“พื้นที่ปลอดภัย” คือ สังคมที่เห็นทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง
คุยกับพี่ตูน Stoondio เรื่อง Safe Space และการสร้างโอกาสให้เด็กค้นพบเส้นทางการเรียนรู้

“พื้นที่ปลอดภัย” คือ สังคมที่เห็นทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง : คุยกับพี่ตูน Stoondio เรื่อง Safe Space และการสร้างโอกาสให้เด็กค้นพบเส้นทางการเรียนรู้

“พื้นที่ปลอดภัยในมุมมองของเราคือ ‘สังคมที่เห็นทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน’ คือไม่ว่าใครก็ตามควรเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นพื้นฐาน ส่วนจากตรงนั้นคือการสนับสนุนตามศักยภาพ ซึ่งไม่ใช่มีเพียงไม่กี่เบ้าที่พยายามหลอมให้ทุกคนเป็นในสิ่งเดียวกันตามสังคมกำหนด”

พี่ตูน Stoondio หรือ โชติกา คำวงศ์ปิน หนึ่งในศิลปินที่ร่วมขึ้นเวทีในกิจกรรม ‘Equity Day ชวนสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อเด็กทุกคน’ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนจากโครงการ Thailand Zero Dropout ทั่วประเทศ ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพและความสามารถที่หลากหลาย พร้อมทั้งร่วมพูดถึงความหมายของ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ (Safe Space) โดยเชิญชวนสังคมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เด็ก ๆ มีโอกาสเลือกเส้นทางการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

พี่ตูนกล่าวว่า “การดูแลทุกชีวิตให้เข้าถึงโอกาสต่าง ๆ ควรเป็นเรื่องพื้นฐาน เพราะมันแสดงว่าเราให้ความสำคัญกับชีวิตหนึ่งชีวิตที่เกิดขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องของการเปิดพื้นที่ให้มีความหลากหลาย เด็ก ๆ ที่มีความสนใจหรือถนัดด้านไหนก็ควรได้รับโอกาสในการเรียนรู้ ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องเก่งวิชาการหรือมีเป้าหมายชีวิตเหมือนกันทั้งหมด เด็กที่ทำตามมาตรฐานสังคมไม่ได้ ก็ไม่หมายความว่าเขาจะไม่มีศักยภาพอะไรเลย”

Safe Space ของพี่ตูนจึงไม่ใช่แค่สถานที่ แต่เป็นการขยายความเข้าใจและการรับรู้ออกไปว่าธรรมชาติของคนคือความหลากหลาย ทุกคนมีความสำคัญและต่างเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน “อย่างในวงของเรามีทั้งคนที่เรียนไม่จบและคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการเรียนปกติ แต่ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีคืออะไร แล้ววงดนตรีก็เป็นภาพแทนเล็ก ๆ ของสังคมได้ว่าทุกคนมีความสำคัญ เราต้องเอาความสามารถของแต่ละคนมาประกอบกัน ขาดใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เพราะทุกคนดีและเก่งในแบบของตัวเอง มีตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นเราจะใช้บรรทัดฐานเดียววัดคนทุกคนไม่ได้ แต่ที่ต้องช่วยกันคือสนับสนุนคนคนหนึ่งให้สามารถหาที่ทางของตัวเองจนพบ”

พี่ตูนบอกว่าการค้นหาเพื่อพบและพาเด็กคนหนึ่งที่หลุดจากเส้นทางเรียนรู้กลับสู่โอกาส นอกจากต้องใช้สายตาและมือของคนทั้งสังคมแล้ว เรื่อง ‘เวลาในการเรียนรู้’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน 

“กว่าเด็กคนหนึ่งจะพบเส้นทางของตัวเอง เราระบุไม่ได้ว่าหนึ่งปี สองปี หรือสามปี เพราะไม่ใช่ทุกคนจะพบเจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ในเวลาเท่า ๆ กัน พื้นที่ปลอดภัยจึงควรหมายถึง ‘เวลาสำหรับหนึ่งชีวิต’ ด้วย คนคนหนึ่งจึงควรได้ทดลองเรียนรู้โดยไม่ถูกดดันเร่งรัดผลสำเร็จ แต่ขอให้ประเมินผ่านกระบวนการเรียนรู้เป็นรายคน ว่าเขาทำได้ดีกว่าวันแรกแค่ไหน หรือวันนี้ของเขาพัฒนาขึ้นจากเมื่อวานแค่ไหน ไม่ใช่มีการวัดผลเพียงรูปแบบเดียว พอไม่ใช่ก็คัดออกหรือไม่ให้โอกาสอีก …นี่คือการขยายบ่อโอกาสให้ใหญ่ขึ้น เพื่อโอกาสของเด็กคนหนึ่ง และโอกาสสำหรับสังคมของเรา”