เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดกิจกรรมมอบวุฒิบัตรให้แก่เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 5 จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานจากศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้ผ่านนวัตกรรมการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตและความแตกต่างของเด็กแต่ละคน
นายภัคภพ อินทองคำ ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนอุบลราชธานี กล่าวว่า เด็กในกระบวนการยุติธรรมเป็นเด็กที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ หลายคนเรียนเก่งและมีความสามารถที่หลากหลาย แต่ที่ผ่านมาเส้นทางการศึกษาที่มีให้เลือกมักเน้นด้านวิชาการเป็นหลัก ขณะที่เด็กบางคนถนัดด้านดนตรี ศิลปะ การเกษตร หรือทักษะอาชีพเฉพาะทาง หากไม่มีลู่ทางรองรับความถนัดและความสนใจที่แตกต่าง ก็อาจทำให้เด็กที่ก้าวพลาดหรือก้าวผิดจังหวะต้องหลุดออกจากระบบ และเข้ามาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
เด็กจำนวนไม่น้อยยังขาดความเชื่อมั่นว่าสถานที่แห่งนี้จะสามารถดูแลและสร้างโอกาสใหม่ให้กับพวกเขาได้จริง หากไม่มีกระบวนการที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และช่วยค้นหา ส่งเสริม รวมถึงพัฒนาความถนัดที่เด็กมีอยู่ โอกาสในการต่อยอดศักยภาพของเด็กก็อาจสูญหายไป จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อรองรับเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง


ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯ กล่าวต่อว่า การจัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของเด็กในกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นภารกิจที่สำคัญและละเอียดอ่อน ซึ่งไม่อาจดำเนินการได้โดยลำพัง จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันผลักดัน “การศึกษาที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ผลลัพธ์จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในศูนย์ฝึกฯ ไม่ได้สะท้อนเพียงการได้รับวุฒิการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการเรียนรู้ เด็กที่มีทักษะด้านการเกษตร เช่น การกรีดยางหรือการปลูกข้าว ไม่เพียงมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองมากขึ้น แต่ยังได้รับองค์ความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอดการดำเนินชีวิตหลังจากออกไปจากศูนย์ฝึกฯ ได้อีกด้วย


ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนอุบลราชธานี
นายสุชัยโชติ น้ำกลั่น นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพชำนาญการ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนอุบลราชธานี กล่าวว่า รูปแบบการเรียนรู้ที่ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์เข้ามาร่วมออกแบบ ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของเด็กและเยาวชนที่ต้องออกจากระบบการศึกษาปกติกลางคัน ให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ อาทิ การทำแผนธุรกิจ การคิดวางแผน การคำนวณต้นทุน–กำไร และการจำลองธุรกิจจริง
นอกจากนี้ กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนอุบลราชธานี ยังสามารถนำมาเทียบโอนเป็นหน่วยกิจของหลักสูตรการเรียนรายวิชาต่าง ๆ ได้ โดยปกติศูนย์ฝึกฯ จะเปิดหลักสูตรที่เน้นสายอาชีพ เช่น ศิลปะ เกษตร คหกรรมศาสตร์ ฯลฯ เทอมละ 4 หลักสูตร และกำหนดให้เด็กสะสมเวลาเรียนหลักสูตรละ 75 ชั่วโมง
เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่มุ่งมั่นที่จะเรียนให้จบและได้รับวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนรู้หรือศึกษาต่อในเส้นทางที่ตนเองสนใจหลังจากออกไปใช้ชีวิตในสังคมภายนอก การจัดการเรียนการสอนที่เปิดทางเลือกมากขึ้นจึงมีส่วนสำคัญในการสร้างกำลังใจในการเรียนรู้ เพราะเมื่อเด็กมีความรู้ ความมุ่งมั่น และเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน ก็จะสามารถพาตนเองไปสู่เส้นทางที่ดีกว่าได้


นายภัทระ คำพิทักษ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า กสศ. มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส ซึ่งอยู่ในกลุ่ม 20% ล่างสุดของประเทศ ได้เรียนจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือมีทักษะและความสามารถในการประกอบอาชีพตามความถนัด เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต โดยพบว่าเด็กและเยาวชนในศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน รวมถึงสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวแหว่งกลางและขาดแคลนทุนทรัพย์ ทำให้ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
กสศ. จึงร่วมกับกรมพินิจฯ สนับสนุนให้ศูนย์การเรียนซีวายเอฟ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการให้จัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ เข้าไปจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กและเยาวชน โดยเริ่มดำเนินการที่จังหวัดนครพนมเป็นแห่งแรก และต่อมาได้ขยายผลมายังศูนย์ฝึกฯ เขต 5 จังหวัดอุบลราชธานี ผ่านการสนับสนุนมูลนิธิปัญญากัลป์ให้ทำงานร่วมกับกรมพินิจฯ
โครงการดังกล่าวมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยในปีแรกมีเด็กสำเร็จการศึกษา 24 คน ปีที่สอง 45 คน และในปี 2568 มีเด็กและเยาวชนสำเร็จการศึกษาเพิ่มเป็น 65 คน


ความสำเร็จที่สำคัญของโครงการนี้ คือ การเปลี่ยนบทบาทของเจ้าหน้าที่สถานพินิจและศูนย์ฝึกฯ จากผู้ดูแลความปลอดภัยมาเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ เปลี่ยนพื้นที่กักขังให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและพื้นที่เรียนรู้ พร้อมทั้งเกิดนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ เช่น การใช้ดนตรี ศิลปะ และบอร์ดเกม เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงตัวตนของเด็กที่เพิ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ช่วยเปิดพื้นที่การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จในการช่วยให้เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมสามารถเรียนจบและได้รับวุฒิการศึกษา สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ และทำให้สังคมมองเห็นภาพร่วมกันว่า “โอกาส” คือสิ่งสำคัญ ทุกคนล้วนมีโอกาสพลาดพลั้ง แต่หากได้รับโอกาส ได้เรียนรู้ และอดทนพยายามแก้ไขความผิดพลาด ก็ยังสามารถลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ และก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางชีวิตที่ดีกว่าได้เสมอ