นักเรียนชาวอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งยังคงเลือกที่จะเรียนหนังสือทางไกล ไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยยุคโควิด-19

นักเรียนชาวอเมริกันเกือบครึ่งหนึ่งยังคงเลือกที่จะเรียนหนังสือทางไกล ไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยยุคโควิด-19

ผลสำรวจทางเลือกในการเรียนหนังสือในยุคโควิด-19 ระบาดของนักเรียนชาวอเมริกันทั่วประเทศพบเกือบครึ่งหนึ่งยังคงเลือกที่จะเรียนหนังสือทางไกล เพราะยังไม่มั่นใจต่อความปลอดภัยของสถานการณ์การระบาดในพื้นที่ แม้ว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ภายในประเทศจะเปิดทำการเรียนการสอนแบบเต็มเวลาอีกครั้งแล้วก็ตาม 

ทั้งนี้ สร้างความหวั่นใจให้กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษา รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่เกรงว่าการเรียนออนไลนที่ยืดเยื้อกินระยะเวลายาวนานขึ้นจะส่งผลต่อความสามารถในการพัฒนาทักษะวิชาความรู้และสภาพจิตใจของเด็กนักเรียน แถมผลสำรวจยังพบว่า นักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เป็นนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่เลือกเรียนจากที่บ้านมากที่สุด เพราะนอกจากจะกังวลกับเรื่องไวรัสแล้ว ยังต้องเผชิญกับกระแสเหยียดเชื้อชาติที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในสังคมชาวอเมริกันอยู่ในขณะนี้

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ รายงานอ้างผลการสำรวจที่เผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ ที่พบว่า มีนักเรียนจำนวนมากที่จะยังไม่กลับไปเรียนในห้องเรียน แม้ว่าโรงเรียนเกือบครึ่งหนึ่งทั่วประเทศได้เปิดทำการเรียนการสอนแบบเต็มเวลาแล้วสะท้อนให้เห็นว่า ในอเมริกายังคงมีการถกเถียงกันในเรื่องความปลอดภัยในการเปิดโรงเรียนใหม่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส แม้ว่าอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศจะลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่มาตรการสำคัญในการเปิดโรงเรียนก็กลับแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย จนไม่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครอง

โดย การสำรวจพบว่า ขณะนี้ โรงเรียนรัฐบาลเกือบ 46% เปิดทำการเรียนการสอนในห้องเรียน 5 วันต่อสัปดาห์ให้กับนักเรียนทุกคนในเดือนกุมภาพันธ์ แต่มีนักเรียนเพียง 34% ที่เข้าเรียนเต็มเวลาในห้องเรียน อีกทั้ง นักเรียนที่เข้ามาเรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนผิวขาวมากกว่านักเรียนผิวสี ละตินและเอเชีย

ผลสำรวจชี้ว่านักเรียนผิวขาวยังคงมีแนวโน้มที่จะกลับมาเข้าเรียนมากกว่า โดย 52% ของนักเรียนเกรด 4 ที่เป็นคนผิวขาวกลับเข้าเรียนเต็มเวลา เทียบกับนักเรียนระดับระดับชั้นเดียวกันที่เป็นคนผิวดำและละตินอเมริกาที่เข้าเรียนเต็มเวลาน้อยกว่า 33% ส่วนนักเรียนเอเชียมีอัตราส่วนนี้ที่ 15%

ขณะเดียวกัน ช่องว่างดังกล่าวในหมู่นักเรียนอนุบาลจนถึงนักเรียนเกรด 12 หรือเทียบเท่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 เห็นเด่นชัดที่สุดในหมู่นักเรียนในชั้นเรียนที่สูงขึ้น  โดยมีเพียง 29% ของนักเรียนเกรด 8 หรือเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่กลับไปเรียนในโรงเรียน 5 วันต่อสัปดาห์

รายงานระบุว่า การสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่า อัตราดังกล่าวห่างจากเป้าหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งต้องการให้โรงเรียนประถมศึกษาส่วนใหญ่เปิดเรียน 5 วันต่อสัปดาห์ในการเข้ารับตำแหน่ง 100 วันแรกของเขา โดยอัตราการเปิดสอนของโรงเรียนแทบจะเหมือนกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม ในหมู่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (เกรด 8) มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากการเรียนออนไลน์ที่บ้านไปเป็นการเรียนแบบไฮบริด หรือการเรียนผสมผสานในรูปแบบใหม่ ที่มีทั้งการเรียนออนไลน์และการเรียนในชั้นเรียนควบคู่กันไป โดยผลสำรวจพบว่า 60% ของเด็กประถม 4 และ 68% ของเด็กมัธยม 2 เรียนหนังสือผสมระหว่างเรียนออนไลน์กับเรียนที่โรงเรียน

อย่างไรก็ตาม ผลของการสำรวจไม่ได้ระบุว่านักเรียนที่เรียนออนไลน์นั้นเรียนโดยการเลือกหรือเรียนเนื่องจากทางโรงเรียนยังไม่มีการเรียนการสอนในชั้นเรียน แต่เป็นที่ชัดเจนว่านักเรียนบางคนก็เลือกที่จะเรียนอยู่ที่บ้าน แม้ว่าโรงเรียนของพวกเขาจะเปิดสอนแล้วก็ตาม

Andy Slavitt ที่ปรึกษาด้านโควิด-19 ของทำเนียบขาว อธิบายถึงผลสำรวจนี้ในการบรรยายสรุปเกี่ยวกับโคโรนาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลสนับสนุนในช่วงต้นที่ครอบคลุมเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าไปสู่เป้าหมายของประธานาธิบดีที่จะให้โรงเรียนระดับชั้นอนุบลถึงชั้นประถมเกรด 8 เปิดเรียน 5 วันต่อสัปดาห์

ด้าน Dennis Roche ประธาน Burbio บริษัทที่ดำเนินการสำรวจข้อมูลในครั้งนี้ระบุว่า การศึกษาของสหรัฐฯ ยังคงห่างไกลจากภาวะปกติอยู่มาก

ข้อมูลนี้มาจากการสำรวจโรงเรียนรัฐบาล 3,500 แห่งทั่วประเทศที่สอนนักเรียนเกรด 4 (ประถมศึกษาปีที่ 4) และ 3,500 แห่งที่สอนนักเรียนเกรด 8 (มัธยมศึกษาปีที่ 2) โดยอิงข้อมูลจากโรงเรียนใน 37 รัฐที่ตกลงเข้าร่วมการสำรวจ เพื่อประเมินความคืบหน้าในการเปิดโรงเรียนอีกครั้ง

ทั้งนี้ ตลอดช่วงการแพร่ระบาด บรรดานักการศึกษาได้พูดถึงความจำเป็นในการจัดลำดับความสำคัญของนักเรียนบางคนสำหรับการเรียนการสอนตัวต่อตัว โดยผลการสำรวจพบว่า 44%ของโรงเรียนให้ความสำคัญกับนักเรียนชั้นประถม 4 ที่มีความพิการ โดยประมาณ 1 ใน 4 ของการจัดลำดับความสำคัญให้ภาษาอังกฤษอยู่ลำดับแรกสุดของผู้เรียน ส่วนนักเรียนที่มีผลการเรียนต่ำ นักเรียนที่ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้าน และนักเรียนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งมีสัดสวนที่สูงกว่าที่ต้องการการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัว ในระดับมัธยม 2

ผลการสำรวจครั้งนี้ มีขึ้นในขณะที่โรงเรียนทั่วสหรัฐฯทยอยเปิดเรียนแบบเต็มเวลาได้อีกครั้ง เนื่องจากมีครูจำนวนมากขึ้นได้รับวัคซีน และบางรัฐยังผ่อนคลายนโนบายเว้นระยะห่างทางสังคมอีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ได้จัดทำคู่มือแนะนำให้โรงเรียนรัฐทั่วประเทศสามารถเปิดทำการเรียนการสอนได้อย่างปลอดภัยโดยการใช้หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม และข้อควรระวังอื่นๆ

ที่มา : Nearly half of schools are open full-time, survey finds