“เจต” นักเรียนทุนหัวใจนักสู้ ผู้ไม่เคยหมดพลังใจ

“เจต” นักเรียนทุนหัวใจนักสู้ ผู้ไม่เคยหมดพลังใจ

“แต่ละช่วงของชีวิตมันไม่เคยมีอะไรง่ายหรอกครับ
เมื่อเราเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้สมบูรณ์ และมีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ด้วย”

จักรพงษ์ สุขสวัสดิ์ หรือ เจต นักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 1 ชั้น ปวส. 1 สาขารถไฟความเร็วสูง วิทยาลัยการอาชีพบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา เกริ่นถึงชีวิตของเขา พร้อมเล่าต่อไปว่า ตัวเขาไม่มีพ่อกับแม่มาตั้งแต่เกิด ในใบสูติบัตรตรงส่วนของชื่อพ่อถูกเว้นว่างไว้ ส่วนแม่ไปมีครอบครัวใหม่ เจตจึงโตมากับป้าที่เขานับถือเป็น ‘แม่’ และสามีของป้าที่เป็นเหมือนพ่อเลี้ยงของเขา ปัจจุบันพวกท่านเสียชีวิตไปแล้ว ขณะนี้ครอบครัวของเจตเหลือแค่ยาย กับน้องที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ขณะที่ตอนเรียนอยู่ชั้น ม.3 เจตประสบอุบัติเหตุต้องสูญเสียแขนข้างซ้ายไป แต่เขาก็ยังมีกำลังใจให้ตัวเองเสมอ เชื่อมั่นว่าความต่างทางร่างกายจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการคิดฝันถึงอนาคตที่ดีๆ ในวันข้างหน้า เช่นคนอื่น

พ่อเลี้ยงของเจตมีอาชีพขับวินมอเตอร์ไซค์หารายได้เป็นหลัก ส่งเสียเขากับน้อง แม่เลี้ยงทำงานรับจ้างทั่วไป วันไหนไม่มีใครจ้างงาน วันนั้นก็ไม่มีรายได้ ขณะที่ยายเองก็ไม่ได้อยู่ในวัยที่สามารถออกไปทำงานได้แล้ว
จนวันที่พ่อเลี้ยงของเจตล้มป่วยทำงานไม่ได้ หน้าที่เสาหลักของครอบครัวจึงตกมาอยู่ที่แม่ เขาเริ่มออกไปทำงานรับจ้างหารายได้ช่วยแม่อีกแรงหนึ่ง แล้วพ่อเลี้ยงของเจตก็เสียชีวิต พร้อมๆ กับที่แม่มาป่วยอีกคนด้วยโรคประจำตัว เดินไม่ได้ ทำงานไม่ได้ และเสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง ทำให้เจตต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อดูแลยายและส่งน้องเรียนหนังสือ

“งานที่ผมทำเป็นพวกงานรับจ้างเดินท่อ ร้อยสายไฟ ไปเป็นลูกมือเขา แล้วก็มีงานซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์ที่วิทยาลัยเขาช่วยหาให้” เจตเล่าถึงงานรับจ้างที่ทำเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว ซึ่งเขาเรียนรู้และพัฒนาทักษะจากอาจารย์ที่วิทยาลัย มีผู้ให้กำลังใจและบอกกับเขาเสมอว่า ‘การฝึกฝนงานที่คนอื่นเขาใช้สองแขนทำด้วยแขนเพียงข้างเดียว มันอาจจะยากกว่าและใช้เวลามากกว่า ดังนั้นเธอจะต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าด้วย แล้วความพยายามที่มากกว่านี้แหละที่จะทำให้เธอทำได้เหมือนกับที่คนอื่นทำ
แล้วสิ่งที่พิเศษกว่าการทำได้เหมือนคนอื่นก็คือ เธอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนอีกมากมายได้ด้วย’ คำสอนที่เขาเก็บไว้ในใจเสมอมา

ช่วงที่แม่เลี้ยงเสียชีวิต เจตอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจบการศึกษาชั้น ปวช. ต่อ ปวส. ภาระของเขาจึงมีทั้งการดูแลยาย หาเงินให้น้องเรียนหนังสือ ขณะที่ต้องมุ่งมั่นผลักดันแผนการเรียนของตนให้เป็นไปตามที่ตั้งใจ
คือการเรียนในสาขาวิชารถไฟความเร็วสูง เพื่อสิทธิ์ในการไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน ด้วยทุนจากวิทยาลัยที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศ

“ผมวางแผนไว้ตอนอยู่ ปวช. ว่าจะเรียนต่อระบบทวิภาคีในสาขาวิชารถไฟความเร็วสูง คิดว่าเป็นสาขาวิชาที่มีอนาคตรองรับ จบแล้วจะมีงานทำแน่นอน แล้วในหลักสูตรของสาขาวิชานี้มีข้อตกลงความร่วมมือกับประเทศจีน เรื่องให้ทุนนักศึกษาไปเรียนต่อที่นั่น ผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากได้ทุนนี้ เพราะมันหมายถึงสิทธิ์ที่จะได้ทำงานในประเทศจีนตอนที่เรียนจบด้วย”

แต่แผนที่วางไว้ก็เกือบจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด หลังแม่เสียชีวิต เงินทองที่สะสมไว้เริ่มร่อยหรอ เงินที่เจตได้จากการทำงานไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับ ปวส. ส่วนความหวังที่ว่าจะเรียนในระบบทวิภาคีเพื่อทำงานและเรียนไปด้วยก็ไม่เป็นอย่างแผนที่วางไว้ เขาถูกปฏิเสธจากสถานประกอบการหลายแห่งด้วยเหตุผลว่าไม่มีนโยบายรับนักศึกษาทวิภาคี ช่วงนั้นเองที่อาจารย์แนะนำให้เขาสมัครเข้าเป็นนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพ ชั้นสูง ของ กสศ.

“ทุนนี้เป็นยิ่งกว่าการช่วยเหลือผมอีกครับ มันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ก่อนที่จะได้เป็นนักศึกษาทุน ฯ ผมคิดว่าไม่ได้เรียนต่อแล้ว ตอนที่จะจบ ปวช. อาจารย์เขารู้ว่าบ้านผมไม่มีเงิน เขาก็พยายามช่วยติดต่อโรงงานให้ผมเข้าไปคุยเพื่อเป็นนักศึกษาทวิภาคี หลายแห่งเขาก็บอกว่ายังรับอยู่ แต่พอผมเข้าไปสัมภาษณ์ เขาเห็นว่าร่างกายผมไม่เหมือนคนอื่น เขาก็ปฏิเสธผม บอกว่าไม่รับเด็กทวิภาคีแล้ว ทีแรกผมก็ตกใจว่าอยู่ ๆ เขาก็ไม่รับ
แต่สุดท้ายผมก็โอเค คิดว่าไม่รับก็ไม่รับ ก็กลายเป็นว่าผมต้องกลับไปฝึกงานกับอาจารย์ที่ปรึกษา ฝึกฝนที่วิทยาลัย ไม่มีรายได้ระหว่างเรียน” จักรพงษกล่าว

จักรพงษ์ ระบุอีกว่า แต่การได้รับทุนจาก กสศ. มันทำให้ครอบครัวของผมกลับมามีความหวังอีกครั้ง วันที่รู้ว่าได้ทุน คนแรกที่ผมบอกคือยาย ให้เขารู้ว่าไม่ต้องกังวลแล้ว ผมจะได้เรียนจนจบแน่ ๆ แล้วยังส่งน้องเรียนได้ด้วย เป้าหมายที่ผมตั้งไว้ว่าอยากไปเรียนต่อที่ประเทศจีนมันก็เริ่มกลับมามีหวังอีกครั้ง ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของผมเท่านั้น

เจต ยังกล่าวถึงช่วงเวลายากลำบากในชีวิตที่เคยผ่านมา ว่ามันทำให้เขายิ่งต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็น ว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นซึ่งมีร่างกายสมบูรณ์พร้อมทำได้เช่นกัน การมีร่างกายที่ต่างจากคนอื่น บางครั้งก็เป็นเรื่องยากสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน มีบ้างที่ได้รับการเลือกปฏิบัติหรือสายตาที่มองมาแบบที่ทำให้เสียกำลังใจ ได้แต่คิดในใจว่าเรายอมรับในข้อที่ร่างกายเราแตกต่างจากคนอื่น แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะประสบความสำเร็จในเรื่องที่ผมฝันไว้ แล้ววันนั้นสายตาของพวกเขาที่มองมาที่ผมอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ตอนนี้พวกเขาเห็นเพียงภายนอก เขาแค่ยังไม่เห็นยังไม่รู้ว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ให้ยอมรับผมให้ได้ ว่าถึงแม้ผมจะมีต้นทุนที่น้อยกว่า แต่ผมยังมีความสามารถ ยังมีความพยายามที่จะประสบความสำเร็จ
สิ่งนี้มันอาจจะเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ในวันหนึ่ง

“เจตตั้งใจจบบทสนทนาด้วยการฝากกำลังใจไปยังเพื่อนนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง รุ่น 1 ว่า อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนพยายามสู้ อย่าท้อถอย ความลำบาก ความยากจน ความด้อยโอกาสในชีวิตด้านต่าง ๆ
มันเป็นอุปสรรคที่ใหญ่โต แต่อยากให้ทุกคนคิดว่าถึงเราต้องเจอเรื่องที่หนักหนาแค่ไหน หรือถึงใครจะมองเราอย่างไร จะว่าเราอย่างไร ก็ให้ปล่อยเขาไป ขอให้ทุกคนมุ่งไปที่เป้าหมายไปที่วันข้างหน้า วันที่เราได้ทำสิ่งที่ฝันได้สำเร็จ ได้ทำสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น วันนั้นเขาก็จะเห็นคุณค่าในตัวของเราเอง สำคัญคืออย่าได้สิ้นหวังกับเพียงแค่คำพูดหรือความคิดของคนอื่น อย่าได้บั่นทอนอนาคตตัวเองเพียงเพราะคำตัดสินของคนอื่นจนไม่กล้าก้าวต่อไป” จักรพงษ์กล่าวทิ้งท้าย