ในขณะที่ครูในโรงเรียนรัฐและเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์ครบถ้วน มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรอวันเกษียณ กลับมีครูอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน แต่กลับตกอยู่ในสถานะ “แรงงานนอกระบบ” นั่นคือ ครูศูนย์การเรียน
เมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้อำนวยการสำนักกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย เปิดเผยความจริงที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ครูศูนย์การเรียนส่วนใหญ่ไม่มีหลักประกันใดๆ ในชีวิตการทำงาน
ทำไมครูศูนย์การเรียนถึงตกเป็นแรงงานนอกระบบ?
“ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ศูนย์การเรียนคืออะไร” เมธชนนท์เริ่มต้นอธิบาย
ศูนย์การเรียนไม่ใช่โรงเรียนรัฐที่มีงบประมาณจากส่วนกลาง ไม่ใช่โรงเรียนเอกชนที่มีรายได้จากค่าเทอม แต่เป็น สถานศึกษาที่จัดตั้งโดยมูลนิธิ สมาคม หรือองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อให้บริการการศึกษาในรูปแบบที่มีความยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการของเด็กและเยาวชนที่หลากหลาย
“เพราะศูนย์การเรียนไม่อยู่ในกรอบของรัฐหรือเอกชน มันจึงไม่มีระเบียบหรือแนวปฏิบัติใดมาหนุนเสริมเป็นการเฉพาะ” เขาอธิบาย “ผลที่ตามมาคือ ครูที่ทำงานในศูนย์การเรียนก็ไม่มีสถานะที่ชัดเจน กลายเป็นแรงงานนอกระบบโดยปริยาย”
ข้อยกเว้นที่น่าสนใจ
ไม่ใช่ทุกศูนย์การเรียนที่ครูจะเป็นแรงงานนอกระบบ บางศูนย์การเรียนจัดตั้งโดยสถานประกอบการ เช่น ศูนย์การเรียนของบริษัท CP ที่ครูและเจ้าหน้าที่ได้รับค่าจ้าง สิทธิ สวัสดิการ และความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน อยู่ภายใต้กฎหมายประกันสังคม เช่นเดียวกับพนักงานบริษัททั่วไป
“แต่โจทย์ที่เราต้องพูดถึงคือครูในศูนย์การเรียนที่จัดตั้งโดยมูลนิธิหรือสมาคม” เมธชนนท์เน้น “พวกเขาคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากช่องว่างของระเบียบปฏิบัตินี้มากที่สุด”
ครูศูนย์การเรียนสูญเสียสิทธิ์อะไรบ้าง?
เมื่อครู ผู้บริหาร หรือเจ้าหน้าที่ศูนย์การเรียนไม่มีรายชื่ออยู่ในมูลนิธิหรือสมาคมที่จัดตั้งศูนย์การเรียน หมายถึงการสูญเสียสิทธิ์สำคัญหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
- ไม่มีประกันสังคม ไม่มีหลักประกันเมื่อเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ
- ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไม่มีเงินรอเมื่อเกษียณอายุ
- ไม่มีสิทธิ์พัฒนาตัวเอง ขาดโอกาสในการอบรมหรือพัฒนาวิชาชีพ และ
- ไม่มีความมั่นคงในอาชีพ ต้องทำงานไปวันต่อวัน ไม่มีเส้นทางความก้าวหน้า
“ที่ผ่านมาศูนย์การเรียนบางแห่งพยายามแก้ปัญหาด้วยการนำชื่อครูไปใส่ไว้ในตำแหน่งลูกจ้างของมูลนิธิหรือสมาคม” เมธชนนท์บอก “แต่นี่เป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน”
เปรียบเทียบกับครูโรงเรียนเอกชน: ยังมีจุดต่างที่รอวันแก้ไข
ลองมาดูว่าครูโรงเรียนเอกชนได้รับอะไรบ้าง ที่ครูศูนย์การเรียนไม่มี
ทั้งนี้ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนมีบทบัญญัติชัดเจนในเรื่องกองทุนสงเคราะห์, ความก้าวหน้าในวิชาชีพ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และโอกาสพัฒนาครูผ่านโปรแกรมต่างๆ
ที่สำคัญคือ กฎหมายบังคับให้ผู้อำนวยการ โรงเรียน และกระทรวงศึกษาธิการ ต้องร่วมสมทบเงินให้ครู ในอัตราส่วน 1:1:2
“หมายความว่าครูโรงเรียนเอกชนจะได้รับเงินอุดหนุน 4 ส่วนสะสมไว้จนเกษียณ” เมธชนนท์อธิบาย
“แต่ครูศูนย์การเรียนไม่มีอะไรเลย”
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
“ต้องย้อนกลับไปดูตอนที่มีการร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์การเรียนในตอนแรก” เมธชนนท์วิเคราะห์
“จุดประสงค์ตอนนั้นคือต้องการดึงเอาสถาบันทางสังคมอื่นๆ มาช่วยจัดการศึกษา
เป็นไปได้ว่าอาจมองข้ามเรื่องสิทธิสวัสดิการของครู เวลาผ่านไปนาน
กลายเป็นสภาพบังคับที่ครูศูนย์การเรียนต้องเป็นแรงงานนอกระบบ”
ทางออกมีไหม? ทำอย่างไรให้ครูศูนย์การเรียนเข้าสู่ระบบ
เมธชนนท์มองว่าทางออกยังมีอยู่ โดยเขาได้เสนอแนวทางทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังต่อไปนี้
ระยะสั้น: ให้ครูเข้าระบบประกันสังคม
กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. อาจมีนโยบายให้ศูนย์การเรียนนำรายชื่อคณะทำงานเข้าในองค์กรจัดตั้ง เพื่อให้สามารถเข้าถึงประกันสังคมได้
แต่มีปัญหาคือ ถ้าหน่วยงานต้นสังกัดไม่มีวัตถุประสงค์แสวงหาผลกำไร หน่วยงานจะต้องเป็นผู้ส่งเงินสมทบเอง “นี่คือช่องว่างที่บางสมาคมหรือมูลนิธิไม่มีกำลังทำได้ ดังนั้น สพฐ. จึงต้องเร่งจัดสรรเงินอุดหนุนให้ศูนย์การเรียนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ปัญหาระยะสั้นนี้คลี่คลาย”
และนอกจากการแก้ไขในระยะสั้นแล้ว ก็ต้องดำเนินการในระยะยาวด้วยเช่นกัน ซึ่งได้แก่
ระยะยาว: แก้ไขกฎหมาย
“กฎกระทรวงต้องแก้ไขให้ครูและบุคลากรศูนย์การเรียนสามารถเข้าระบบประกันสังคมได้” เมธชนนท์เน้นย้ำ
“หรืออย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติให้เข้าถึงสิ่งต่อไปนี้ อันได้แก่
- สหกรณ์ออมทรัพย์ของกระทรวงศึกษาธิการ
- กองทุนสงเคราะห์ และ
- ฌาปนกิจสถาน”
“เท่าที่ได้ยินมาคือกระทรวงศึกษาธิการเองกำลังเตรียมปลดล็อก” เขาบอกอย่างมีความหวัง
“เราเห็นว่าสามารถทำได้เลย โดยเพิ่มเพียง 1 วรรคใน พ.ร.บ. ให้ครอบคลุมสิทธิสวัสดิการของบุคลากรในศูนย์การเรียน”
“ข้อสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ เนื่องจากศูนย์การเรียนถือเป็นบริการสาธารณะ สิ่งที่เกินกว่ากฎกระทรวงหรือ พ.ร.บ.การศึกษากำหนด ศูนย์การเรียนไม่สามารถปฏิบัติได้ จะต้องจัดทำเป็น พ.ร.บ.แยกออกมาต่างหาก” เมธชนนท์ กล่าว
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง: เสียงจากผู้บริหารศูนย์การเรียน
จากประสบการณ์การเป็นผู้อำนวยการศูนย์การเรียน เมธชนนท์เล่าให้ฟังถึงความเหลื่อมล้ำที่เห็นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น
1.ไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเอง
“ครูในระบบมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ มีเส้นทางความเจริญเติบโต” เขาบอก “แต่ครูศูนย์การเรียนไม่มีทางเลย”
“เราไม่ได้หมายถึงว่าครูศูนย์การเรียนต้องทำเรื่องวิทยฐานะหรือการชำนาญการพิเศษ
แต่ในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง เขาควรได้รับโอกาสพัฒนาตามบริบทของตัวเอง ซึ่งทุกวันนี้ยังทำได้ยากมาก
เพราะขาดการสนับสนุนจากต้นสังกัด ไม่เหมือนโรงเรียนของรัฐที่มี สพฐ. คอยสนับสนุน”
2.ความจำเป็นในการพัฒนาครูศูนย์การเรียน
“ความสำคัญคือครูศูนย์การเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้จบครูมาโดยตรง แต่เป็นครูที่มีคุณวุฒิผ่านการสะสมภูมิปัญญา หรือเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง” เมธชนนท์เปิดเผย
“พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีการเรียนรู้พัฒนาเพื่อทำงานกับผู้เรียนที่หลากหลาย มีความเข้าใจเรื่องการจัดการศึกษานอกระบบ ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เลื่อนไหลรวดเร็ว และมีนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา”
3.ความย้อนแย้งของระบบ
“ศูนย์การเรียนอยู่ภายใต้สังกัด สพฐ. แต่หลายครั้งที่มีกิจกรรมอบรมพัฒนาครู
ศูนย์การเรียนกลับไม่ถูกนับเป็นสถานศึกษา ครูจึงไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
แต่พอเป็นงานแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน ศูนย์การเรียนกลับต้องเข้าร่วม”
เมธชนนท์ตั้งข้อสังเกตให้เห็นถึงจุดย้อนแย้ง
4.ความหลากหลายของผู้เรียน ต้องการครูที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
“ความรับผิดชอบของศูนย์การเรียนหนึ่งๆ ครอบคลุมผู้เรียนที่หลากหลายมาก” เมธชนนท์อธิบายเพิ่ม
“ในบางครั้ง พวกเขาต้องดูแลทั้ง
- เด็กนักเรียนที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ไม่สามารถเข้าโรงเรียนปกติได้
- เด็กที่ต้องการการจัดการศึกษาพิเศษ (special education)
- เด็กในกระบวนการยุติธรรม
- เด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
“ครูจึงจำเป็นต้องมีโอกาสได้รับการพัฒนาที่ตรงจุด มีความรู้เฉพาะทาง เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง”
ท้ายที่สุด: ครูที่ดีกำลังสูญหายไป
“ท้ายที่สุดต้องบอกว่า ครูศูนย์การเรียนคนหนึ่งก็เปรียบได้กับครูในสถานศึกษาทั่วไป
บางครั้งภารกิจที่พวกเขาต้องรับมืออาจต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทางยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมองถึงชีวิตการทำงานของเขา กลับกลายเป็นว่า ไม่มีความมั่นคง ไม่มีโอกาสก้าวหน้าใดๆ เลย
“น่าเสียดายว่าบางครั้งเราต้องสูญเสียครูดีๆ ไป เพราะเขาไม่เหลือแรงจูงใจในการทำงาน หรืองานที่ทำอยู่ไม่อาจหล่อเลี้ยงชีวิตของเขาได้ในระยะยาว” เมธนนท์ กล่าวทิ้งท้าย
ครูศูนย์การเรียนคือกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อเด็กและเยาวชนที่ต้องการเส้นทางการศึกษาที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ต้องทำงาน เด็กในกระบวนการยุติธรรม หรือเด็กที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเรียนรู้
แต่ขณะที่พวกเขาเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ตัวพวกเขาเองกลับไม่ได้รับโอกาสและหลักประกันใดๆ จากระบบ
การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเจตจำนงทางการเมืองและการปรับเปลี่ยนกฎหมาย
ครูเหล่านี้ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น มีหลักประกันในการทำงาน และสามารถอุทิศตนให้กับเด็กๆ ได้อย่างเต็มที่