน พ่อแม่ผู้ปกครองมีสิทธิตัดสินใจว่าจะให้ลูกกลับไปเรียนที่โรงเรียนหรือไม่ 

ก่อนหน้านี้ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ได้ส่งสัญญาณเตรียมทบทวนพิจารณารื้อฟื้นคำสั่งปรับของการไม่ไปโรงเรียนให้กลับมาใช้อีกครั้งในเดือนกันยายน หลังจากที่โรงเรียนจะกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ และมีกฎหมายบังคับให้เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน

สำหรับกฎหมายที่กำหนดก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของ COVID-19 เด็กนักเรียนสามารถขาดเรียนได้ก็ต่อเมื่อป่วยหนักจนไม่อาจเข้าร่วมชั้นเรียนได้ หรือได้รับอนุญาตยินยอมจากครูใหญ่ของทางโรงเรียนเท่านั้น โดยพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ยอมส่งลูกไปโรงเรียนจะโดนปรับเป็นเงิน 60 ปอนด์ (ราว 2,300 บาท) และค่าปรับจะเพิ่มสูงสุดถึง 120 ปอนด์ (ราว 4,600 บาท) หากว่าพ่อแม่ไม่ยอมจ่ายค่าปรับภายใน 21 วัน อีกทั้งทางอัยการยังมีสิทธิดำเนินการตามกฎหมาย หากยังไม่ยินยอมจ่ายค่าปรับ

Patric Roach เลขาธิการกลุ่มสหภาพครู NASUWT กล่าวว่า ทางกระทรวงและบรรดารัฐมนตรี ควรให้ความสนใจกับการพยายามหาทางเรียนความเชื่อมั่นไว้วางใจจากบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนมากกว่า 

“พ่อแม่หลายคนต่างต้องการหลักประกันที่จะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าการส่งลูกไปโรงเรียนจะปลอดภัยแน่นอน อีกทั้งพวกเขาจำเป็นต้องรู้ทุกขั้นตอนการดำเนินการที่จำเป็นและเหมาะสมทุกอย่างที่จะทำให้โรงเรียนปลอดภัยจาก COVID-19” Patric Roach กล่าว

ทางตัวแทนจากสหภาพครูระบุว่า รัฐบาลควรคิดพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะออกบทลงโทษพ่อแม่ ขณะที่ทางรัฐบาลเองยังไม่มีการอธิบายแผนการใดๆ ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปิดโรงเรียนในเดือนกันยายน เนื่องจากประเด็นด้านความปลอดภัยของตัวเด็ก เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้พ่อแม่ผู้ปครองยินยอมส่งลูกไปโรงเรียนด้วยความเต็มใจ 

ด้าน Geoff Barton เลขาธิการสมาคมครูและผู้นำวิทยาลัย (Association of School and College leaders) กล่าวว่า การออกคำสั่งปรับพ่อแม่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการจัดการให้เด็กเดินทางมาเข้าเรียนที่โรงเรียน พร้อมเตือนให้รัฐบาลอย่าคาดหวังว่าทางโรงเรียนทุกแห่งจะปฎิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว หากว่ารัฐบาลมีคำสั่งปรับจริง

ทั้งนี้ ทางสมาคมครูและผู้นำวิทยาลัย ได้เรียกร้องขอให้ทางรัฐบาลนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เข้าใจถึงความเป็นจริงของสถานการณ์ และแนะนำให้ทางรัฐพิจารณากำหนดให้มีช่วงระยะเวลาผ่อนปรนจนกว่าที่สถานการณ์ COVID-19 จะคลี่่คลาย และกลับคืนสู่ภาวะปกติอย่างแท้จริง

ขณะที่ Kevin Courtney เลขาธิการร่วมสหภาพการศึกษาแห่งชาติ (National Education Union) เสริมว่า แนวทางที่รัฐบาลควรทำก็คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับทางพ่อแม่ผู้ปกครองในเชิงสร้างสรรค์และสนับสนุนอย่างเต็มที่ ประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ในการเป็นหลักฐานรับรองความปลอดภัย ดีกว่าการออกคำสั่งปรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาล

ที่ผ่านมา รัฐบางอังกฤษตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย กรณีขาดมาตรการและแผนการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมชัดเจนด้านการศึกษา หลังมีคำสั่งปิดโรงเรียนสกัดการระบาดของ COVID-19 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก่อนจะมีคำสั่งให้เปิดในเดือนมิถุนายน ทว่า ภายหลังเปิดเทอมได้ไม่กี่วัน โรงเรียนบางแห่งต้องสั่งปิดโรงเรียน เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย

โดยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาอังกฤษได้ออกมายอมรับว่า แผนการเปิดโรงเรียนของรัฐบาลในวันที่ 1 มิถุนายน ถือเป็นแผนการที่ใจเร็วด่วนได้ไป กระนั้น การเปิดโรงเรียนภายในเดือนกันยานเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำและสามารถทำได้ เพื่อให้เด็กนักเรียนทั่วอังกฤษได้รับประโยชน์จากเรียนตามหลักสูตรของประเทศ

“ขณะนี้ จนถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเด็กนักเรียนเกือบ 1.5 ล้านคนทั่วประเทศสามารถกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้แล้ว และผมก็อยากเห็นตัวเลขจำนวนเด็กนักเรียนเพิ่มขึ้นในทุกสัปดาห์ ก่อนที่เด็กทุกคนจะต้องกลับมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนภายในเดือนกันยายน” Gavin Williomson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอังกฤษกล่าว 

ข้อมูลสถิติจนถึงวันที่ 18 มิถุนายน ของรัฐบาลอังกฤษ พบว่า ราว 34% ของเด็กนักเรียนเกรด 6 ทั่วประเทศ ได้เดินทางมาเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 26% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า

 

ที่มา : Fines for school non-attendance in England to resume from autumn