เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.), กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.), สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (สบร.), กับ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประจำประเทศไทย จัดงานมอบ “รางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย” (Thailand Learning City Award) ณ ลานสานฝัน อุทยานการเรียนรู้ Thailand Knowledge Park หรือ TK Park เพื่อยกย่องเมืองต้นแบบที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ตลอดชีวิต 16 แห่ง และสร้างแรงบันดาลใจให้เมืองอื่นพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน โดยมีตัวแทนหน่วยงานด้านการศึกษาทั้งระดับชาติและนานาชาติ รวมถึงตัวแทนเมืองแห่งการเรียนรู้เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

รศ.ดร.ผณินทรา ธีรานนท์ เลขานุการเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย กล่าวถึงบทบาทของ “รางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย” ในการส่งเสริมเมืองต้นแบบและสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งระดับชาติและนานาชาติที่นำแนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” มาปรับใช้กับบริบทของไทย “งานมอบรางวัลฯ เชิดชูเกียรติเมืองต้นแบบด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต และสะท้อนพลังร่วมของ บพท., กสศ., สบร. และยูเนสโก ประเทศไทย สร้างแรงบันดาลใจให้เมืองอื่นก้าวสู่การเรียนรู้อย่างยั่งยืน โดยมีมหาวิทยาลัยพะเยาเป็นเลขานุการ”

ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ประธานคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาการขับเคลื่อนวิทยสถาน “ธัชภูมิ” ภายใต้ บพท. ในฐานะประธานในพิธีมอบรางวัล ชี้ให้เห็นว่า “เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้” เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเมือง ช่วยให้เมืองต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูล วางแผน และติดตามผลลัพธ์การเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างเป็นระบบ พร้อมเชื่อมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษาและภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน “การเรียนรู้คือพลังของการสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้สังคมเติบโตไปอย่างยั่งยืนและก้าวหน้า การสร้างเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ อันจะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น และพัฒนาเมืองไปด้วยกัน”

ในขณะที่ รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการ ฝ่ายแผนงานและยุทธศาสตร์องค์กร บพท. เสริมถึงความสำคัญของ “แพลตฟอร์มเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย” (Thailand Learning City Platform) ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งออฟไลน์และออนไลน์ “แพลตฟอร์มเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย ไม่ใช่ระบบดิจิทัล แต่เป็น ‘ชานชาลาแห่งการเรียนรู้’ ที่ทุกคนสามารถเข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน เป็นพื้นที่ทำให้เมืองกลายเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง”

แพลตฟอร์มเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก
- Learning City Academy and Forum พื้นที่แลกเปลี่ยนบทเรียนระหว่างเมือง สร้างความเข้าใจร่วมในพลังของการเรียนรู้
 - Learning City Evaluation and Strategic Research ต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ซ้ำได้
 - Learning City Award ยกย่องเมืองต้นแบบ สร้างแรงบันดาลใจและเผยแพร่แนวปฏิบัติที่ดี
 - Learning City Database and Digital Platform เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรเพื่อพัฒนาเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
 - Learning City Week เป็นเวทีรวมพลังภาคีประจำปี แลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจและเชื่อมผู้ขับเคลื่อนการเรียนรู้
 - Lifelong Learning Booster ช่วยค้นหาและเผยแพร่นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นจริงในทุกพื้นที่
 

ดร.อภิชาติ ประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สบร. ให้ความสำคัญกับบทบาทของแหล่งเรียนรู้ในระดับพื้นที่ ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างพลเมืองตื่นรู้ และพัฒนาวัฒนธรรมการเรียนรู้ในชุมชน รวมทั้งสนับสนุนให้พื้นที่สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น “แหล่งเรียนรู้ อย่าง TK Park คือหัวใจของการพัฒนาคนและเมือง เพราะเมื่อคนเข้าถึงองค์ความรู้และทักษะ เขาจะสร้างคุณค่าและเกิดวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ในชุมชน”

ส่วน นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. ขยายมุมมองไปยังการขยายผลของเมืองแห่งการเรียนรู้ต่อการพัฒนาเมืองในมิติสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตเยาวชน โดยการมอบรางวัลสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนาเด็กกับการพัฒนาเมือง “4 ประเภทรางวัลในปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ สามารถขยายผลไปสู่ด้านอื่นๆ ของเมือง ช่วยให้เด็กและเยาวชนเติบโตเข้มแข็งควบคู่ไปกับการพัฒนาเมือง”




ปีนี้ มีเมืองที่ได้รับรางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทยทั้งหมด 16 เมือง แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- เมืองสำหรับเด็กและเยาวชน (Learning City for CHILDREN and YOUTH) มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมปลอดภัยและเอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนอย่างรอบด้าน
 - เมืองอัตลักษณ์ท้องถิ่น (Learning City for CULTURAL IDENTITY) ใช้การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นกลไกสืบสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
 - เมืองลดความเหลื่อมล้ำ (Learning City for EQUITY) เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้อย่างเท่าเทียมเพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคม
 - เมืองเศรษฐกิจ (Learning City for ECONOMY) ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย
 

นายบุญเยี่ยม เหลาสะอาด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเมืองอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญ (ฝ่าย 3) หน่วย บพท. ชี้ให้เห็นบทบาทของงานวิจัยและทุนพัฒนาเมืองในการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งช่วยให้เมืองรองสามารถวางแผนการพัฒนา เชื่อมโยงคนกับพื้นที่บ้านเกิด และขยายผลต้นแบบไปสู่เมืองอื่น “การสนับสนุนเชิงวิชาการทำให้การขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มีทิศทางและกรอบทางวิชาการที่ตั้งอยู่บนความคาดหวังของประชาชน และเป็นตัวอย่างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

ในขณะที่ คุณริกะ โยโรซุ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจาก สำนักงานยูเนสโก ส่วนภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ ขยายแนวคิดไปยัง เครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก (UNESCO Global Network of Learning Cities) ซึ่งเป็นเวทีความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ต้องอาศัยพลังร่วมทั้งจากระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยการยอมรับผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต คือกุญแจสำคัญในการจุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้คนเรียนรู้และเติบโตอย่างต่อเนื่อง “การเรียนรู้ต้องอาศัยความร่วมมือ และการยอมรับผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนค้นพบตัวตนและทิศทางอนาคตของตน”



ภายในงานยังมีเสวนาภายใต้หัวข้อ “UNESCO-GNCL: 3 Voices, 1 Network”นำโดยตัวแทนเมืองแห่งการเรียนรู้จากจังหวัดขอนแก่น ฉะเชิงเทรา และพะเยา หลายเมืองในประเทศไทยเข้าสู่ UNESCO Global Network of Learning Cities เพราะมีศักยภาพด้านการเรียนรู้โดดเด่น ทั้งด้านนโยบายและทรัพยากร เช่น ขอนแก่นมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนและเครือข่ายมหาวิทยาลัยขับเคลื่อนเมือง ฉะเชิงเทรามีผู้นำที่มุ่งมั่นและกลไกชัดเจน พะเยามีทุนทางวัฒนธรรมและเครือข่ายท้องถิ่นเข้มแข็ง ส่วนปัตตานีและสตูลสร้างจากศักยภาพเฉพาะตัวและการสนับสนุนภาคีเครือข่าย การเข้าร่วม GNCL ช่วยเมืองเหล่านี้พัฒนาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและประชาชนทุกวัย สร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ขับเคลื่อนการศึกษาและเศรษฐกิจท้องถิ่น ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และสร้างผู้นำรุ่นใหม่ พร้อมแรงบันดาลใจให้เมืองอื่นเข้าร่วมเครือข่าย โดยเริ่มจากจุดเด่นของเมือง ปรับใช้แนวปฏิบัติที่ดี และสร้างผลลัพธ์จับต้องได้ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขยายผลและเชื่อมเมืองไทยกับเครือข่ายนานาชาติ

แนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” เป็นแนวคิดสากลที่ยูเนสโกส่งเสริมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ผ่าน “ปฏิญญากรุงปักกิ่ง” (Beijing Declaration on Building Learning Cities) เพื่อพัฒนาคนทุกช่วงวัยให้เข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างพลเมืองตื่นรู้ที่มีจิตสำนึกสาธารณะและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน สังคม และเศรษฐกิจ ประเทศไทยเริ่มพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ระหว่างปี พ.ศ. 2560–2563 และปัจจุบันมี 10 เมืองได้รับการรับรองเป็นสมาชิกเครือข่าย UNESCO GNLC ซึ่งช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระดับชาติและนานาชาติ สนับสนุนการปรับตัวต่อโลกยุคใหม่ และขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

รางวัลเมืองแห่งการเรียนรู้ประเทศไทย จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2568 เพื่อเชิดชูเมืองที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างแรงบันดาลใจให้เมืองอื่นก้าวสู่การเรียนรู้อย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.) โดยมีมหาวิทยาลัยพะเยาเป็นเลขานุการในการบริหารจัดการงานประกวดและเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของประเทศไทย