กสศ. ผนึกพลังเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก เชื่อมไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กสศ. ผนึกพลังเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก เชื่อมไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ จัดประชุมสัมมนา “Learning, Sharing, and Networking for the UNESCO GNLC and UCCN Membership” โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูเนสโก ภายใต้ Participation Programme ประจำปี 2024 – 2025 

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายหลักคือ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์และข้อกำหนดการสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ (GNLC) และเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ (UCCN) ของยูเนสโก พร้อมกับการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีจากเมืองสมาชิกที่เข้าร่วมเครือข่ายแล้วทั้ง 10 เมืองใน GNLC และ 7 เมืองใน UCCN ของประเทศไทย เพื่อเป็นต้นแบบแก่เมืองที่สนใจเข้าร่วม และเพื่อส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างเมือง หน่วยงาน และผู้เชี่ยวชาญ ให้เตรียมการสมัครสมาชิกเครือข่ายเป็นไปอย่างมีระบบและยั่งยืน

ภายในงานมีผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศอาเซียน+8 เมืองเครือข่าย GNLC และ UCCN ประเทศไทย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และเยาวชน รวมกว่า 200 คน ซึ่งนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนาเป็นสมาชิกเครือข่ายระดับโลกของยูเนสโกอย่างเข้มแข็ง และเป็นการตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล ที่จะนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต 

ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเปิดการสัมมนาว่าการประชุมในครั้งนี้ เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือและการเติบโตที่ยั่งยืนระหว่างเมืองของประเทศไทยกับเครือข่ายระดับโลกขององค์การยูเนสโก ซึ่งการขับเคลื่อนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือเมืองแห่งการเรียนรู้ (Lifelong Learning) หัวใจสำคัญคือ การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้กับคนทุกช่วงวัย และทุกบริบทของชุมชน ซึ่งการเป็นสมาชิกเมืองแห่งการเรียนรู้ภายใต้เครือข่ายของยูเนสโก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะดึงศักยภาพของ “เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม” ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุนทางสังคม 

“ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการส่งเสริมเมืองต่าง ๆ ของประเทศไทยในการเข้าร่วมและพัฒนาภายใต้เครือข่าย “เมืองแห่งการเรียนรู้” และ “เมืองสร้างสรรค์” เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทั่วถึง และสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่และตอบโจทย์การเรียนรู้ของชุมชนได้อย่างยั่งยืน”

ด้าน Ms.Marina Patrier รองผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า เป็นครั้งแรกที่เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกมีโอกาสได้เชื่อมโยงการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองแห่งการสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในระยะเวลาไม่กี่ปีประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกได้กว่า 10 เมือง และเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกอีก 7 เมือง แต่ละเมืองสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นว่า พลังของการศึกษา ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม สามารถยกระดับชุมชนได้อย่างแท้จริง โดยมีหมุดหมายคือ การสร้างเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกช่วงวัย ทุกอาชีพ ได้เกิดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอนาคตที่ยั่งยืน 

ขณะที่ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวถึงบทบาทของ กสศ. ในการร่วมส่งเสริมให้เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้ว่า เมืองแห่งการเรียนรู้นับว่าเป็นหัวใจสำคัญต่อการขับเคลื่อนวาระระดับชาติและระดับประเทศ ที่จะช่วยหนุนเสริมให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในเป้าหมายที่ 1, 4 ,8 ,10 ,และ 17 แล้ว ยังเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 โดยเฉพาะหมุดหมายที่ 8, 9 ,และ 12 ในการแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่น เพื่อให้เมืองแห่งการเรียนรู้เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เด็กและเยาวชนของไทยไม่แพ้ใครในโลก 

นอกจากนั้น เมืองแห่งการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญที่จะเปลี่ยนพลังคนและพลังเมือง เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเกิดการเรียนรู้และได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมและเต็มศักยภาพด้วยพลังของคนทั้งเมือง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กและเยาวชนที่ไม่มีรายชื่ออยู่ในระบบการศึกษาประมาณ 880,000 คน ซึ่งลดลงมาจาก จำนวน 1.02 ล้านคน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแนวคิดและกลไกเมืองแห่งการเรียนรู้จะเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยผลักดันให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสได้พัฒนาตัวเอง นอกจากนี้ยังพบว่าในแต่ละปีมีเด็กยากจนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เพียง  13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  ฉะนั้นเส้นทางแห่งการเรียนรู้ เส้นทางแห่งการมีอาชีพ และเส้นทางของการพัฒนาตนเอง สามารถทำได้หลายเส้นทาง 

“กสศ. กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ร่วมขับเคลื่อนงานด้านการศึกษามากว่า 10 ปี ในการสร้างกลไก “ปวงชนเพื่อการศึกษา”แม้ที่ผ่านมากว่า 30 ปี ประเทศไทยจะมีปฏิญญาจอมเทียน (Jomtien Declaration) หรือปฏิญญาการศึกษาเพื่อปวงชน ทำให้เกิดข้อค้นพบว่า การศึกษาเพื่อปวงชนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปวงชนช่วยกันผลักดันการศึกษา ซึ่งเมืองแห่งการเรียนรู้นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดกลไกดังกล่าว”

เช่นเดียวกันกับ นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การเข้าร่วมเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้เป็นอีกหนึ่งคำตอบที่จะทำให้เกิดกลไกลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เนื่องจากกรุงเทพมหานคร มีโรงเรียนในสังกัดหลายแห่ง จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนผ่านจาก Education สู่การเป็น Learning เพื่อให้เกิดความต้องการในการเรียนรู้ที่มากขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ความต้องการของนักเรียนอย่างแท้จริง 

รองศาสตราจารย์ ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่เป็นสมาชิกของเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก ซึ่งสิ่งสำคัญที่ค้นพบในการทำงานร่วมกับท้องถิ่นพบว่าชุมชนมีความสุขมากขึ้นกับการเรียนรู้ที่จับต้องได้ในรูปแบบ Learn to Earn ประชาชนเกิดความภูมิในในภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้นและนำไปสู่การประกอบอาชีพ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และการสร้างเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย 

นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ฉายภาพความร่วมมือในการเชื่อมเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกว่า การบูรณาการทั้งสองเครือข่ายสะท้อนให้เห็นถึงการเรียนรู้ของผู้คน ซึ่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างคน ขณะที่การสร้างสรรค์บนฐานของวัฒนธรรมคือพลังที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เพียงแต่ว่าเมืองสร้างสรรค์จะเป็นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึงการสร้างคุณค่าของคน สร้างคุณค่าของสังคม เป็นการพัฒนาคน ให้มีแรงมีพลังในการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งต่อไป

กระทรวงวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเครือข่ายเชิงสร้างสรรค์ของประเทศไทย โดยทำหน้าที่ประสานงานระหว่างเมืองต่าง ๆ และเชื่อมโยงกับภาคีทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์รวมอยู่ 7 เมือง  ซึ่งแต่ละเมืองสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของแต่ละเมืองได้ แสดงถึงศักยภาพของเมืองสู่เวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านหัตถกรรม อาหาร การออกแบบ หรือดนตรี ความสำเร็จที่คนไทยได้พบเหล่านั้นก็เกิดมาจากพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ศิลปิน ผู้ประกอบการ และชุมชน ซึ่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นก้าวสำคัญในการที่จะเสริมสร้างเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้และเมืองสร้างสรรค์ให้เข้มแข็ง ตลอดจนการที่จะช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยต่อไปในอนาคต