‘สาวม้ง’ สู้ชีวิต ใฝ่ดี ขอมุ่งศึกษา เพิ่มโอกาสต่อยอดฝัน

‘สาวม้ง’ สู้ชีวิต ใฝ่ดี ขอมุ่งศึกษา เพิ่มโอกาสต่อยอดฝัน

‘โลกสุดสวยอันแสนกว้างไกล มวลพิษภัยดูมากมี แต่ชีวิตในโลกทุกชีวียังต้องมีดิ้นรน
ผึ้งน้อยตัวหนึ่งนี้ ดิ้นหนีพิษภัยที่ผจญ ต้องทุกข์ต้องทน เพื่อชีพตนและคนร่วมเดิน’

เพลง ‘โลกของผึ้ง’ ของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ กังวานก้องสะกดคนทั้งหอประชุมในงาน ‘ปลุกพลัง สร้างโอกาสแห่งอนาคต กับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง’ เวทีจังหวัดพิษณุโลก เป็นการเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตนผ่านบทเพลง โดย ‘น้องนุ’ ลักษิกา แสงยางใสสะอาด นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง รุ่น 1 ชั้นปวส.ปี 1
สาขาการแพทย์แผนไทย วิทยาลัยชุมชนตาก

“เพลงนี้หนูได้ยินตอนไปทำงานร้านอาหารที่แม่สอด ฟังครั้งแรกแล้วร้องไห้ รู้สึกว่าตรงกับชีวิตเรา เพลงมันถ่ายทอดทุกคำพูดทุกความรู้สึกในใจหนู เหมือนเป็นภาพแทนชีวิตเรา” น้องนุกล่าวถึงบทเพลงที่มีความหมายกับชีวิตของเธอจึงได้เลือกนำมาใช้ขับร้องแทนความรู้สึกในใจที่อยากถ่ายทอดถึงทุกคน

น้องนุ เล่าถึงเรื่องราวตัวเองว่า เธอมาจากครอบครัวชาวม้ง ซึ่งแต่ละบ้านจะมีลูกหลายคนอายุไล่เลี่ยกันชนิดปีชนปี
ด้วยเป็นพี่คนโตในจำนวนพี่น้อง 6 คน เธอจึงเติบโตมากับการเสียสละ หลายครั้งต้องละทิ้งความฝันความตั้งใจ ความอยากได้อยากเป็นของตัวเอง ก็เพราะคิดว่าน้องต้องได้รับก่อนเสมอ

ความที่เรายากจน ไม่มีเงินเพียงพอ สิ่งต่างๆ ในครอบครัวก็ต้องแบ่งปันกัน ทั้งของเล่น ของใช้ ของกิน และโอกาส
สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังอยู่ในความคิดของหนูเสมอมา และเป็นแรงผลักดันในใจว่าสักวันหนึ่ง เราจะต้องสร้างทุกสิ่งให้ตัวเองและน้องๆ ได้มีเหมือนคนอื่น

“ความลำบากคือแรงผลักให้หนูขยันเรียน พร้อมกับความคิดว่าเราอยากหาเงินได้เร็วๆ จึงเริ่มออกไปทำงานรับจ้างทำไร่ในละแวกบ้านตั้งแต่เรียนชั้น ป. 5 ได้เงินวันละหนึ่งถึงสองร้อย นำมาแบ่งใช้กับน้องๆ จากนั้นหนูก็ทำงานมาตลอดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ถ้ามีใครเรียกให้ไปทำงานที่ไหนเราก็ไป นอกจากทำไร่ทำนาหนูก็ใช้ความสามารถด้านการพูดและการร้องเพลงไปแสดงตามงานต่างๆ พอมีรายกลับมาบ้าง” น้องนุเล่า

จากที่ทำงานได้ค่าแรงวันละ 100-200 ตั้งแต่อายุ 11 จุดเปลี่ยนของชีวิตมาถึงเมื่อเรียนใกล้จบชั้น ม.6 ที่น้องนุอายุครบ 18 ปี ทำให้สามารถสมัครเข้าทำงานในสถานประกอบการได้ตามกฎหมาย เธอได้งานเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า ได้รับเงินเดือนราว 7,000- 8,000 บาท นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้จับเงินก้อนใหญ่จากน้ำพักน้ำแรงการทำงาน

“ก่อนหน้านั้นที่ทำงานมา เรารู้สึกว่าทำงานแล้วไม่เคยมีเงินเหลือ ไม่เคยได้เห็นเงินเป็นก้อนๆ แล้วมาช่วงที่เราจบ ม.6 เราไปทำงานแล้วได้เงินเดือนครั้งแรก รู้สึกว่ามันเยอะจังเลย เราสามารถแบ่งให้น้อง ให้แม่ใช้ เงินก้อนนี้ทำให้เราเริ่มคิดว่าอยากจะหยุดเรียนแล้วไปทำงานอย่างเดียว เพราะมันเห็นผลแล้วว่าทำให้ครอบครัวเราดีขึ้นได้” น้องนุเผยอย่างภูมิใจ

ที่สำคัญยังเป็นช่วงเดียวกันกับที่หนูสมัครเป็นนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้น สูงเอาไว้ และกำลังรอผลอยู่
วันหนึ่งอาจารย์ที่วิทยาลัยเขาก็โทรมาบอกว่าเราผ่านการคัดเลือก และนัดวันเยี่ยมบ้าน ความที่ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงปรับตัวกับงาน ตื่นเต้นกับเงินที่ได้รับ และคิดถึงความยุ่งยากที่จะต้องลางานพาอาจารย์ไปที่บ้าน จึงเลือกปฏิเสธอาจารย์ไป

“หนูคิดแค่ว่าหนูต้องทำงาน ไม่มีเวลา แล้วคิดว่าเราทำงานได้เงินแล้วทำไมถึงต้องเรียนอีก เรียนไปแล้วจบมาก็ต้องทำงานอยู่ดี เราไม่อยากทิ้งเงินก้อนไปเลยคิดว่าเลือกทำงานตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า” น้องนุเผยเหตุผล

แต่ด้วยคำพูดจากอาจารย์และแม่ของน้องนุที่เตือนให้มองเห็นหนทางข้างหน้าที่ชีวิตจะต้องเติบโตขึ้น ต้องพานพบกับความเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย แล้วเมื่อถึงวันนั้นการศึกษาจะเป็นสิ่งเดียวที่คนเราจะสามารถใช้เป็นที่พึ่งในการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

หลังจากที่น้องนุปฏิเสธทุนไป อาจารย์ก็โทรกลับมาอีกครั้ง แนะนำให้ลองคิดดูดีๆ ถึงอนาคตว่ามันยังอีกยาวไกล การที่วันนี้เราทำงานได้เงินแล้วก็จริงแต่เราจะอยู่แบบนี้ต่อไปเท่านั้นเองหรือ ถ้าเราเลือกทำงานด้วยความรู้เท่านี้วุฒิการศึกษาเท่านี้ ค่าตอบแทนมันก็จะคงที่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือเพิ่มขึ้นก็ไม่มากกว่าเดิมเท่าไหร่ แต่ถ้าได้เรียนจบสูงขึ้นจะมีทางเลือกอีกมากมาย จากนั้นอาจารย์ให้น้องนุทบทวนความคิดใหม่

“จากคำพูดของอาจารย์ หนูจึงนำเรื่องไปปรึกษาแม่ว่าจะเรียนต่อหรือเลือกทำงานเพื่อส่งเสียครอบครัวต่อไป คำตอบของแม่คือท่านบอกว่า ชีวิตนี้พ่อกับแม่ให้หนูได้แค่เกิดมา แต่อย่างอื่นแม่ให้ไม่ได้ ดังนั้นถ้ามีคนมอบโอกาสให้เรา ให้เราได้มีการศึกษาเพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ทำไมเราถึงจะไม่คว้าโอกาสเอาไว้ เราไปเรียนดีกว่าไหมลูก เพราะสิ่งที่แม่อยากเห็นคือหนูสามารถไปได้ไกลที่สุด ดูแลตัวเองได้ดีที่สุดและมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น” น้องนุ เล่า

จากคำพูดของแม่ทำให้น้องนุฉุกคิด ว่าเราควรจะเริ่มต้นที่การรักตัวเอง แล้วยิ่งถ้าเรารักครอบครัว อยากให้พวกเขาสบาย เราต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เราถึงจะไปช่วยคนอื่นได้ เลยกลับมาคิดว่าเราจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปหรือ
เป็นลูกจ้าง กินเงินเดือน ทั้งที่เราเชื่อในความสามารถตัวเองตั้งหลายอย่าง ในเมื่อมีคนที่เขาให้โอกาสเราได้เรียนรู้พัฒนาความสามารถที่มีได้มากกว่านี้ เพื่อไปต่อเติมความฝันของเรา ทำไมเราถึงจะไม่รับเอาไว้ จากวันนั้นทำให้ความคิดดังกล่าว เป็นที่มาของการตัดสินใจเข้าเรียนในสาขาวิชาการแพทย์แผนไทยของน้องนุ ที่เธอบอกว่าเพื่อนำความรู้ความชำนาญมาประกอบสร้างความฝันของเธอให้เป็นรูปเป็นร่าง นั่นคือการเปิดกิจการ ‘ร้านสมุนไพรไทยแบบครบวงจร’

“หนูเป็นคนชอบเรื่องต้นไม้ เรื่องสมุนไพร เนื่องจากโตมากับคุณย่าที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรพื้นบ้านของชนเผ่าม้ง เด็กๆ เวลาป่วยคุณย่าจะเอาสมุนไพรมาต้มให้เรากิน เราก็เริ่มสนใจว่าพืชที่มีอยู่รอบตัวทำไมถึงเอามาใช้รักษาเราได้ พอได้มาเรียนสาขาการแพทย์แผนไทย ก็คิดว่าตอบโจทย์ในสิ่งที่เราอยากรู้ หนูสนใจเรื่องสมุนไพรที่มีสรรพคุณเฉพาะทางของแต่ละท้องถิ่น ตั้งใจว่าเมื่อเรียนจบจะนำความรู้ด้านสมุนไพรทั้งของม้งและในท้องถิ่นอื่นๆ มาเปิดร้านของตัวเอง ปลูกสมุนไพรสดเพาะพันธุ์ขาย ทำเป็นผลิตภัณฑ์ของเรา แล้วอยากให้เป็นร้านสมุนไพรแบบครบวงจร มีนวดไทย มีการรักษาตามวิธีการแพทย์แผนไทยที่ครบทุกอย่าง” น้องนุวางแผนอนาคต