อียูยกระดับการสนับสนุนการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัยของภูมิภาคอาเซียน
โดย : Yojana Sharma - University World News
แปลและเรียบเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา

อียูยกระดับการสนับสนุนการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัยของภูมิภาคอาเซียน

สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศเตรียมแผนขยายและเพิ่มความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มีความแข็งแกร่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Global Gateway หรือ’การเชื่อมต่อที่ยั่งยืน’ ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า การประกาศยกระดับความร่วมมือด้านการศึกษาและวิจัยในระดับอุดมศึกษามีมูลค่า 1 หมื่นล้านยูโรป โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Global Gateway ของสหภาพยุโรปสำหรับกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะ ครอบคลุมถึงปี 2027

Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า แผนดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงสีเขียวและ ‘การเชื่อมต่อที่ยั่งยืน’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม

รายงานระบุว่า การระดมทุนใหม่ภายใต้โครงการดังกล่าวจะช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถสร้างโครงการสนับสนุนการศึกษาระดับอุดมศึกษาในภูมิภาคอาเซียน (SHARE) มูลค่า 1.5 หมื่นล้านยูโร โดยเป็นโครงการที่เกิดขึ้นหลังจากที่โครงการก่อนหน้าของคณะกรรมาธิการยุโรปอย่างโครงการ EU-SHARE ซึ่งเริ่มต้นในปี 2015 และจะสิ้นสุดในสิ้นปี 2022 นี้ ประสบความสำเร็จอย่างดี 

ทั้งนี้ โครงการ Global Gateway ของสหภาพยุโรปซึ่งเปิดตัวในปี 2021 และได้รับการสนับสนุนจาก 3 แสนล้านล้านยูโรถึงปี 2070 สำหรับรัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ มุ่งน้นการดำเนินการนี้เกี่ยวข้องกับทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับคน (soft skill) กับ ความร่วมมือด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัยใน 5 ประเด็นหลักที่มุ่งเน้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความเข้มแข็งของนักศึกษาและการเคลื่อนไหวทางวิชาการ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยในสหภาพยุโรป-อาเซียน

สำหรับประเด็นอื่น ๆ ที่มุ่งทางอียูจะมุ่งเน้นร่วมมือกับอาเซียนยังประกอบด้วย การแปลงเป็นดิจิทัลและการเชื่อมต่อดิจิทัล สภาพภูมิอากาศและพลังงาน การขนส่งและสุขภาพ

นอกจากนี้  คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวในแถลงการณ์ว่า เงินทุนใหม่สำหรับอาเซียนนี้ ยังมุ่ง “ส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืนในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านดิจิทัล การขนส่ง พลังงาน และสภาพอากาศ รวมถึงในระบบสุขภาพ การศึกษา และการวิจัย มันจะช่วยจัดการกับความท้าทายระดับโลกที่เร่งด่วนที่สุด ตั้งแต่การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการปรับปรุงระบบสาธารณสุข และทำให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น” 

ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับคน Jutta Urpilainen กรรมาธิการยุโรปสำหรับหุ้นส่วนระหว่างประเทศอธิบายว่า มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการศึกษาและการวิจัยด้วย โดยทั้งหมดเกี่ยวกับการลงทุนในผู้คน การสร้างโอกาสสำหรับคนหนุ่มสาวของอียูและอาเซียน และการสร้างความเชื่อมโยงที่ยั่งยืน ไม่ใช่การพึ่งพา

“เราเป็นภูมิภาคและเศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงและพึ่งพาซึ่งกันและกันในระดับสูง และทั้งสหภาพยุโรปและอาเซียนต่างเผชิญกับวิกฤตโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และเราต่างก็เข้าใจถึงพลังของการศึกษาและการวิจัยในการรับมือกับความท้าทายดังกล่าว” Urpilainen กล่าว

นอกจากนี้ Urpilainen  ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า โครงการที่ต่อยอดจากความสำเร็จของ EU-SHARE จะให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของนักศึกษาและการเคลื่อนย้ายทางวิชาการ เช่นเดียวกับการเสริมสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัยข้ามภูมิภาคก่อน 

ทั้งนี้ โครงการ  SHARE ระยะเวลา 7 ปีที่กำลังจะสิ้นสุดลงสิ้นปีนี้ มุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของนักเรียน เช่น การมอบทุนการศึกษาจำนวน 590 ทุนและการแลกเปลี่ยนระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน และภายในอาเซียน ขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าว ยังอำนวยความสะดวกในความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัย สร้างศักยภาพทั้งด้านการสอนและการบริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่มหาวิทยาลัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

อย่างไรก็ตาม Urpilainen มองว่า อียูและอาเซียนน่าจะสามารถทำงานร่วมกันในด้านต่างๆ เพื่อขยายผลความสำเร็จมากไปกว่านี้ได้ 

Adrian Veale เจ้าหน้าที่นโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศในผู้อำนวยการกองการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า หนึ่งในขอบเขตที่สามารถขยายความร่วมมือได้ เป็นการศึกษาวิจัยด้านวิชาการร่วมกัน  โดยตระหนักดีว่านี่เป็นแหล่งความร่วมมือที่สำคัญและมีประสิทธิภาพมากระหว่างสองประเทศหรือสองภูมิภาค

“โครงการความร่วมมือด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษามักดำเนินการตามลำดับความสำคัญเดียวกันกับGlobal Gateway – การเปลี่ยนแปลงสีเขียว สุขภาพดิจิทัล ฯลฯ ดังนั้น ฉันคิดว่าเราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียนที่ร่วมมือกันเป็นอย่างดีแล้ว และทั้งสองฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเป็นอย่างดี” Veale ระบุ 

นอกจากความร่วมมือด้านการศึกษาและวิจัยแล้ว ทางตัวแทนจากอาเซียนยังแสดงความเห็นว่าโครงการิเริ่ม Global Gateway จะช่วยขยายบทบาทของมหาวิทยาลัยในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และในการแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลก รวมถึงการสร้างศักยภาพภายในมหาวิทยาลัยเพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมใน SDGs

Cynthia Bautista รองประธานฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ กล่าวถึงโครงการอุดมศึกษาระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียนภายใต้โครงการ Global Gateway ว่าเป็น “การเปลี่ยนผ่านที่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายทางการศึกษาในช่วงเปลี่ยนผ่านในปัจจุบัน 

ด้าน Hang Chuon Naron รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกัมพูชา กล่าวว่า เอเชียและยุโรปกำลังเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาผ่านความร่วมมือ โดยต้องทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างโลกที่ดีกว่าโดยที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

“ผมเชื่อในพลังของการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความร่วมมือ – เพื่อให้คนหนุ่มสาว นักเรียนของเรา [และในการใช้] ความรู้ ทักษะ ความเป็นพลเมืองโลก และความมุ่งมั่น เพื่อจัดการกับความท้าทายร่วมกัน” รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการกัมพูชากล่าว 

Antoaneta Angelova-Krasteva ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม การศึกษาดิจิทัล และความร่วมมือระหว่างประเทศในคณะกรรมการทั่วไปด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า โครงการ Global Gateway จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือเพิ่มเติมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน

“สิ่งสำคัญในที่นี้คือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา แต่ยังรวมถึงการทำงานในประเด็นนโยบายและที่ปรึกษา ซึ่งมีส่วนช่วยในการขยายและปรับปรุงขีดความสามารถของสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงโครงสร้างการกำกับดูแล นอกจากนี้ยังเพิ่ม ความเป็นไปได้ที่จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเฉพาะที่เป็นความสนใจร่วมกัน” -Krasteva กล่าว 

Tom Corrie หัวหน้าทีมประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Directorate-General for International Partnerships ชี้ให้เห็นถึงโครงการเสริมสร้างศักยภาพระหว่างมหาวิทยาลัยในภูมิภาคสหภาพยุโรปและอาเซียน ควบคู่ไปกับหัวข้อ Global Gateway ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยยกระดับและ สนับสนุนความร่วมมือในหัวข้ออื่นๆ

Corrie ซึ่งเคยอยู่ในคณะผู้แทนสหภาพยุโรปในเวียดนามกล่าวว่า “หนึ่งในแนวโน้มที่น่าสนใจคือตอนนี้มหาวิทยาลัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นผู้นำในโครงการเสริมสร้างศักยภาพเหล่านี้ ซึ่งเป็นการพัฒนาใหม่และเป็นบวกมาก”

ผู้แทนอาเซียนยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านดิจิทัลของการศึกษาขั้นสูงและทักษะ และพื้นที่เศรษฐกิจอื่น ๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญของการเชื่อมโยง Global Gateway 

Hang Chuon Naron จากกัมพูชาสังเกตว่าเครื่องมือดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของนายจ้างสำหรับพนักงานที่ชาญฉลาดและนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาในการเปลี่ยนเป็นดิจิทัล (Digital transformation)

Naron ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในประเทศกัมพูชาในการปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีอยู่ การบูรณาการการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในด้านต่างๆ เช่น ระบบการจัดการการเรียนรู้ และการพัฒนาโปรแกรมระยะสั้นในด้านต่างๆ เช่น การ coding และ วิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics)

Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียนกล่าวว่าภูมิภาคนี้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย 7,000 แห่งและนักศึกษาประมาณ 12 ล้านคน และว่าทางอาเซียนยังคงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการศึกษาระดับสูงและทักษะด้านดิจิทัลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูหลังผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ในอาเซียนและเร่งการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลโดยรวมในภูมิภาค

“หนึ่งในความคิดริเริ่มที่สำคัญหลังการแพร่ระบาดของโควิดคือการทำให้เยาวชนของเรา นักเรียนของเรา สำหรับความรู้ทางดิจิทัลและทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่จำเป็นในการปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งการทำงานที่เปลี่ยนแปลง” Lim กล่าว

ด้าน Chris Humphrey กรรมการบริหารของสภาธุรกิจ EU-ASEAN กล่าวว่า ทุกธุรกิจในปัจจุบันล้วนเกี่ยวข้องกับดิจิทัล ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซออนไลน์หรือ บริษัทประกันภัย ธนาคาร หรือผู้ผลิตถังพลาสติก พวกเขามีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลที่ใดที่หนึ่งเสมอ

“ระบบดิจิทัลเหล่านี้ต้องการคนให้เข้ามาจัดการเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตลาด การเชื่อมต่อ การจัดการข้อมูล งานกำกับดูแลข้อมูล ชุดทักษะเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และนั่นจะเป็นส่วนสำคัญของ Global Gateway” Humphrey กล่าว 

ยิ่งไปกว่านั้น  Humphrey ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินการด้านสภาพอากาศภายใต้ Global Gateway “การมีคนเข้ามาและเข้าใจว่าต้องทำอะไร ใครสามารถทำงานบนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน ใครสามารถทำงานบนหลักการความยั่งยืนได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของทุกคน และว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในการเชื่อมต่อดิจิทัล และการสนับสนุนในประเด็นด้านความยั่งยืนเช่นกัน

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งมองว่า โลกในปัจจุบันเป็นโลกที่มีการเชื่อมโยงกัน ดังนั้น การร่วมมือเป็นพันธมิตรจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก และหวังว่าการเชื่อมต่อภายใต้โครงการ Global Gateway ที่ต่อยอดมาจากโครงการ EU-SHARE จะสร้างกรอบการทำงานในแง่ของการส่งมอบทุนเพื่อยกระดับการศึกษาในขอบเขตที่กว้างไกลกว่าเดิม อย่างการสนับสนุนการวิจัยในการหาทางออกสำหรับความท้าทายของมนุษยชาติ 

Darren McDermott หัวหน้าทีมโครงการ EU-SHARE ตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินโครงการ SHARE ขณะนี้มีกรอบการทำงานที่ดี มีความคิดริเริ่มที่ยอดเยี่ยม มีพลังและแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้ากับความคิดริเริ่มเหล่านั้น แต่ยังขาดแรงขับเคลื่อนในเรื่องของความยั่งยืน

“ดังนั้น โครงการสนับสนุนแพ็คเกจใหม่ที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่อระหว่างบุคคลหรือการเชื่อมต่อที่ยั่งยืนที่เสนอโดยสหภาพยุโรปจะดำเนินต่อไปอย่างแน่นอนจากที่โปรแกรม SHARE ได้หยุดไป และโครงการ Global Gateway เป็นความคิดริเริ่มที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ใช้วิธีการที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

McDermott กล่าว McDermott กล่าวว่าในขณะที่บางคนรู้สึกว่า Global Gateway นั้นคลุมเครือ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เจ้าตัวมองว่าความคลุมเครือนั่นคือจุดแข็ง  เนื่องจากการที่ไม่มีข้อกำหนดไว้แน่นอน เท่ากับว่าอาเซียนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดความท้าทายของตนเองด้วย ถือเป็นแนวทางที่ยืดหยุ่นสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศ

ที่มา : EU to step up support for ASEAN higher education, research