นักเศรษฐศาสตร์ทั่วสหรัฐฯ ร่วมลงนามหนุนขยายโครงการคืนภาษีบุตร
โดย : Alicia Adamczyk
แปลและเรียงเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา

นักเศรษฐศาสตร์ทั่วสหรัฐฯ ร่วมลงนามหนุนขยายโครงการคืนภาษีบุตร

นักเศรษฐศาสตร์ทั่วสหรัฐฯ มากกว่า 400 คนร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกส่งตรงถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลขยายโครงการคืนภาษีบุตรภาคต่อขยาย (Enhanced Child Tax Credit) ซึ่งเป็นการแจกจ่ายเงินช่วยเหลือบุตรสำหรับครอบครัวยากจนในสหรัฐฯ ภายใต้งบประมาณช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า ความเคลื่อนไหวของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ครั้งนี้ มีขึ้นในระหว่างที่สมาชิกพรรคเดโมแครตกำลังพิจารณาหารือเพื่อตัดสินใจว่าจะขยายโครงการคืนภาษีบุตรภาคต่อขยายให้ยาวนานขึ้นดีหรือไม่ ทั้งนี้โครงการนี้ได้มอบเงินช่วยเหลือเฉลี่ยเดือนละ 423 เหรียญสหรัฐ (ราว 14,115 บาท) แก่ครอบครัวต่างๆ โดยเดิมทีมีระยะสิ้นสุดถึงแค่สิ้นปีนี้ 

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสิ้น 448 คนจากสถาบันชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ต่างร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกส่งตรงถึงผู้นำพรรคเดโมแครตแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ สนับสนุนให้เดินหน้าขยายระยะโครงการดังกล่าวต่อไปอีก โดยอ้างอิงถึงหลักฐานงานวิจัยที่บ่งชี้ให้เห็นว่า การขยายโครงการคืนภาษีบุตรนี้สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเด็กหลายล้านคนที่เติบโตในสหรัฐอเมริกา และส่งเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศได้อย่างมาก ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความยากจนในเด็กลงได้

เนื้อหาในจดหมายยังได้อ้างอิงถึงข้อเท็จจริงจากการศึกษาวิจัยของสถาบัน Urban Institute ซึ่งทำการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ ที่พบว่า การขยายโครงการ Child Tax Credit (CTC) ออกไปจนถึงปี ค.ศ. 2025 จะช่วยลดความยากจนในเด็กจาก 14.2% ในปัจจุบันลงไปอยู่ที่ 8.4% ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเทียบเท่ากับการช่วยให้เด็กจำนวน 4.3 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในความยากจนให้มีจำนวนลดน้อยลง 

นอกจากการให้เงินช่วยเหลือรายเดือนแล้ว ทางรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังได้เปลี่ยนแปลงหลักการของโครงการคืนภาษีบุตรให้กับครอบครัวยากจนใน 2 หลักการใหญ่ในปี ค.ศ. 2021 นี้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนช่วยเหลือชาวอเมริกัน หรือ American Rescue Plan ของพรรคเดโมแครต ซึ่งประการแรกคือ การเพิ่มเงินช่วยเหลือสูงสุดจากเดิม 2,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 66,739 บาท) มาอยู่ที่ 3,600 เหรียญสหรัฐ (ราว 120,130บาท) ส่วนประการที่สองคือ สามารถยื่นขอลดหย่อนเต็มจำนวนได้ ทำให้แม้แต่ชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำที่สุดก็สามารถเข้าสู่เงื่อนไขที่ว่านี้ได้ โดยรัฐบาลได้เริ่มดำเนินการแจกจ่ายให้แก่ครอบครัวที่มีสิทธิ์เข้าเกณฑ์เงื่อนไขรับความช่วยเหลือในช่วง 6 เดือนแรกของโครงการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 

การเปลี่ยนเงื่อนไขของรัฐทำให้ครอบครัวรายได้ต่ำหลายครอบครัวได้รับประโยชน์อย่างมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยข้อมูลสำมะโนประชากรแสดงให้เห็นว่า ความไม่มั่นคงด้านอาหารลดลงอย่างมากหลังจากการโอนเงินงวดแรก เนื่องจากหลายครอบครัวใช้เงินส่วนนี้เพื่อซื้อของชำ อุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า และชำระค่าสาธารณูปโภค 

จาคอบ โกลดิน (Jacob Goldin) ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนโยบายภาษีและเป็นแกนนำในการจัดทำจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ได้กล่าวอ้างอิงถึงงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าการลดความยากจนในเด็กมีผลในเชิงบวกอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะสำหรับเด็กจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย เพราะช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง เรียนหนังสือได้ดีขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีงานทำและมีรายได้มากขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าขยายโครงการ CTC ต่อไป และหากเป็นไปได้ก็ดำเนินการปรับปรุงจนสามารถกำหนดให้ CTC มีการบังคับใช้อย่างถาวร 

“เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะพบประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเห็นพ้องต้องกัน แต่เพราะมีหลักฐานที่หนักแน่นมากว่าการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมแก่เด็กๆ ที่เติบโตในครอบครัวที่มีรายได้น้อยให้ประโยชน์มหาศาลในชีวิตของพวกเขา” โกลดินกล่าว 

ทั้งนี้ หนึ่งในประเด็นหลักที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในสภาขณะนี้ก็คือ การที่พ่อแม่ต้องมีงานทำให้เรียบร้อยก่อนเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากโครงการนี้หรือไม่ โดยฝ่ายที่ทักท้วงการขยายโครงการ CTC เกรงว่า การให้ความช่วยเหลือดังกล่าว อาจซ้ำรอยปัญหาโครงการช่วยเหลือด้านสังคมอื่นๆ ของรัฐ ที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีแรงจูงใจในการทำงานเพราะรู้ว่าตนเองจะได้รับเช็คช่วยเหลือรายเดือนจากรัฐบาลอยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตาม Goldin ได้โต้แย้งโดยหยิบยกงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่บ่งชี้ว่า รายได้ที่ให้ผ่านโครงการไม่มีผลกระทบต่อการหางานทำของพ่อแม่อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งโครงการจะให้ความช่วยเหลือไปจนกว่าที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ 75,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 2,502,712บาท) สำหรับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว และ 150,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 5,005,425 บาท) สำหรับคู่สมรส และสิ่งที่งานวิจัยสรุปไว้ก็คือ โครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่เด็กโดยตรงและไม่กระทบต่อความต้องการในการทำงานของพ่อแม่ผู้ปกครองแต่อย่างใด 

แม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าพรรคเดโมแครตจะทำให้โครงการ CTC สามารถขยายแบบถาวรได้หรือไม่ แต่โกลดินก็ “มองโลกในแง่ดี” โดยเชื่อว่าสมาชิกพรรคเดโมแครตจะเดินหน้าผลักดันอย่างเต็มที่

สำหรับความเชื่อมั่นของโกลดินมีขึ้นหลังมีรายงานว่า ผู้นำสหรัฐฯ กำลังพยายามผลักดันให้โครงการนี้ได้ยืดอายุต่อไปจนถึงสิ้นปี ค.ศ. 2025 และถ้าเป็นไปได้ ก็จะให้คงไว้เป็นนโยบายถาวร ทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันรายได้น้อยที่มีบุตรวัยเยาว์รวมกันเกือบ 60 ล้านคนซึ่งมีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือภายใต้โครงการนี้ ในแต่ละเดือน จะได้รับเงินสูงสุดไม่เกิน 300 ดอลลาร์ต่อบุตร 1 คนที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี และเงินสูงสุดไม่เกิน 250 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับบุตรแต่ละคนที่มีอายุมากกว่า 6 ปีแต่ไม่เกิน 17 ปี

ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไบเดนประกาศว่า นโยบายนี้ “จะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวชาวอเมริกันจำนวนมาก” พร้อมยืนยันว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาความยากจน เช่นเดียวกับที่ระบบประกันสังคมช่วยลดความยากจนในประชากรผู้ใหญ่

ที่มา : Almost 450 economists signed a letter in favor of extending the enhanced child tax credit