7 สุดยอดแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อการศึกษาประจำปี 2021

7 สุดยอดแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อการศึกษาประจำปี 2021

เมื่อการเรียนออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่ง และมีแนวโน้มจะเป็นส่วนสำคัญของการเรียนในอนาคต ดังนั้นจึงมีเว็บไซต์และแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์เกิดขึ้นมากมาย กลายเป็นทางเลือกที่มีไม่หวาดไม่ไหว งานนี้ทางเว็บไซต์ VeryWell Family จึงได้รวบรวมและประมวล 7 เว็บไซต์ที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนออนไลน์ประจำปี 2021 เพื่อเป็นทางเลือกในการเรียนออนไลน์ หรือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับการ upskill และ reskill ของผู้ที่สนใจ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การเรียนการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีเป้าหมายเพื่อการเรียนอย่างจริงจัง หรือเพื่อลองหาหัวข้อที่สนุกหรือน่าสนใจ แพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก เพราะสามารถจัดตารางเรียนได้ตามตารางเวลาในชีวิตประจำวันของตนเอง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นทางเลือก ดังนั้น วิชาที่เรียนหรือคอร์สเรียนส่วนใหญ่ หากไม่ใช่ช่องทางที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใช้เพื่อการสอน มักจะเป็นวิชาทางเลือกหรือวิชาเพื่อสอนเสริมให้ผู้เรียนได้ทบทวนหรือมีความเข้าใจในสิ่งที่ตนเองเรียนลึกซึ้งมากขึ้น หรือเป็นวิชาที่เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ น่าศึกษาเรียนรู้ หรือไม่สามารถหาเรียนได้ตามสถาบันการศึกษาทั่วไป

ด้วยเงื่อนไขของทางเลือกที่มีมากมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนจะต้องรู้จักคัดเลือก คัดกรอง เพื่อเปรียบเทียบว่า เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มไหนดีที่สุดสำหรับตนเอง โดยเว็บไซต์ VeryWell Family ได้รวบรวม 7 เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมและได้รับการแนะนำค่อนข้างมากในหมู่ผู้เรียนออนไลน์

โดย 7 แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ดีที่สุดของปี 2021 ประกอบด้วย

  • โดยรวมดีที่สุด : Udemy
  • ดีที่สุดสำหรับสายครีเอทีฟ : Skillshare
  • ดีที่สุดสำหรับบทเรียนจากเหล่าผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ : MasterClass
  • ดีที่สุดสำหรับความรู้ระดับมหาวิทยาลัย : Coursera
  • ดีที่สุดในแง่คุณภาพวิชาการจากสถาบันชั้นนำ: EdX
  • ดีที่สุดสำหรับเทคโนโลยี : Udacity
  • ดีที่สุดสำหรับการเรียนด้านดาต้า : Pluralsight

Udemy
โดยรวมดีที่สุด (Best Overall)

Udemy ถือเป็นแพลตฟอร์มเริ่มต้นที่ดีที่สุดของการเรียนรู้ออนไลน์สำหรับมือใหม่ เพราะว่ามีวิชาและบทเรียนให้นักเรียนได้เข้าถึงมากกว่า 100,000 วิชา และมีครอบคลุมแทบจะทุกหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ศิลปะ ดนตรี ฟิตเนส ไปจนถึงการเขียนโปรแกรม ไอที ทักษะทางธุรกิจ การสอน การเพิ่มกำลังการผลิต การตลาด และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ ยังมีบทเรียนสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาวิถีชีวิตและการพัฒนาส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมทักษะชีวิต และเทคนิคต่างๆ ที่แตกต่างหรือหาเรียนไม่ได้ตามห้องเรียนของสถาบันการศึกษาทั่วๆ ไป

ยิ่งไปกว่านั้น ทางแพลตฟอร์มยังค่อนข้างให้อิสระกับผู้สอนในการออกแบบสื่อการสอนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น คลิปเสียง วิดีโอ ข้อความ แบบทดสอบ คำถาม การอ่าน และกิจกรรมอื่นๆ โดย Udemy จะมีช่องทางให้นักเรียนสามารถชิมลางลองเรียนในวิชาที่ตนเองสนใจได้ และมีระบบคืนเงินภายใน 30 วันหากรู้สึกไม่พอใจในวิชาที่เรียน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวิชาที่เรียนได้รับการออกแบบมาเพื่อส่วนส่วนตัว ดังนั้น ค่าเรียนจึงมีราคาที่แตกต่างกันออกไป โดยคอร์สเรียนหนึ่งจะมีตั้งแต่ราคาไม่แพงมาก (ราว 11-15 เหรียญสหรัฐ = 330-450 บาท) ไปจนถึงคอร์สที่มีราคาแพง (มากกว่า 200 เหรียญสหรัฐ = 6,000 บาท)

Skillshare
ดีที่สุดสำหรับสายครีเอทีฟ (Best for Creative Fields)

Skillshare ถือเป็นแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ที่มีสไตล์ที่ไม่ได้เคร่งขรึมเป็นทางการเหมือนแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนอื่นๆ เพราะมีเป้าหมายเพื่อยกระดับทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์และการสร้างสรรค์ของตนเอง

แน่นอนว่า คอร์สเรียนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่สายงานครีเอทีฟ ถ่ายทอดผ่านผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น ถ่ายภาพนิ่ง ภาพยนตร์ การทำแอนิเมชัน ทัศนศิลป์ (visual arts) การเขียน การออกแบบภายใน และอื่นๆ อีกมากมาย

ตัวบทเรียนจะเน้นไปที่การสอนทักษะเชิงปฏิบัติที่นักเรียนสามารถใช้เพื่อสร้างโครงงานของตนเองได้ หลักสูตรส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับชุดวิดีโอบทเรียน รวมกับงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะเป็นหลัก

สำหรับ Skillshare จะเป็นระบบสมัครสมาชิกมากกว่าการวางแผนจ่ายเงินเรียนเป็นรายวิชา ดังนั้น เมื่อผู้เรียนลงทะเบียนสมัครสมาชิกเรียบร้อย ก็จะสามารถเลือกเรียนคอร์สที่สนใจได้มากหรือน้อยไม่จำกัด โดยราคาค่าสมัครสมาชิกในปัจจุบัน รายเดือนอยู่ที่ 32 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,056 บาท) ขณะเดียวกันก็มีราคาเหมาจ่ายสำหรับสมาชิกรายปี ที่ 168 เหรียญสหรัฐ (ราว 5,544 บาท)

ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มแห่งนี้ยังมีคอร์สเรียนออนไลน์ให้เรียนฟรีด้วย โดยคอร์สดังกล่าวอาจเป็นคอร์สสั้นๆ ความยาวประมาณ 20 นาที ไปจนถึงระยะเวลานานร่วมกว่าชั่วโมง ซึ่งแม้จะไม่ได้เป็นคอร์สเรียนที่เจาะลึก แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการเดินหน้ามุ่งเข้าสู่หัวข้อที่ผู้เรียนสนใจอย่างจริงจังต่อไป

MasterClass
ดีที่สุดสำหรับบทเรียนจากเหล่าผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ (Best for Celebrity Lessons)

แม้ว่าชั้นเรียน MasterClass จะเสนอคอร์สส่วนใหญ่สำหรับสายครีเอทีฟเป็นหลักไม่แตกต่างจากแพลตฟอร์มที่มีอยู่ กระนั้น สิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์ม MasterClass แตกต่างจากชั้นเรียนอื่นๆ ตรงที่ ผู้รับหน้าที่สอนล้วนเป็นผู้ชำนาญการในสาขาหรือศาสตร์ครีเอทีฟนั้นๆ ในระดับปรมาจารย์

ยกตัวอย่างเช่น นักแสดงชั้นแนวหน้า นักเขียนมือฉมัง ศิลปินชื่อดัง นักดนตรีชั้นนำ ฯลฯ

นอกจากนี้ คอร์สที่เปิดสอนยังไม่ได้เป็นคอร์สที่ให้ผู้เรียนมานั่งฟังอย่างเดียว เพราะมีบทเรียนให้ผู้เรียนได้ฝึกหัดทดลองทำเฉลี่ยคอร์สละกว่า 20 บทเรียน ซึ่งบทเรียนจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในหัวข้อที่ตนเองเลือกเรียนได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

สำหรับใครก็ตามที่ต้องการเรียนเกี่ยวกับศาสตร์ในสายงานครีเอทีฟ คงไม่มีวิธีไหนที่ดีที่สุดในการเรียนรู้และรับฟังจากผู้มีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในสาขาวิชาชีพนั้นๆ

ในส่วนของการเรียนการสอนหลักๆ คือการอิงกับเนื้อหาวีดีโอเป็นหลัก พร้อมด้วยคำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติผสมกับการสาธิตให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับหนังสือแบบฝึกหัด และการพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายในชั้นเรียน ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนเขียนบทสามารถขอคำแนะนำจากนักเขียนบทชื่อดังอย่างชอนด้า ไรมส์ (Shonda Rhimes) หรือเรียนทำอาหารจากกอร์ดน แรมซีย์ (Gordon Ramsay) ชิมลางวงการภาพยนตร์กับผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) หรือค้นหาความเป็นผู้นำสร้างสรรค์กับแอนนา วินทัวร์ (Anna Wintour)

MasterClass เป็นระบบแพลตฟอร์มออนไลน์แบบสมัครสมาชิกรายปี แต่เสียค่าบริการแบบรายเดือน คือเดือนละ 15 เหรียญสหรัฐ (ราว 495 บาท) โดยที่ผู้เรียนสามารถเรียนคอร์สออนไลน์ได้ไม่จำกัดจำนวนภายใน 1 เดือน

Coursera
ดีที่สุดสำหรับความรู้ระดับมหาวิทยาลัย (Best for College Classes)

Coursera ถือเป็นแพลตฟอร์มแห่งที่มีหลักสูตรทางวิชาการจากอาจารย์และมหาวิทยาลัยที่แท้จริงด้วยค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย อีกทั้งเมื่อเรียนครบหลักสูตรตามเงื่อนไขแล้ว ผู้เรียนยังได้รับใบปริญญาออนไลน์เป็นใบรับรอง

ทั้งนี้ ตัวแพลตฟอร์มมีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นบริษัทและมหาวิทยาลัยต่างๆ มากกว่า 200 แห่ง ที่ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถเชื่อต่อกับโลกการทำงานอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์กับผู้เรียนอย่างมาก โดยในบางกรณี ผู้เรียนสามารถได้ใบปริญญา หรือประกาศนียบัตร รับรองความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ผู้เรียนสามรถนำไปต่อยอดเพื่อเป็นประโยชน์กับหน้าที่การงาน เช่น การขึ้นเงินเดือน เลื่อนขั้น ฯลฯ

ขณะเดียวกัน ต่อให้ผู้เรียนไม่ได้เข้าเรียนด้วยเหตุผลการพัฒนาความเชี่ยวชาญของตนเองเป็นหลัก Coursera ก็ยังมีบทเรียนที่ท้าทายและน่าสนใจในหัวข้อต่างๆ ในผู้เรียนได้ค้นหาความชอบความถนัดของตนเองอีกมากมาย โดยที่แพลตฟอร์มได้เตรียมเครื่องมือที่หลากหลายให้ผู้สอนได้จัดทำคลาสเรียน ไม่ว่าจะเป็นการทำวิดีโออัพโหลด การลงชื่อเข้าชั้นเรียน การทำสอบเก็บคะแนน การทำการบ้านและส่งงาน และการดำเนินการอื่นๆ เพื่อให้การเรียนออนไลน์ดังกล่าวมีความใกล้เคียงกับการเรียนในห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยให้มากที่สุด

สำหรับค่าเล่าเรียนจะคิดราคาเป็นรายวิชา คือเรียนวิชาไหนก็จ่ายวิชาไหน ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 30-40 เหรียญสหรัฐ (ราว 990 – 1,320 บาท) โดยบางครั้งผู้เรียนสามารถซื้อคอร์สที่เรียนต่อเนื่องกันเป็นแพ็คเกจเดียว หรือซื้อโดยได้รับส่วนลดพิเศษ

นอกจากนี้ ใบปริญญาหรือประกาศนียบัตรที่มอบให้มานี้ยังสามารถให้บริษัทหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบยืนยันตัวตนได้อีกด้วย ในกรณีของคนที่จัดสรรเวลาได้มาก ก็สามารถสมัครสมาชิกรายปีที่ 399 เหรียญสหรัฐ (ราว 13,167 บาท) เพื่อเรียนวิชาได้ไม่จำกัด เรียกได้ว่าจะได้ประสบการณ์การเรียนออนไลน์โดยไม่จำเป็นต้องไปเสียค่าสมัครเรียนมหาวิทยาลัย

EdX
ดีที่สุดในแง่คุณภาพวิชาการจากสถาบันชั้นนำ (Best Pedigree)

จุดเด่นของ EdX ก็คือการเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์หนึ่งเดียวที่วิชาและหลักสูตรทั้งหมดคิดค้นและพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่างฮาร์วาร์ด และ MIT โดยเฉพาะ ดังนั้น ความเข้มข้นของเนื้อหา วิธีการสอน การออกแบบหลักสูตร และครูผู้สอน ล้วนอยู่ในระดับขั้นสูงสุดของความชำนาญการในศาสตร์สาขาแขนงต่างๆ 

กระนั้น ในส่วนของแพลตฟอร์มออนไลน์จะเน้นหนักไปในศาสตร์ด้าน STEM (วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และ คณิตศาสตร์) เป็นการสอนแบบบูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา แต่ก็ยังมีวิชาด้านภาษา มนุษยศาสตร์ และศิลปศาสตร์ให้เลือกอีกมากมายเช่นกัน

ทั้งนี้ EdX ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อเปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ รวมถึงหลักสูตรระดับ “ไมโคร” (ขนาดย่อส่วน) ในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนาทางวิชาชีพ ที่บางครั้ง การเรียนวิชาออนไลน์ดังกล่าวสามารถนำไปเทียบเกรดเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพันธมิตรต่อไป โดยที่ผู้เรียนไม่ต้องเรียนซ้ำ ชั้นเรียนหลักสูตรออนไลน์คล้ายกับ “ของจริง” คือมีทั้งการบรรยาย เนื้อหาการอ่าน งานที่ได้รับมอบหมาย การอภิปราย และแบบทดสอบ

นอกจากนี้ ข้อดีอีกอย่างของแพลตฟอร์ม EdX คือ คอร์สเรียนส่วนใหญ่ฟรี อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจเรียนเพื่อพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญอย่างจริงจัง เพื่อให้ได้ใบรับรอง แนะนำให้สมัครเรียนแบบเสียค่าใช้จ่ายที่ 49 เหรียญสหรัฐ/คลาส (ราว 1,617 บาท/คลาส) ดีกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลงเรียนเรียบร้อยแล้ว ระบบจะบันทึกวันเวลาที่เริ่มเรียนอย่างจริงจัง ความสม่ำเสมอในการเข้าเรียน แต่ไม่ได้มีการกำหนดเร่งรัดให้ผู้เรียนเข้าเรียน หมายความว่า ผู้เรียนสามารถกำหนดเวลาเข้าเรียนตามความสะดวกของตนเองได้ เพียงแต่ต้องเข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น

Udacity
ดีที่สุดสำหรับเทคโนโลยี (Best for Tech)

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ทักษะทางเทคนิคเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญสำหรับตลาดแรงงานในยุคปัจจุบันและนับแต่นี้เป็นต้นไป ซึ่ง Udacity มีชั้นเรียนมากมายด้านสาขาเทคนิค ซึ่งเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก

สำหรับแพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เข้มข้น หลากหลาย โดยมีโปรแกรมที่เน้นไปที่การพัฒนาเว็บ การเขียนโปรแกรม คลาวด์คอมพิวติ้ง และวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Sciences) เหมาะกับมือใหม่ที่พยายามพัฒนาชุดทักษะใหม่ ไปจนถึงมืออาชีพที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งโดยเฉพาะ

แต่ละโปรแกรมประกอบด้วยการลงมือปฏิบัติจริง มีแอปพลิเคชันและตัวอย่างจากโลกแห่งความเป็นจริง มีการตรวจสอบโค้ดส่วนบุคคล ขณะที่ผู้สอนยังเป็นโค้ชอาชีพตัวจริงที่สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของผู้เรียนได้

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มของ Udacity นั้นแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ เล็กน้อยคือ แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่แต่ละรายคอร์ส ตัวแพลตฟอร์มเสนอหลักสูตร “นาโนดีกรี” ซึ่งเป็นโปรแกรมแบบบู๊ตแคมป์ (bootcamp) หรือการฝึกอบรมที่ออกแบบพิเศษ โดยรวบรวมบทเรียนหลายโครงการ การอภิปรายในชั้นเรียน และการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคแบบตัวต่อตัวโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยโปรแกรมดังกล่าวจะเรียนอย่างจริงจังและใช้ระยะเวลา 1-5 เดือน

สำหรับสนนราคาค่าใช้จ่ายในการเรียนอยู่ที่เดือนละ 399 เหรียญสหรัฐ (ราว 13,167 บาท) หรือเหมาจ่ายเป็นโปรแกรมที่ 597 เหรียญสหรัฐ (ราว 19,701 บาท) ต่อ 4 เดือน

Pluralsight
ดีที่สุดสำหรับการเรียนด้านดาต้า (Best for Data Learning)

แพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์ Pluralsight ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงมืออาชีพด้านการทำงานเป็นหลัก เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล ข้อมูลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ผู้เรียนสามารถเรียนรายวิชารายบุคคลได้ แต่ Pluralsight แนะนำให้เรียนเป็นหลักสูตรขนาดย่อมที่มีชุดรายวิชาที่ควรเรียนต่อเนื่องกันเพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น การเขียนภาษาโปรแกรมแต่ละรายการ ใบรับรองความปลอดภัย ทักษะเชิงสร้างสรรค์ในซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ เป็นต้น โดยตัวหลักสูตรที่ออกแบบไว้ล่วงหน้าเหล่านี้ทำให้ผู้เรียนสามารถคาดเดาได้บ้างต้องเรียนกับอะไร ซึ่งจะมีการทำแบบทดสอบล่วงหน้า เพื่อให้รู้ถึงระดับทักษะของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับตัวผู้เรียน

สำหรับคลังของ Pluralsight มีชั้นเรียนมากกว่า 7,500 วิชา มากกว่า 100 สายงานอาชีพ ซึ่งในกรณีที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนอะไร ก็สามารถเลือกลงเป็นรายวิชาก่อน ซึ่งในระยะเวลาเรียนไม่กี่ชั่วโมง

ค่าเล่าเรียนของ Pluralsight จะอยู่ที่ราว 29 เหรียญสหรัฐต่อเดือน (ราว 957 บาท) โดยไม่จำกัดจำนวนวิชา หรือสมัครเป็นรายปีที่ 299 เหรียญสหรัฐ (ราว 9,876 บาท) นอกจากนี้ยังมีทางเลือกระดับพรีเมียมด้วยราคาประมาณ $449 ต่อปี (ราว 14,817 บาท) ซึ่งจะครอบคลุมถึงฟีเจอร์และหลักสูตรปกติทั้งหมด และหลักสูตรเชิงโต้ตอบเพิ่มเติมและการสอบปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับใบรับรองระดับมืออาชีพ