จังหวัดสุพรรณบุรี ประกาศจุดยืนเดินหน้าแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมทั้งจังหวัด ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ได้มีพิธีประกาศเจตนารมณ์ “สุพรรณบุรี Zero Dropout” ภายในงานมหกรรม “จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็ก ประจำปี 2568” ภายใต้แนวคิด “เปิดเทอมใหม่ ส่งน้องไปเรียน ปีที่ 4” ณ ห้องประชุมศิลปอาชา โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 อำเภอดอนเจดีย์ โดยความร่วมมือของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก และภาคีในพื้นที่
ในพิธีดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ นายอุดม โปร่งฟ้า นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมเป็นประธาน


นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมคณะกรรมการขับเคลื่อน Thailand Zero Dropout จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ร่วมกันประกาศความมุ่งมั่นในการลดจำนวนเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ ด้วยความร่วมมือของทุกหน่วยงาน โดยวางมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1. จะร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาหรือเด็กตกหล่นให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยให้เด็กและเยาวชนมีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายจิตใจวินัยอารมณ์สังคมสติปัญญา รวมถึงการมีทักษะความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพตามความถนัดและมีศักยภาพที่จะพึ่งพาตนเองในการดำรงชีวิตได้
2 . จะร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือและดูแลรักษาเด็กและเยาวชนให้คงอยู่ในระบบการศึกษาหรือการเรียนรู้ จนสำเร็จการศึกษาภาคบังคับหรือระดับที่สูงกว่า
3 . จะร่วมกันยกระดับและสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กโดยส่งเสริมไปยังโรงเรียนหรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
4 . จะร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้เด็กและเยาวชนในจังหวัด
พร้อมกันนี้ จังหวัดสุพรรณบุรียังได้ประกาศความพร้อมในการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาเด็กที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษา ตามนโยบาย Thailand Zero Dropout ผ่านกลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์จังหวัดสุพรรณบุรีและคณะอนุกรรมการในระดับอำเภอทุกพื้นที่ พร้อมทั้งร่วมกับภาคีเครือข่ายภายในจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนกลไกปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนของจังหวัดให้เข้าถึงการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีสิทธิ์เลือกสถานที่ เวลา และวิธีการเรียนรู้ตามความจำเป็นและเหมาะสม จนสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. กล่าวว่า การประกาศเจตนารมณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นการปักหมุดในพื้นที่ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนสวัสดิการสังคมในระดับจังหวัด พัฒนาด้านสิทธิและการปกป้องคุ้มครองเด็กไม่ให้ถูกทอดทิ้ง
“เราเห็นสื่อต่าง ๆ สะท้อนผลกระทบที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนกันมาตลอด ทั้งเรื่องการถูกทำร้ายการ ถูกล่วงละเมิด ถูกทอดทิ้ง การเลี้ยงดูไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังพบว่าปัญหาเด็กเยาวชนที่ตกหล่นจากระบบการศึกษาปี 2567 มีข้อมูลที่เด็กไม่มีชื่อในระบบการศึกษาถึง 9 แสนกว่าราย ซึ่งถ้าจะแยกเป็นสัดส่วนจะพบว่า ช่วงประถมวัยก่อนการศึกษาภาคบังคับพบ 28% ช่วงวัยการศึกษาภาคบังคับคือตั้งแต่ ป.1 ถึงมัธยม 3 พบ 40% และช่วงหลังการศึกษาภาคบังคับอีก 32%
“ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 11 หน่วยงาน ในการขับเคลื่อนกลไกแก้ไขปัญหาเด็กเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือได้รับการส่งเสริมการเรียนตามศักยภาพ ตามนโยบาย Thailand Zero Dropout ทุกหน่วยงานเห็นตรงกันว่า ควรให้เด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา รวมถึงเด็กเยาวชนกลุ่มที่ขาดโอกาสยากจนหรือด้อยโอกาสต่าง ๆ สามารถที่จะเข้าถึงการศึกษาหรือว่าเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคม รวมไปถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความพร้อมเข้าสู่การศึกษาและก็การพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพตามวัย ที่ควรจะได้รับการพัฒนาศักยภาพและนำไปสู่การพึ่งพาตนเอง”


นายอนุกูล กล่าวอีกว่า เป้าหมายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ระบุถึงการก้าวข้ามความยากจน ซึ่งทุกหน่วยงานเห็นตรงกันว่า ครอบครัวเด็กเยาวชนเหล่านี้ จะหลุดพ้นวงจรความยากจนได้จากพลังความร่วมมือในการทำงานด้านเด็กเยาวชนจากทุกภาคส่วน และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ จังหวัดสุพรรณบุรี จะเป็นจังหวัดที่เป็นต้นแบบ เป็นศูนย์กลางสำคัญในการมุ่งการพัฒนาเด็กอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ทุกพื้นที่ปลอดภัย และเป็นมิตรกับเด็กเยาวชน จากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจและทุก ๆ ภาคีเครือข่าย

ด้าน นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวระหว่างการเสวนาหัวข้อ “From Home to School” โดยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังมีเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา กว่า 8.8 แสนคน เป็นตัวเลขที่ลดจากปีการศึกษา 2567 ที่มีอยู่ราว 1.02 ล้านคน การขับเคลื่อนเรื่องนี้ตามนโยบาย Thailand Zero Dropout ระบบการศึกษาและการเรียนรู้ จำเป็นที่จะต้องปรับให้ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตและปากท้อง ตอบโจทย์ความต้องการและความจำเป็นของเด็กได้ในทุกข้อจำกัด
ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า ปัจจุบันมีนวัตกรรม 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ, กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) และศูนย์การเรียนโดยสถาบันทางสังคม ที่จัดการศึกษาเหมือนกับ สกร. ภายใต้สังกัด สพฐ. เป็นการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับผู้เรียนรายบุคคล และบริบทชุมชน มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและสถานที่

“การจัดการศึกษาในโรงเรียน เป็นเพียงรูปแบบหนึ่ง นอกจากการศึกษาในระบบแล้ว เรายังมีตัวช่วยให้น้อง ๆ เลือก เช่น การเรียนผ่าน Mobile School ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น้อง ๆ สามารถเรียนรู้ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ เพราะฉะนั้นถ้าในวันนี้ น้อง ๆ พบว่าตัวเองไม่มีความสุขกับระบบการเรียน อย่าเพิ่งทิ้งการเรียน ควรมองหาทางเลือก หาทางอื่น อย่าเดินหนีไปเฉย ๆ พยายามคุยพูดคุยกับผู้ใหญ่ พ่อแม่ผู้ปกครอง บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเรียนในระบบไม่มีความสุข แต่อยากเรียนให้จบต้องทำอย่างไร
“จังหวัดสุพรรณบุรี มีคณะกรรมการจังหวัด มีคณะกรรมการอำเภอ และคณะกรรมการระดับพื้นที่ เพื่อดำเนินการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา สถานการณ์เด็กของจังหวัดสุพรรณบุรี ในปี 2568 พบว่า มีเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่อยู่ในช่วงอายุ 3-18 ปี จำนวน 9,086 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ม.ค. 68) ซึ่งในจำนวนนี้จะได้รับการดูแลช่วยเหลือและเข้าสู่การดูแลในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง บางคนอาจจะกลับเข้ามาเรียนในระบบ ในห้องเรียน บางคนอาจจะไปเรียนกับ สกร. เรียนผ่าน Mobile School หรือรูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งเชื่อว่ารูปแบบการศึกษาของสุพรรณบุรีจะทำให้น้อง ๆ ทุกคนสามารถสำเร็จการศึกษาได้ตามที่ตั้งใจ” นายพัฒนะพงษ์กล่าว

นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า กรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้ร่วมกับ กสศ. กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาเด็กออกนอกระบบการศึกษาตามแนวทางของนโยบาย Thailand Zero Dropout เพราะเชื่อมั่นว่า การศึกษานั้นคือรากฐานของชีวิต ถ้าเด็กทุกคนได้รับการศึกษา มีทักษะมีอาชีพที่มั่นคง นั่นคือการช่วยให้แต่ละคน มีรากฐานชีวิตที่ช่วยให้เดินต่อไปได้ สู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ
อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนงานด้านเด็กและเยาวชน ตามนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อเพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน ด้วยการส่งเสริมสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา ตามนโยบาย Thailand Zero Dropout หรือ เด็กทุกคนต้องได้เรียน และโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยติดตามเด็กเมื่ออายุครบ 6 ปี รวมถึงการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์จังหวัดสุพรรณบุรี และคณะอนุกรรมการฯ ระดับอำเภอ ในการแก้ปัญหาเด็กที่ไม่มีชื่อในระบบการศึกษา เพื่อร่วมกันสร้างเด็กและเยาวชน เป็นพลเมืองคุณภาพ
โดยได้ตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2568 เพื่อให้การสนับสนุนเด็กที่เป็นกลุ่มเปราะบางได้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ประชาชน และเครือข่ายจิตอาสาในระดับพื้นที่ เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาสังคม ด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่เด็กเปราะบางเป็นพลเมืองคุณภาพ ตลอดจนสนับสนุนทรัพยากรและความรู้ให้กับครอบครัวในการเลี้ยงดูเด็กเชิงบวก อีกทั้งส่งเสริมให้โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก หรือ โรงเรียนคุ้มครองเด็ก


“กรมกิจการเด็กและเยาวชนจะขับเคลื่อน 5 มาตรการ ประกอบด้วย 1. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวสถาบันการศึกษานั้นให้มีความเข้มแข็ง 2 . ส่งเสริมเรื่องการดูแลสุขภาพกายสุขภาพจิตของเด็ก 3. ส่งเสริมให้มีศูนย์เด็กเล็กที่ใกล้บ้านใกล้ที่ทำงาน ที่มีมาตรฐาน มีความยืดหยุ่นและชุมชนเป็นผู้จัดการ 4. การพัฒนาทักษะชีวิตทักษะอาชีพตามวัยที่สอดคล้องกับสังคมที่เป็นพลวัต เน้นหนักเป็นเรื่องของการที่จะทำให้เด็กและเยาวชนนั้นมีทักษะชีวิตทักษะอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ 5 การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตความสัมพันธ์ระหว่างวัย ซึ่งหากทั้ง 5 มาตรการ บรรลุเป้าหมาย เราเชื่อว่าจะทำให้เด็กที่เกิดน้อยลง เปี่ยมคุณภาพมากขึ้นได้” อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าว