ถ้ามีโอกาส ก็อยากคว้าไว้ทั้งหมด : เรื่องราวจากห้องเรียนกลางไร่ส้มของเด็กชาติพันธุ์ ที่ตอนนี้มีการเรียนเป็นความฝันที่เอื้อมถึง

ถ้ามีโอกาส ก็อยากคว้าไว้ทั้งหมด : เรื่องราวจากห้องเรียนกลางไร่ส้มของเด็กชาติพันธุ์ ที่ตอนนี้มีการเรียนเป็นความฝันที่เอื้อมถึง

“ผมขับรถมาจากในเมืองเชียงใหม่ประมาณ 150 โลครับพี่” 

150 กิโลเมตร คือ ระยะทางคร่าวๆ ที่ชาตรี วัย 19 ปี เยาวชนชาติพันธุ์ดาราอั้ง ต้องบิดมอเตอร์ไซต์จากอำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อมาเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ‘ศูนย์การเรียนรู้ไร่ส้มวิทยา’ โรงเรียนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางไร่ส้มที่ตำบลแม่ข่า อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่ว่าเราจะมองออกไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวจนสุดลูกหูลูกตา

ศูนย์การเรียนรู้ไร่ส้มวิทยาเป็นสถานศึกษาที่ออกแบบการเรียนการสอนบนเงื่อนไขชีวิตของเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานแรงงานและกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ เพราะระบบการศึกษาทั่วไปนั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่ผลักพวกเขาออกมา ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียน สัญชาติ อายุ และข้อจำกัดทางด้านภาษา

ชาตรี

โดยทุกๆ เดือน จะมี 1 สุดสัปดาห์ (เสาร์-อาทิตย์) ที่คณะครูจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก นั่งรถตู้จากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับที่นี่ ภายใต้โครงการ ‘ห้วยซ้อวิทยาคมสัญจรสู่ห้องเรียนระบบสอง’ ซึ่งเป็นการนำรูปแบบห้องเรียนระบบสองที่มีความยืดหยุ่นของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมมาใช้กับการเรียนการสอนกับเด็กส่วนหนึ่งของศูนย์การเรียนรู้ไร่ส้มวิทยา ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

ซึ่งโครงการนี้ทำให้เด็กๆ ภายใต้โครงการมีชื่อเป็นนักเรียนภายใต้สังกัดโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม แม้ว่าบางคนจะไม่เคยแวะไปที่โรงเรียนเลยก็ตาม

สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้จากการเปิดประตูเข้าไปนั่งเรียนพร้อมกับเด็กๆ คือ ความกระตือรือร้นในการเรียน ที่ไม่ว่าครูหน้าห้องจะให้ทำอะไร เด็กๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เช่น พอให้ตอบคำถาม ก็จะลุกขึ้นมาตอบโดยไม่อิดออด

ครูกิ๊ก-พรรณภา ชิมโพธิ์ครัง ครูผู้ดูแลห้องเรียนระบบสอง อธิบายว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กๆ อยากมาเรียน คือ พวกเขาอยากได้สัญชาติ เพราะการมีบัตรจะทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก สมัครงานที่ไหนก็ได้ และในตอนนี้เด็กๆ บางส่วนของศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยาก็มีบัตรหัวศูนย์ (บัตรประชาชนที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 สำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ไม่มีสัญชาติ และยังไม่ได้รับการให้สัญชาติไทย) แล้ว

“ปีที่แล้วเด็กๆ เขาจบ ป.6 จากที่นี่ แล้วเขาอยากเรียนต่อ แต่โอกาสการเรียนต่อของเขามันน้อยมาก เขาไม่กล้าออกจากพื้นที่ แล้วถ้าเรียนในระบบก็ต้องมีค่าใช้จ่าย โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมเลยมาชวนเด็กๆ ให้มาเรียนด้วยกัน เพราะเรามีการเรียนการสอนแบบระบบสอง”

ครูกิ๊ก-พรรณภา ชิมโพธิ์ครัง

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง คือ การมีวุฒิการศึกษาสามารถยกระดับชีวิตของพวกเขาได้ เพราะแค่มีวุฒิ ตัวเลือกในการทำงานของพวกเขาจะมากขึ้น ทำให้แม้แต่ทู เด็กสาววัย 18 ปี ชาติพันธุ์ไทยใหญ่ยังกลับมาเรียนทั้งที่ก่อนหน้านี้อยากทำงานไปวันๆ เท่านั้น

“เมื่อก่อนไม่อยากเรียนต่อ อยากทำงานมากกว่า”

ก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ทูวางแผนว่าจะรับจ้างทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ได้มองว่าการเรียนเป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่ค่าแรงที่ได้นั้นน้อย ตอนทำงานที่แรกก็โดนเจ้านายดุด่า ต้องย้ายงานถึงจะเจอเจ้านายที่ใจดี ทูจึงอยากหาโอกาสการทำงานที่ดีกว่าให้กับตัวเอง และทูรู้ว่าถ้าไม่มีวุฒิการศึกษา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้งานดีๆ การเรียนจึงกลับมาอยู่ในสายตาของเธออีกครั้ง

เพื่อคว้าโอกาสให้กับตัวเอง เด็กที่นี่จึงตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรม จนเรียกได้ว่าแม้แต่ชาตรีที่ขับรถมา 3-4 ชั่วโมงก็ไม่แสดงอาการเพลียให้เห็น แต่ในทางกลับกันเราสัมผัสได้ถึงความ ‘อยากเรียน’ ที่แผ่ออกมาผ่านแววตา

ความกระตือรือร้นของลูกศิษย์ ก็เป็นสิ่งที่เติมเชื้อไฟในการสอนของคณะครูได้เป็นอย่างดี เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของพวกเขา แม้จะมีปัจจัยชีวิตเป็นอุปสรรคก็ตาม

“ความเหนื่อยในการจัดการเรียนการสอนมีอยู่แล้ว แต่เด็กที่นี่ให้ความร่วมมือดี เหมือนกับเขารู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสน้อย ถ้าใครยื่นให้ต้องรับไว้ พอเห็นเขาตั้งใจเราก็หายเหนื่อย แล้วก็อยากให้เขาสมหวัง ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้”

เพราะฉะนั้นระยะทางกว่า 200 กิโลเมตรจากเชียงรายมาที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยาจึงไม่ไกลสำหรับการให้ความฝันทางการศึกษาของเด็กๆ กลุ่มนี้เป็นจริง

ฝันเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ คือการได้เรียนต่อ

“พี่ติดตาม TikTok ผมให้หน่อย ผมอยากไลฟ์ติดตะกร้า มันต้องมีผู้ติดตาม 1,000 คน” เอ็มเจพูดกับเราหลังจากไปนั่งคุยด้วย

เอ็มเจ วัย 17 ปี เป็นลูกครึ่งยาง-ไทยใหญ่ที่สามารถพูดได้ 3 ภาษาด้วยกัน แต่ไม่ชอบภาษาอังกฤษ

เอ็มเจมักเป็นคนแรกๆ ที่มาถึงศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา เพราะปกติแล้ว เอ็มเจกับครอบครัวทำงานอยู่ในไร่ส้ม ทำให้ใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็เดินทางมาถึงห้องเรียน ซึ่งเอ็มเจบอกกับเราว่าเขาชอบมาเรียนมาก และชอบมากกว่าการไปทำงาน เพราะมาเรียนไม่ร้อนเหมือนตอนอยู่กลางไร่ส้ม

“ผมชอบเรียนวิทยาศาสตร์ เขาสอนให้ดูค่าดิน เราก็เอาไปใช้กับการทำงานในไร่ส้มได้ แล้วผมก็ชอบทำอาหารด้วย ทำเป็นทุกเมนูเลยครับ”

เมื่อคณะครูจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมแจกกระดาษให้เด็กๆ ทุกคนเขียนเกี่ยวกับตัวเอง ส่วนเอ็มเจเขียนในห้องความฝันของตัวเองว่า อยากมีบ้านสักหลัง และมีรถมอเตอร์ไซต์ให้ขับซิ่งๆ ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ

แต่ก่อนจะไปถึงฝัน เอ็มเจคิดว่าเขาอยากทำงานเก็บเงินให้ได้มากกว่านี้ ซึ่งการทำงานในไร่ส้มอาจจะไม่สามารถทำให้เขาใกล้ความฝันได้ เขาจึงอยากเรียนเพื่อได้วุฒิการศึกษา เพื่อเอาวุฒิไปสมัครทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารที่ได้เงินเดือนมากกว่าการเป็นคนสวน

ฝันที่ใกล้ที่สุดของเอ็มเจในตอนนี้คือการเรียนให้จบม.3 เพื่อได้วุฒิการศึกษาสำหรับการไปทำงาน และมันอาจจะเป็นวุฒิการศึกษาที่ทำให้เขาได้เรียนสูงกว่านี้

“ถ้าได้วุฒิแล้วผมก็อยากเรียนต่อนะ จะได้วุฒิสูงขึ้นอีก ผมชอบมาเรียนด้วย”

เอ็มเจ

แต่ต่อให้ไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา ความอยากเรียนของชาตรี หนุ่มชาติพันธุ์ดาราอั้งที่ซิ่งรถมาเป็นร้อยๆ กิโล ก็ไม่แพ้เอ็มเจเลยแม้แต่น้อย

“ผมมาเรียนไม่บ่อย เพราะถ้าจะมาต้องลางาน”

ตอนนี้ชาตรีมีอาชีพเป็นลูกจ้างร้านอะลูมิเนียมในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยมีหน้าที่หลัก คือการติดตั้งกระจกและบานประตู ถึงแม้กิจกรรมการเรียนการสอนจะเกิดขึ้นเดือนละ 1 ครั้ง แต่ชาตรีก็ไม่ได้เข้าร่วมทุกครั้ง เพราะเขาไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หากจะมาเรียนจะต้องลางาน และถ้าลางานก็จะขาดรายได้

ต่อให้การมาเรียนจะยุ่งยากและลำบาก แต่ชาตรีก็ยังอยากเรียน และเขาก็ทดแทนชั่วโมงกิจกรรมที่หายไปด้วยการขยันเข้าเรียนออนไลน์ทุกเย็นวันพุธ แถมล่าสุดยังทำคะแนนได้ดีในวิชาภาษาอังกฤษจนได้รับรางวัลเป็นกล่องสุ่มตุ๊กตาที่กำลังเป็นที่นิยมจากครูกิ๊ก

ส่วนกิจกรรมที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา ชาตรีก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ ให้เขียนอะไรก็เขียน ให้วาดอะไรก็วาด ถึงแม้จะรู้ตัวว่าตัวเองวาดรูปไม่เก่ง และลายมือไม่สวยจนแม้แต่ตัวเองก็แทบจะอ่านไม่ออก

พอให้จับกลุ่มทำข้าวพอง ชาตรีก็อาสายืนตำเศษข้าวแต๋นให้เป็นชิ้นเล็กๆ สลับกับเดินไปหยอกล้อเพื่อนๆ กลุ่มอื่นด้วยท่าทีสนิทสนม แม้ว่าเขาเพิ่งมารู้จักกับเพื่อนๆ จากการเข้ามาเรียนในโครงการนี้ ต่างกับเด็กคนอื่นๆ ที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ทำงานอยู่ในไร่ส้ม

เพราะถ้าชาตรีไม่ตั้งใจเรียน ไม่สุงสิงกับเพื่อน การขับมอเตอร์ไซต์มากว่า 150 กิโลก็ไร้ความหมาย

“ผมอยากเป็นเถ้าแก่ร้านอะลูมิเนียมของตัวเอง ไม่รู้จะทำได้ไหม แต่ก็ไม่มีฝันอื่นนอกจากนี้หรอก”

การคลุกคลีกับร้านอะลูมิเนียมทำให้ชาตรีคิดว่า นี่เป็นอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง และถ้าไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครก็อาจจะสบายกว่านี้ เขารู้ว่าความฝันนี้ฟังดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ไม่มีความฝันอื่นอีกแล้ว เพราะแค่นี้ก็รู้สึกว่ายาก และไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ

แต่ถ้าให้นึกถึงฝันที่ใกล้ตัวขึ้นมาหน่อย ชาตรีนึกถึงการได้วุฒิ ม.6 เพราะหลังจากจบกิจกรรมสัปดาห์นี้ไป เขาก็จะได้วุฒิ ม.3 แล้ว และทางโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมก็เปิดรับสมัครนักเรียนระบบสองในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งชาตรีก็สมัครทันทีหลังถ่ายรูปสำหรับยื่นจบ ม.3

ถึงแม้พอเทียบกับเด็กในระบบทั่วไปที่อายุ 15 ก็จบ ม.3 อายุของชาตรีถือว่ามากกว่าคนอื่น รวมไปถึงเพื่อนในห้องที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยาบางคน แต่อายุไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนภายใต้โครงการนี้ และถ้ามัวกังวลเรื่องอายุ ชาตรีก็คงไม่ได้เรียน

“ส่วนใหญ่เด็กๆ ที่อยู่ในไร่ส้มเขาอพยพมากับพ่อแม่ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีบัตรประจำตัว แต่พอมาเรียนที่นี่เขาได้บัตรหัวศูนย์ เด็กๆ พวกนี้เขาเชื่อว่าการศึกษาจะทำให้เขาได้ประกอบอาชีพที่ดี เลี้ยงครอบครัวได้ เพราะค่าแรงที่เด็กๆ ได้ในตอนนี้บางคน 100 กว่าบาทก็มี เขาทำงานกันหนักมากแต่โดนกด”

ตอนที่ไมค์ถูกส่งให้บอกเหตุผลว่าทำไมชอบมาเรียน คำตอบของเด็กๆ แต่ละคนมีความหลากหลาย ตั้งแต่คำตอบที่เรียบง่ายว่าอยากมีเพื่อน อยากได้วุฒิ อยากมีความรู้ จนไปถึงคำตอบที่เราคิดไม่ถึงอย่าง การเรียนคือการพักผ่อน เพราะเวลาไปทำงานแทบไม่ได้นั่งเสียด้วยซ้ำ

เหมือนกับกรณีของชาตรีที่ไม่มีวันหยุด เลยต้องลาเพื่อมาเรียน

ทำให้ตอนแนะนำเด็กๆ ไร่ส้มว่า โครงการห้วยซ้อวิทยาคมสัญจรสู่ห้องเรียนระบบสอง ไม่จำเป็นต้องมาเรียนทุกวัน สามารถไปทำงานหาเงินได้ตามปกติ เพียงแต่ให้มาเจอกันเดือนละ 1 ครั้งเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน และพบปะกันในช่องทางออนไลน์ทุกสัปดาห์ จะผ่านช่องทางไลน์หรือเฟซบุ๊กก็ได้ แล้วแต่สะดวก เด็กๆ เหล่านี้จึงให้การตอบรับเป็นอย่างดี รวมไปถึงพ่อแม่ของพวกเขาก็สนับสนุนให้มาเรียน เพราะเงื่อนไขนี้มอบโอกาสให้กับเด็กทุกคน แม้ว่าแต่ละคนจะมีปัจจัยต่างๆ ที่ฉุดรั้งไว้ก็ตาม

ความยืดหยุ่นนี้จึงทำให้แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจที่จะเรียนต่ออย่างทูหันกลับมาคว้าโอกาสนี้ไว้เช่นกัน ทูในตอนนี้จึงขับมอเตอร์ไซต์มาเรียนพร้อมกับมล เพื่อนสนิทที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันทุกเดือน ซึ่งหมู่บ้านของเด็กๆ ทั้ง 2 คนอยู่ไม่ไกลจากศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา ใช้เวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้นก็มาถึง

(ซ้าย) ทู, (ขวา) มล

ห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เป็นเชื้อไฟให้ความฝัน

“ตั้งเป้าหมายก่อน แล้วค่อยออกแบบกิจกรรม” คือ หลักการที่คณะครูจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมใช้ในการวางแผนการเรียนการสอนในแต่ละเดือน

แต่ก่อนเริ่มเรียนในแต่ละครั้ง สิ่งที่ห้องเรียนเล็กๆ นี้จะทำคือ ‘กิจกรรมเช็กอิน (Check-in)’

กิจกรรมเช็กอิน คือ การเช็กชื่อก่อนเริ่มเรียน โดยไม่ได้ใช้วิธีขานชื่อให้ยกมือตอบ “มาครับ/มาค่ะ” แต่เป็นการวิ่งจับกลุ่มเรียงแถวตามโจทย์ที่ครูตั้งให้ สลับกับการยกมือตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในห้องเรียน เช่น ให้เรียงแถวตามลำดับพี่น้องที่มี และการตอบว่าในห้องนี้มีคนใส่แว่นกี่คน ซึ่งคำถามข้อหลังไม่ได้นับเพียงกลุ่มเด็กๆ เท่านั้น แต่รวมไปถึงเราที่เข้าไปนั่งในห้องเดียวกันด้วย

พอจบกิจกรรมเช็กอินเด็กทุกคนก็จะได้นั่งลงเป็นวงกลม ซึ่งการเรียงแถวตามโจทย์ที่ครูให้ ทำให้บางคนไม่ได้นั่งใกล้เพื่อนรักของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเด็กๆ ที่นี่สนิทกันดี

และเมื่อร่างกายและสมองกระปรี้กระเปร่า ก็ถึงเวลาเรียนในบทเรียนที่คณะครูจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมเตรียมมา

“เด็กๆ เขาจะไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้จะเรียนอะไร แต่ทุกครั้งที่มาสอน ในกิจกรรมสุดท้ายเราจะมีการสะท้อนบทเรียน ให้นักเรียนเขียนว่าสิ่งที่อยากเรียนรู้ในครั้งต่อไปคืออะไร แล้วเราจะเอามาเป็นไอเดียในการคิดหัวข้อครั้งต่อไป ถ้าบางเรื่องเรียน On-site ไม่ได้ เราก็จะไปเสริมในการเรียนออนไลน์แทน”

ครูกิ๊กเล่าว่า หัวข้อการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง มาจากการเก็บสิ่งที่เด็กๆ อยากเรียนไปนั่งคุยกันจนได้ข้อสรุปออกมาว่าจะเน้นไปที่หัวข้ออะไร แล้วค่อยวางตัวครูผู้สอนให้เข้ากับหัวข้อนั้นๆ ก่อนจะเรียกประชุมว่าจะออกแบบกิจกรรมอย่างไร ซึ่งความรู้ที่เด็กๆ ได้รับในแต่ละครั้ง จะไม่อยู่ภายใต้การเรียนรู้วิชาใดวิชาหนึ่ง แต่เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการหลายวิชาเข้าด้วยกัน เพื่อให้เด็กๆ มีทักษะที่นำไปต่อยอดในอนาคตได้

อย่างวันที่เราเข้าไปนั่งเรียนด้วย หัวข้อการเรียนรู้ในวันนั้นคือ ‘การทำข้าวพอง’ ที่ฟังดูเหมือนเป็นวิชาการงานอาชีพ แต่ก่อนที่จะได้เริ่มทำข้าวพอง เด็กๆ ต้องผ่านการเรียนวิธีการคำนวณอัตราส่วนของส่วนผสม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร์เสียก่อน พอเรียนจบถึงจะพากันไปครัว จับกลุ่มแบ่งหน้าที่กันฝึกทำข้าวพอง

การเรียนการสอนที่ศูนย์ไร่ส้มวิทยาไม่ได้มีเพียงคณะครูกับเด็กที่ศูนย์ฯ เท่านั้น แต่บางครั้งก็มีนักเรียนระบบปกติและระบบสอง จากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมมาช่วยสอนด้วยเช่นกัน อย่างคาบเรียนการทำข้าวพองในครั้งนี้ ก็มีนักเรียนจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมมาช่วยกว่า 5 ชีวิต เพราะพวกเขาเคยผ่านการฝึกอบรมการทำข้าวพองจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง มาก่อน และการที่ให้เด็กในวัยเดียวกันมาช่วยกันสอน จะทำให้เด็กๆ ที่ศูนย์การเรียนรู้ไร่ส้มวิทยาไม่เกร็ง กล้าคิด กล้าถาม เพราะพวกเขาอยู่วัยเดียวกัน

ซึ่งเด็กๆ จากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมไม่ได้มีบทบาทแค่ในครัวเท่านั้น แต่ยังช่วยเหลือเด็กๆ ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยาในการทำใบงานในห้องเรียนอีกด้วย ภาพที่เราเห็นจึงเป็นการหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ช่วยกันเสิร์ชหาข้อมูลมาตอบคำถาม ตลอดจนช่วยระบายสีเมื่อใกล้ถึงเวลาส่งใบงาน แม้ว่าบางคนจะ (แอบ) บ่นกับเราว่าง่วงนอนก็ตาม

สำหรับเด็กๆ ที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยาหลายคน การทำข้าวพองอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะนำไปประกอบอาชีพในอนาคต แต่อย่างน้อยๆ การเรียนรู้ทักษะอาชีพนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย พวกเขาสามารถหยิบเอาทักษะแฝงอื่นๆ อย่างการคิดเป็นระบบไปปรับใช้กับงานของตัวเองได้

เพราะการเรียนของที่นี่ยืดหยุ่น แม้กระทั่งความคาดหวังของครูก็ปรับตามความต้องการของนักเรียนเช่นกัน

ครูหนิง-หทัยชนก ถาแหล่ง

“เขาอาจจะไม่ได้เอาขนมไปทำจริงๆ แต่เขาอาจจะเอาลำดับขั้นตอนการคิดอย่างรอบคอบไปใช้ เพราะเวลาทำขนมหรืออะไรก็ตาม มันต้องมีลำดับ อย่างเมื่อกี้มีบางกลุ่มทำผิดขั้นตอน มันก็เกิดข้อผิดพลาดขึ้น เขาก็จะได้เรียนรู้ว่าต้องระวังมากขึ้นในทุกๆ เรื่อง” ครูหนิง-หทัยชนก ถาแหล่ง ครูผู้สอนทำข้าวพอง กล่าว