วันที่ 25 ธันวาคม 2568 มูลนิธิเคเอฟซี (ประเทศไทย) จัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และมูลนิธิปัญญากัลป์ เพื่อร่วมกันพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตจริงของเด็กและเยาวชนในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน รวมถึงสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในพื้นที่ภาคตะวันออก พิธีลงนามจัดขึ้น ณ บริษัทยัม เรสเตอรองส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กรุงเทพมหานคร

คุณแจเน็ต รุ้งสิทธิกุล ผู้จัดการมูลนิธิเคเอฟซีประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการสานต่อการทำงานร่วมกับ กสศ. ภายใต้โครงการ “KFC Bucket Search” ซึ่งใช้หลักสูตรการเรียนรู้แบบยืดหยุ่น เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะอาชีพให้กับเยาวชนกลุ่มเปราะบาง เด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา เยาวชนในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงพ่อแม่วัยใส โดยนำหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานของ KFC มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน และสร้างโอกาสให้พวกเขามีทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการก้าวสู่การทำงานอย่างมั่นคง
คุณแจเน็ตระบุว่า จากการดำเนินงานที่ผ่านมา โครงการดูแลและพัฒนาเยาวชนประมาณ 400 คน และในปีนี้ตั้งเป้าขยายผลเป็น 1,000 คน พร้อมเดินหน้าพัฒนาไปสู่ 1,500 คนในอนาคต ด้วยความเชื่อว่า “ทุกศักยภาพไม่ควรถูกทอดทิ้ง” ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการต่อยอดการทำงานตั้งแต่โครงการนำร่องในปี 2566 และขยายผลสู่รุ่นที่ 2 ในปี 2567 โดยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค พร้อมสร้างพื้นที่เรียนรู้ผ่านเวิร์กชอป พัฒนาทักษะการทำงาน เชื่อมโยงประสบการณ์เพื่อการเทียบโอนหน่วยกิต และเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนสามารถมีรายได้ควบคู่การเรียนรู้
ทั้งนี้ ความสำเร็จของการทำงานเกิดจากการบูรณาการของหลายภาคส่วน โดย กสศ. ทำหน้าที่ชี้เป้ากลุ่มเด็กที่ต้องการโอกาส KFC สนับสนุนด้านอาชีพและการฝึกประสบการณ์ทำงาน สถานพินิจและนักสังคมสงเคราะห์ร่วมดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด ศาลอนุญาตให้เด็กออกไปฝึกงานภายใต้ระบบกำกับดูแลที่เหมาะสม และมูลนิธิปัญญากัลป์ช่วยออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ ทำให้ทุกฝ่ายสามารถร่วมกัน “ประคับประคอง” เด็กแต่ละคนให้กลับมามั่นใจในเส้นทางชีวิตใหม่ของตนเอง

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษากรรมการบริหาร กสศ. กล่าวว่า ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในโครงการนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งแม้จะเคย “ก้าวพลาด” แต่ยังคงได้รับโอกาสในการแก้ไขและพิสูจน์คุณค่าในตัวเอง การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนช่วยสร้างหลักสูตรการเรียนรู้ที่เปิดพื้นที่ให้เด็กค้นพบศักยภาพ ความถนัด และสามารถต่อยอดไปสู่ทักษะอาชีพที่ช่วยให้ยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเอง
“การทำงานลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษากับเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งต้องการแนวร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ มาช่วยกันฝ่ากำแพง ช่วยกันบูรณาการการทำงาน ออกแบบหลักสูตรที่ช่วยจุดประกายการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง เกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถผลักดันกระบวนการดูเด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาด ช่วยเด็กที่เคยล้มให้ลุกขึ้นได้และกลับมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงา ที่ร่วมกันใช้การศึกษา เยียวยาชีวิตของเด็กก้าวพลาดกลุ่มนี้ได้” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว

ด้าน ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์ กล่าวว่า การออกแบบหลักสูตรในโครงการนี้ยึดแนวคิด “การเรียนรู้แบบบูรณศาสตร์” ไม่เน้นรายวิชาแยกส่วน แต่เชื่อมโยงองค์ความรู้จากหลายศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน ให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหา และสามารถนำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ทำให้เด็กเห็นว่าตนเองมี “หลายเส้นทางเลือก” ที่สามารถเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การมีอนาคตที่มั่นคงและมีศักดิ์ศรี
ขณะเดียวกัน ดร.อุดม ลาภิเศษพันธุ์ ประธานผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดชลบุรี ระบุว่า การดูแลเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยยึดตามหลักของ UNODC หรือสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ ที่ให้ความสำคัญกับประโยชน์สูงสุดของเด็ก เน้นการฟื้นฟูมากกว่าการลงโทษ ลดการตีตราทางสังคม และเปิดโอกาสให้เด็กกลับคืนสู่สังคมอย่างสง่างาม โดยเชื่อว่า หากกระบวนการยุติธรรมมีเพียงการตัดสินโทษโดยไม่เปิดพื้นที่ให้โอกาส เด็กเหล่านี้จะไม่สามารถกลับมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าได้
คุณจิตติมา กระสารติ์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนระยอง เขต 2 กล่าวว่า สิ่งที่ทุกคนในศูนย์ฝึกฯ ต้องการเห็นมากที่สุด คือ การที่เด็กและเยาวชน “มีที่ยืนในสังคม” ซึ่งโครงการ KFC Bucket Search ช่วยตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะไม่เพียงให้เด็กได้ฝึกงานและทำงานจริง แต่ยังมองพวกเขาในฐานะ “เพื่อนร่วมงานและลูกศิษย์” ไม่ใช่ผู้กระทำผิด ทำให้โอกาสที่ได้รับกลายเป็น “ของขวัญที่มีความหมายที่สุด” ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต


หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ “น้องเชพ” (นามสมมติ) ซึ่งกำลังเรียนไปด้วยและทำงานที่ KFC สาขาชลบุรีเป็นเวลาเกือบ 6 เดือน เล่าว่า นอกจากทักษะงานในร้านแล้ว สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือเรื่องระเบียบวินัยและความรับผิดชอบต่อผู้อื่น จากเดิมที่ไม่กล้าพูดคุยกับใคร ปัจจุบันสามารถสื่อสารและทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น
“หลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่าถ้าผมไปทำงานสาย เพื่อนร่วมงานก็ต้องลำบากทำงานแทนผม ความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตอนแรกที่ผมไปทำงาน ผมไม่กล้าคุยอะไรเยอะ แต่ตอนนี้ผมกล้าคุยกับคนอื่น และรู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสจากพี่ ๆ ทุกคน ได้รับการศึกษาและให้โอกาสผมทำงาน แล้วก็มีเงินเดือนที่จะเลี้ยงดูตัวเอง”
ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการขยายโครงการไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการใช้ “การศึกษาและทักษะอาชีพ” เป็นเครื่องมือฟื้นฟูชีวิต คืนศักดิ์ศรี และสร้างเส้นทางใหม่ให้เด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาดกลับมายืนหยัดในสังคมได้อย่างมั่นคง
