เบื้องหลังพลังหลายมือ…ที่ฟื้นโรงเรียนเล็ก และพาเด็กกลับสู่โอกาสอีกครั้ง

เบื้องหลังพลังหลายมือ…ที่ฟื้นโรงเรียนเล็ก และพาเด็กกลับสู่โอกาสอีกครั้ง

“พอรู้ว่าระดับน้ำสูงแค่ไหน เราทำใจแล้วว่าต้องเริ่มกันจากศูนย์ แต่ไม่มีเวลาให้เสียใจ คิดแต่ว่าโรงเรียนต้องฟื้นฟูให้เร็วที่สุด เพื่อรวมใจคนทั้งชุมชนให้ลุกขึ้น และผ่านไปให้ได้ งานของเราคือดูแลนักเรียน ก็จะพยายามเป็นที่พึ่งของเด็กและผู้ปกครองให้ได้มากที่สุด

“เพราะเรารู้ว่าทุกครอบครัวต้องกู้บ้าน กู้รถ จัดการกับข้าวของมากมายที่จมไปกับน้ำ เราจึงต้องรีบเปิดเรียน ให้เด็กมาอยู่กับเรา แล้ววันนี้ที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วย ทำให้เรารู้ว่าไม่ได้คิดไปเองลำพัง แต่กำลังใจเหล่านี้เอง ที่จะมาหนุนให้โรงเรียนกลับมาตั้งหลักได้ใหม่ และไปต่อได้”

นาตยา อดิศัยนิกร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่าไทร พูดถึงความตั้งใจจะเปิดโรงเรียนในวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม หลังวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ผ่านไปราวสิบวัน ด้วยต้องการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และอยากให้โรงเรียนเป็นที่พักพิงหรือศูนย์รวมใจของคนทั้งชุมชน ให้กลับมามีกำลังใจต่อสู้กับวิกฤต

แต่แม้จะมีหัวใจที่แข็งแกร่งของครู และบุคลากรของโรงเรียนทุกคนเป็นต้นทุน หาก ผอ.นาถยา บอกว่าความตั้งใจที่ว่าคงไม่อาจเป็นจริงได้ ถ้าไม่มี ‘มือจากฝ่ายต่าง ๆ ยื่นเข้ามา’ ตั้งแต่เรือนจำกลางจังหวัดสงขลา ที่ส่งทีมมาช่วยทำความสะอาดจัดการสิ่งของที่พังไปกับน้ำ หรือภาคธุรกิจเอกชนในท้องถิ่น ที่ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูแลความเสียหายของคอมพิวเตอร์ 40 เครื่องซึ่งจมน้ำอยู่หลายวัน รวมถึงบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ที่ระดมสรรพกำลังทีมงานเฉพาะกิจตอบโต้ภัยพิบัติ มาช่วยซ่อมแซมระบบน้ำ-ไฟต่าง ๆ พร้อมประเมินสภาพความชำรุดเสียหายของสิ่งก่อสร้าง อันเป็นประเด็นเร่งด่วนที่สุด หากจะทำให้โรงเรียนกลับมาเปิดได้อีกครั้ง

าตยา อดิศัยนิกร

“ถึงวันนี้น้ำจะลด แต่ชุมชนยังไม่ฟื้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจว่าโรงเรียนต้องลุกขึ้นมาเป็นที่พึ่งของชุมชน ยิ่งมีความช่วยเหลือจากภายนอกเข้ามา เรายิ่งแน่ใจว่าจะเปิดได้ในสัปดาห์หน้า เพราะตอนนี้บ้านของเด็กยังเกลื่อนกองด้วยเศษซากจากน้ำท่วม ไม่มีอาหาร ไม่มีสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ผู้ปกครองก็สูญเสียอาชีพ ดังนั้นโรงเรียนเราจะเป็นโรงครัว เป็นศูนย์กลางประสานความช่วยเหลือ และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ จนกว่าชุมชนจะลุกขึ้นมาได้

ผอ.นาตยา เผยความรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นความช่วยเหลือที่เข้ามาอย่างทันท่วงที ว่า “เราเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ซึ่งปกติในภัยพิบัติที่ใหญ่ขนาดนี้มักไม่ค่อยมีใครนึกถึง แต่ทีม SCG เข้ามาเร็วมาก ยังแปลกใจว่าเจอโรงเรียนบ้านท่าไทรได้ยังไง จนทราบว่า SCG ได้ข้อมูลจากที่เราพิมพ์แจ้งขอความช่วยเหลือไปที่ กสศ. เพราะช่วงแรกที่น้ำลด อย่างที่บอกว่าเรารวมกำลังบุคลากรโรงเรียนสิบกว่าคน คิดกันว่าทำได้แค่ไหนจะทำก่อน ระหว่างนั้นครูก็ช่วยกันกรอกข้อมูลส่งไปทุกทาง แต่เรารู้ว่าความเสียหายครั้งนี้กินบริเวณกว้าง ทุกคนเดือดร้อนหมด คิดว่าถ้าที่อื่นเริ่มเซ็ตตัวได้บ้าง เดี๋ยวจะมีกำลังเสริมมาช่วย แต่พอมีทีม SCG มีทีมจากเรือนจำกลางสงขลาเข้ามา พวกเรารู้สึกใจฟูมาก แค่นี้ก็มีกำลังใจขึ้นแล้ว”

ขณะที่แผนการเปิดเรียน ผอ.นาตยา เผยว่า จะใช้พื้นที่ส่วนที่ปลอดภัยและทำความสะอาดแล้วเป็นที่รองรับนักเรียน และจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่ม แบ่งเป็นชั้นอนุบาล ประถมศึกษาปีที่ 1-3 และประถมศึกษาปีที่ 4-6 โดยทุกวันนี้ทางโรงเรียนเน้นใช้เทคโนโลยีมาเป็นส่วนสำคัญของการจัดการเรียนการสอน ฉะนั้นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในระยะสั้น คือต้องมีคือกระดานไวท์บอร์ด จอโปรเจคเตอร์ สมาร์ททีวี คอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่วนใหญ่เสียหายไปกับน้ำ

“อย่างที่บอกว่าเราตั้งใจเปิดโรงเรียนเพราะอยากให้เด็กมีพื้นที่ปลอดภัย มีอาหาร มีคนคอยดูแลยามที่ผู้ปกครองเขาต้องซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและจัดการชีวิต …พอบอกไปว่าโรงเรียนจะเปิด ผู้ปกครองเขาก็ดีใจ แต่บางคนก็กังวลว่าลูกหลานไม่มีชุดนักเรียนเพราะจมไปกับน้ำแล้ว เราเลยบอกว่าให้ใส่ชุดอะไรมาก็ได้ ขอแค่เด็ก ๆ มาโรงเรียนเท่านั้น

“แต่หลังจากนี้ เราอยากให้การเรียนรู้ไปต่อได้ด้วย จึงอยากได้ความช่วยเหลือเรื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการจัดการเรียนการสอน และในระยะยาวยังมีเรื่องอาคารเรียนที่ชำรุด เช่นอาคารชั้นอนุบาลที่ตอนนี้ต้องปิดถาวร เพราะหลังจากโดนน้ำซัดทีมช่างประเมินว่ามีโอกาสที่จะทรุดถล่มลงมา ตรงนี้ก็ต้องกันไว้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย รอรื้อถอนสร้างใหม่เพื่อรองรับเด็ก ๆ อย่างปลอดภัย แต่จากหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเราได้เห็นความร่วมมือของทุกฝ่ายแล้ว ก็ทำให้เห็นความหวังว่าโรงเรียนจะไปต่อได้ และต้องเป็นที่พึ่งของชุมชนให้ทุกคนผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันได้ด้วย”   

(กลาง) ดร.ชนะ ภูมี

ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การบริหารความยั่งยืน บริษัท SCG เล่าถึงการนำทีมงานมาช่วยฟื้นฟูโรงเรียนวัดท่าไทรว่า ตอนหาดใหญ่วิกฤตที่สุด SCG ได้ตั้งศูนย์ฉุกเฉินขึ้นในพื้นที่ มุ่งให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนไปที่โรงพยาบาลและโรงเรียน อันเป็นสถานที่ซึ่งมีความสำคัญต่อผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเปราะบาง    

“การฟื้นฟูหน่วยบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเล็ก ๆ ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน เพราะถ้าเราฟื้นฟูให้โรงเรียนกลับมาเป็นพื้นที่ปลอดภัยได้ มันจะช่วยเรื่องผลกระทบในการใช้ชีวิต จิตใจของผู้คนก็จะค่อย ๆ รู้สึกมั่นคงขึ้น เมื่อได้รู้ว่าเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้สู้กันอยู่ลำพัง

“ที่กังวลคือเรากลัวจะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาเพราะผลจากวิกฤต โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก ห่างไกล ไม่มีคนเห็น จึงร่วมกับ กสศ. ในการขอข้อมูลชี้เป้าโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ และจึงมาที่โรงเรียนบ้านท่าไทรเป็นที่แรก ๆ เพราะทราบว่าโรงเรียนแห่งนี้คือจุดศูนย์กลางที่จะนำความช่วยเหลือต่าง ๆ ไปถึงชุมชนรอบ ๆ ดังนั้นถ้าโรงเรียนฟื้นได้ ชุมชนก็จะฟื้นตามมา ส่วนอีกด้านคือเราอยากส่งเสียงถึงสังคม ว่าทุกคนทุกหน่วยงานสามารถมีส่วนร่วมเยียวยาฟื้นฟู เพื่อให้คนทุกกลุ่มได้รับความช่วยเหลือ เพราะน้ำท่วมรอบนี้หาดใหญ่โดนหนักมาก ผลกระทบจึงเกิดขึ้นในหลายพื้นที่และกับคนหลากหลายกลุ่ม แต่การพูดถึงโรงเรียนขนาดเล็ก ยังไม่มีพื้นที่บนหน้าสื่อเลย”

ผู้บริหาร SCG ย้ำว่า โรงเรียนเล็กส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่เข้าถึงยาก ไม่ได้อยู่ในรายการต้น ๆ ของการกู้วิกฤตเร่งด่วน ดังนั้นสำหรับภาคเอกชนที่มีข้อดีคือความคล่องตัว จะสามารถเข้าไปช่วยให้โรงเรียนฟื้นตัวได้ไว โดยเฉพาะกลุ่มภาคเอกชนในพื้นที่หรือพื้นที่ใกล้เคียง ถ้าช่วยกันหลายฝ่าย การเยียวยาฟื้นฟูจะรวดเร็วและครอบคลุมทั่วถึง โดยไม่ต้องรอภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว

ชัยยุทธ แก้วกอง หัวหน้าทีม S.E.R.T SCGP กล่าวแนะนำทีมงานที่เข้ามาร่วมฟื้นฟูโรงเรียนบ้านท่าไทร ว่าเป็นทีมเฉพาะกิจตอบโต้ภัยพิบัติของ SCG (Emergency Response Team) ที่มาจากหลากหลายจังหวัด ทั้งกาญจนบุรี ราชบุรี สระบุรี ขอนแก่น และปราจีนบุรี โดยทีมงานทุกคนผ่านการอบรมด้านการรับมือเหตุฉุกเฉินทุกรูปแบบ ทั้งด้านอัคคีภัย สารเคมี หรือการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำ และสำหรับภารกิจนี้ เป็นการลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคมซึ่งน้ำยังท่วมสูง เพื่อช่วยเหลือคนที่ติดค้าง และยังคงอยู่ต่อเพื่อฟื้นฟูความสูญเสีย

ชัยยุทธ แก้วกอง

“ทีมงานเรามีทั้งหมด 23 คน อยู่กันตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมและยังอยู่ต่อเพื่อเร่งฟื้นฟูฟื้นที่ แต่ละคนคือพนักงานประจำของ SCG ในไลน์ผลิต หรือเป็นช่างดูแลระบบไฟ ระบบน้ำ ดูแลเครื่องจักรเครื่องยนต์ต่าง ๆ  การมาที่โรงเรียนบ้านท่าไทรครั้งนี้ หน้าที่ของเราคือจัดการกับระบบต่าง ๆ และประเมินความปลอดภัยเบื้องต้น โดยหลังลงพื้นที่เป็นวันที่สอง พบว่าเรื่องที่เป็นห่วงที่สุดคือความเสียหายของอาคารเรียนชั้นอนุบาล ที่มีความเสี่ยงจะทรุดตัวจากการโดนน้ำซัด ส่วนอาคารอื่น ๆ ก็มีความเสียหายของฝ้าเพดาน และวัสดุบางส่วนที่สึกหรอเพราะโดนน้ำ”

สำหรับแผนเปิดเรียนที่กำลังมาถึง หัวหน้าทีม S.E.R.T SCGP บอกว่า หลังจากประเมินอาคารเรียนทุกหลัง พบว่านอกจากอาคารหลังที่มีความเสี่ยงทรุดตัว อาคารและพื้นที่อื่น ๆ ถือว่าปลอดภัยและทำความสะอาดพร้อมใช้งานแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลถ้าโรงเรียนจะเปิด แต่ก็ต้องใช้วิธีบริหารจัดการพื้นที่อันจำกัด เพื่อรองรับนักเรียนในภาวะฉุกเฉิน จนกว่าโรงเรียนจะได้รับการซ่อมแซมโดยสมบูรณ์ต่อไป  

ภัทระ คำพิทักษ์ กรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า ‘การมีข้อมูล’ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถบริหารจัดการความช่วยเหลือในพื้นที่ภัยพิบัติ ได้ตามความจำเป็นเร่งด่วน และตรงกับความต้องการของแต่ละลักษณะพื้นที่ โดยเมื่อรู้ตำแหน่ง รู้ปัญหา รู้ความต้องการ สิ่งที่ตามมาคือการ ‘เชื่อมต่อทรัพยากร’ จากหน่วยงานและผู้คนที่มีความพร้อม ไปยังพื้นที่ประสบภัยได้ทันที

ภัทระ คำพิทักษ์

“จากที่ กสศ. ผ่านการทำงานในช่วงสถานการณ์วิกฤตมาหลายครั้ง เราจึงมีภาคีหลายภาคส่วนที่พร้อมด้วยกำลังและทรัพยากร ที่สามารถจับคู่กับโรงเรียนหรือชุมชน เพื่อนำความช่วยเหลือที่จำเป็นไปยังจุดวิกฤต ฉะนั้น ‘ข้อมูลจึงสำคัญต่อภารกิจของคนทำงานทุกระดับ’ และสำหรับภาคเอกชนและผู้มีแรงมีใจอยากส่งต่อความช่วยเหลือ หรือต้องการลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่ กสศ. คือหน่วยงานที่พร้อมเชื่อมประสานให้ทันที เพราะวันนี้สิ่งที่เราต้องคิดร่วมกันคือ นอกจากผลกระทบที่เกิดกับชีวิต เรายังมีเรื่องการเรียนรู้ของเด็กที่จะสูญเสียไปจากวิกฤตน้ำท่วม ซึ่งต้องใช้เวลาฟื้นฟูเยียวยากลับมา และในอีกด้านหนึ่ง การให้การศึกษาแก่เด็ก ๆ ณ ตอนนี้ จะเป็นส่วนสำคัญต่อการรับมือกับภัยพิบัติในวันข้างหน้า เพื่อผ่อนวิกฤตหนักให้บรรเทาเบาลง หรือเพื่อหาวิธีรับมือไม่ให้เหตุการณ์เกิดซ้ำ”