ถนนยังไม่ถึง แต่ครูไปถึงแล้ว : บทสัมภาษณ์​ ภัทรชัย สุขุมวัฒนะ โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม กับเส้นทางการศึกษาของเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่รถยังไปไม่ถึง

ถนนยังไม่ถึง แต่ครูไปถึงแล้ว : บทสัมภาษณ์​ ภัทรชัย สุขุมวัฒนะ โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม กับเส้นทางการศึกษาของเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่รถยังไปไม่ถึง

“ทางเข้าบ้านเราก็แพ้คนอื่นแล้วครับ…”
เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบา ๆ ในวันฝนตก เสียงของเขาเบาเท่าฝนที่ซึมผ่านดิน แต่ทิ้งร่องรอยไว้ในใจผู้ฟัง

เมื่อทางเข้าบ้านคืออุปสรรคแรกของการศึกษา

ในพื้นที่อุ้มผาง จังหวัดตาก การเดินทางไปโรงเรียนไม่ใช่เรื่องของระยะทาง แต่มันคือความอดทนระหว่างฝนที่ตกไม่รู้จบ ถนนที่กลายเป็นโคลน รถที่วิ่งไม่ได้ และเด็กที่ก็ยังอยากมาเรียนอยู่ดี

หลายคนต้องเดินเท้าขึ้นลงเขาเป็นชั่วโมง บางคนตื่นตีห้าเพื่อจะทันเข้าแถวแปดโมง และในบางฤดูกาล พวกเขาต้องย้ายมาอยู่หอพักเพราะฝนทำให้กลับบ้านไม่ได้

การมาโรงเรียนไม่ใช่เรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำได้ แต่มันคือการตัดสินใจซ้ำ ๆ ทุกเช้าว่า ‘จะไปต่อดีไหม’ แม้ไม่มีใครบังคับ แม้ไม่มีรองเท้ากันน้ำ แม้กระเป๋าจะเปียกทุกวัน

และนั่นเอง ที่ทำให้ ‘การได้เรียน’ สำหรับเด็กบางคน ไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความพยายามทั้งหมดที่เด็กตัวเล็ก ๆ หนึ่งคนจะมี

เมื่อห้องเรียนกลายเป็นภูมิประเทศของความหลากหลาย

โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคมรองรับนักเรียนทั้งแบบไปกลับและหอพัก แต่ละเช้าวันจันทร์ ห้องเรียนที่นี่ไม่ได้เต็มไปด้วยเด็กในเครื่องแบบเหมือนกันหมด หากแต่คือภาพสะท้อนของชนเผ่าหลากหลายที่อาศัยอยู่บนผืนดอยเดียวกัน กะเหรี่ยง ม้ง พม่า และไทยเหนือ

เด็กกะเหรี่ยงเติบโตมากับภูเขาและเสียงลม ใช้ชีวิตเงียบ เรียบง่าย ไม่เร่งรีบ ไม่ทะเยอทะยาน พวกเขาเชื่อในความสงบมากกว่าการแข่งขัน

เด็กม้งมีความเป็นนักเรียนโดยธรรมชาติ พวกเขาอยากรู้อยากเห็น สนุกกับการเรียนรู้ และมีวินัยในการฝึกฝน เป็นกลุ่มที่ครูหลายคนบอกว่า ‘ถึงไม่เก่งตอนเริ่มต้น แต่ไม่มีใครหยุดอยู่กับที่’

เด็กพม่า ส่วนใหญ่อพยพตามครอบครัวมาอยู่ในอุ้มผางด้วยสถานะที่ไม่มั่นคง ชีวิตของพวกเขาคือการดิ้นรนในทุกวัน ทั้งการใช้แรงงานรายวันและการอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญชาติรองรับ พวกเขาอ่อนน้อม ถ่อมตน และใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง

เด็กไทยเหนือ บางส่วนมีพ่อแม่เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐ บางครอบครัวก็ทำไร่ทำนาในพื้นที่สูง จึงมีฐานะทางสังคมที่หลากหลายกว่าเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ในโรงเรียนเดียวกัน

แม้จะเติบโตจากบริบทที่แตกต่าง พูดกันคนละภาษา นับถือคนละความเชื่อ และฝันกันคนละแบบ แต่เมื่อถึงเวลาขึ้นแถวเคารพธงชาติ เด็กทั้งสี่กลุ่มก็ยืนอยู่ในสนามเดียวกัน ยืนบนความหวังเดียวกันว่าจะมีวันหนึ่งที่ชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้น

การรวมตัวของเด็กทั้ง 4 กลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียนแห่งเดียวกัน ทำให้โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคมไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่การศึกษา แต่เป็นเวทีแห่งการเรียนรู้เรื่อง ‘การอยู่ร่วมกันบทความหลากหลาย’ ในทุก ๆ วัน

พวกเขาอาจพูดกันคนละสำเนียง แต่เข้าใจหัวใจกันผ่านการแบ่งข้าวเที่ยง การซักผ้าร่วมกันหลังเลิกเรียน หรือการยืมรองเท้ากันในวันที่ลืมเอามา

ที่นี่คือห้องเรียนที่ไม่ได้สอนแค่ภาษาไทยหรือคณิตศาสตร์ แต่สอนวิชาที่ไม่มีในตำรา วิชาการเติบโตท่ามกลางความแตกต่าง

เมื่อมากกว่าเรื่องถนนหนทาง คือเรื่องของใจ

อุ้มผางไม่ได้ขาดเพียงถนนดี ๆ แต่ยังขาดอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า น้ำประปา และโอกาสในการมองเห็นแบบอย่างของความสำเร็จ

บ้านบางหลังไม่มีไฟฟ้าใช้หลังหกโมงเย็น ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ให้โทรกลับบ้าน ไม่มีร้านหนังสือหรืออินเทอร์เน็ตให้เสิร์ชคำว่า “ความฝัน” เด็กบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอาชีพอะไรบ้างในโลกใบนี้นอกจากสิ่งที่เห็นอยู่รอบตัว ไร่ พรวนดิน แบกของ รับจ้างรายวัน

หลายครอบครัวไม่มีรายได้แน่นอน ฤดูเก็บเกี่ยวดีเท่ากับมีข้าวกินตลอดปี ฤดูแล้งแปลว่าต้องอดออมแม้แต่ค่ารถมาโรงเรียน บางคนไม่มีรองเท้า ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์การเรียน บางคนเลือกหยุดเรียนเพื่อแบ่งเบาภาระที่บ้าน

แต่สิ่งที่ขาดที่สุดในบางครั้ง ไม่ใช่ข้าวของหรือบริการสาธารณะ แต่คือ ‘ความหวัง’ ความเชื่อว่าเด็กอย่างเราจะไปได้ไกลกว่านี้ ถ้ามีใครสักคนเชื่อในเรา

เพราะฉะนั้น สิ่งที่โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคมต้องทำ จึงไม่ใช่แค่สอนให้เขียน อ่าน หรือสอบผ่าน แต่ต้อง ‘ต่อไฟในใจ’ ให้เด็กกลุ่มนี้ทุกวัน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่บอกพวกเขาซ้ำ ๆ ว่า “เท่านี้ก็ดีแล้ว”

เมื่อครูป๋องคือผู้ที่ไม่ได้แค่สอน แต่ลงมือเย็บปะชีวิตของเด็กด้วยมือเปล่า

ครูภัทรชัย สุขุมวัฒนะ หรือที่นักเรียนเรียกว่าครูป๋อง ไม่ได้จบครูมาโดยตรง แต่ด้วยแรงขับจากหัวใจ เขาเลือกจะออกจากโรงงาน เพื่อกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโรงเรียนบนดอย ในพื้นที่ที่หลายคนไม่อยากมา แต่เขากลับรู้สึกว่า “นี่แหละที่เราควรอยู่”

ครูป๋องไม่เคยมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง แต่มีห้องนอนเด็กหอที่ต้องดูแล มีถนนลูกรังที่ต้องขี่รถไปเยี่ยมบ้าน และมีชีวิตเล็ก ๆ หลายสิบชีวิตที่ต้องซ่อมแซมด้วยมือเปล่า

เขาไม่ได้สอนแค่ในห้องเรียน แต่สอนผ่านการใช้ชีวิตร่วมกัน ล้างจานด้วยกัน ซักผ้าด้วยกัน พาเด็กไปแสดงหาเงินค่าขนม และฝึกให้เขาเขียนจดหมายขอทุนอย่างภาคภูมิ แม้จะมีแค่ดินสอกับกระดาษธรรมดา

ในวันธรรมดา เขาเป็นครูผู้สอนวิชา ในวันหยุด เขาเป็นครูหอที่ต้องคอยซับน้ำตา และในวันที่เด็กคิดจะลาออกเพราะท้อแท้ เขากลายเป็นคนที่กอดพวกเขาไว้ได้ทัน

สิ่งที่ครูป๋องทำอาจไม่เปลี่ยนประเทศ แต่เปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งได้ และในพื้นที่ที่รัฐยังมาไม่ถึง “ครู” คนหนึ่งแบบเขา คือโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะมีได้

เมื่อทุนอุปถัมภ์และธนาคารโรงเรียน คือ เครื่องมือแห่งความหวัง

หนึ่งในหัวใจของระบบสนับสนุนเด็กในโรงเรียนนี้คือ “ทุนพ่อแม่อุปถัมภ์” ซึ่งครูป๋องและทีมสร้างขึ้นจากความเชื่อว่า หากรัฐยังมาไม่ถึง บางทีคนธรรมดาก็ส่งต่อโอกาสให้กันได้

หนึ่งในเรื่องที่ครูป๋องเล่าให้ฟังเสมอ คือเรื่องของ ‘ฟ้า’ (นามสมมติ) เด็กหญิงม้งที่เคยเกือบหลุดจากระบบการศึกษา เพราะพ่อแม่ต้องย้ายงานบ่อย ไม่มีรายได้แน่นอน และมีน้องเล็กอีกสามคนที่ต้องดูแล

ฟ้าเคยหายไปจากโรงเรียนหนึ่งสัปดาห์เต็ม ไม่มีใครติดต่อได้ เพราะบ้านของเธอไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีไฟฟ้าใช้หลังหกโมงเย็น ครูป๋องขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถึงบ้านกลางป่า ระยะทางที่คนทั่วไปใช้เวลาชั่วโมงกว่า เขาใช้เวลาเกือบครึ่งวัน เพราะฝนตกหนัก ถนนกลายเป็นทางโคลน

เมื่อไปถึง ครูไม่พูดเรื่องการบ้านหรือการขาดเรียน แต่ถามว่า “หนูยังอยากเรียนอยู่ไหม” และเด็กหญิงก็ตอบเสียงเบา ๆ ว่า “หนูอยากเรียนค่ะ แต่หนูไม่มีรองเท้า ไม่มีเงินเลยค่ะครู”

วันถัดมา ฟ้ากลับมาโรงเรียนพร้อมรองเท้าที่มีรอยซ่อม และทุน 300 บาทจากโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ เธอเริ่มออมเงินกับธนาคารโรงเรียน และกลายเป็นเด็กที่ขยันที่สุดในหอพัก ทุกเย็นจะเห็นเธออ่านหนังสือให้เพื่อนฟังข้างกองไฟ

วันนี้ ฟ้าอยู่ชั้น ม.5 เธอมีเงินออมเกือบ 8,000 บาท และยังส่งจดหมายขอบคุณผู้มีอุปการะคุณทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ

เด็กแต่ละคนจะเขียนจดหมายด้วยลายมือตัวบรรจง บอกเล่าเรื่องราวของตนเอง ชีวิตที่บ้านเป็นอย่างไร พ่อแม่ทำอาชีพอะไร มีพี่น้องกี่คน เคยฝันอะไร และกำลังขาดอะไรอยู่ พวกเขาไม่ได้เขียนเพื่อขอความสงสาร แต่เขียนเพื่อส่งเสียงว่าพวกเขายังอยากไปต่อ

ครูคือสะพานที่คัดเลือกจดหมายนั้น ส่งต่อถึงมือของผู้ที่พร้อมจะอุปการะ บางคนช่วยปีเดียว บางคนช่วยจนจบ ม.6 และบางคนที่เคยเป็นผู้รับทุน กลับมาในวันที่มีงาน มีรายได้ แล้วกลายเป็นผู้ให้รุ่นใหม่

จากทุนเดือนละ 300 บาทที่ดูเหมือนไม่มาก กลับเป็นเหมือนน้ำหยดที่ต่อชีวิตการเรียนไว้ได้อย่างมั่นคง บางคนเก็บสะสมตลอดช่วงมัธยมจนมีเงินหลักหมื่นไว้เป็นทุนเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ไม่ต้องกู้ ไม่ต้องขอ ไม่ต้องรอพ่อแม่

และเพื่อเติมเต็มการเรียนรู้เรื่องการเงิน โรงเรียนจึงจัดตั้ง “ธนาคารโรงเรียน” ที่เปิดให้เด็กได้ออมจริง บริหารจัดการเองจริง มีสมุดบัญชีจริง และมีบทเรียนเรื่องการรู้คุณค่าของเงินทุกบาทที่หามาได้เอง

เมื่อเด็กเห็นตัวเลขในสมุดบัญชีเพิ่มขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง มันไม่ใช่แค่เงิน แต่มันคือเครื่องยืนยันว่าเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ปลอดภัยกว่าเดิมทีละก้าว

และทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโครงการใหญ่ของรัฐ แต่มาจากมือครู และหัวใจของคนธรรมดาที่เชื่อว่า โอกาสนั้นผลิตซ้ำได้ ถ้าเราลงมือจริง

เมื่อความหวังเดินทางสองทาง

ครูไม่ได้แค่ให้ความรู้ แต่ให้ความมั่นใจ โดยเฉพาะกับเด็กชาติพันธุ์ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในภาษาที่ไม่ใช่ของตัวเอง เด็กหลายคนพูดไทยไม่ชัด เขียนไม่คล่อง อ่านช้า และเมื่อพวกเขาถูกล้อเลียนจากเพื่อน หรือถูกตั้งคำถามจากสังคมว่า “จะเรียนไปทำไม” เสียงเหล่านั้นค่อย ๆ กัดกินความมั่นใจที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด

แต่ครูป๋องไม่ปล่อยให้เสียงพวกนั้นเป็นของจริง เขาบอกกับเด็กทุกคนว่า ภาษาไทยไม่ใช่ภาษาของพวกเขาตั้งแต่เกิด และไม่มีใครควรถูกตัดสินด้วยสิ่งที่ไม่เคยถูกสอนมาอย่างเท่าเทียม

“ครูยังพูดภาษาอังกฤษไม่ชัดเลย แล้วหนูจะพูดไทยไม่ชัดบ้างไม่ได้หรือ?” เขาหัวเราะเบา ๆ กับเด็กที่กำลังกลั้นน้ำตา นั่นคือวิธีที่ครูเย็บแผลเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจเด็กอย่างไม่โอ้อวด

เขาย้ำเสมอว่า ชีวิตไม่ใช่สนามสอบที่วัดกันแค่คะแนน แต่คือเส้นทางที่ต้องใช้ทักษะชีวิตอย่างการฟัง เข้าใจ และยืนหยัดในแบบของตัวเอง

เด็กบางคนเก่งเรื่องดูแลคนอื่น เก่งงานช่าง งานฝีมือ หรือการเป็นผู้นำในกิจกรรมหมู่คณะ ครูป๋องจะย้ำกับพวกเขาว่า “ความเก่งของหนู อาจไม่ได้อยู่ในห้องสอบ แต่มันอยู่ในมือ อยู่ในหัวใจ และอยู่ในสิ่งที่คนอื่นพึ่งพาได้”

เมื่อครูมองเห็นแบบนั้น เด็กจึงกล้ากลับมามองตัวเองใหม่ และนั่นทำให้ความหวังไม่เดินทางทางเดียวจากครูสู่เด็ก แต่เดินกลับมาจากเด็ก สู่หัวใจของครูด้วย

เมื่อ“ยังมีเด็กดี ๆ ที่รอโอกาสอยู่เสมอ”

ในวันที่ครูเหนื่อยกับการให้แล้วไม่ได้รับ วันที่บางคนไม่กลับมาเรียนแม้จะมีทุกอย่างให้แล้ว วันที่ความพยายามของครูเหมือนจะไร้เสียงตอบรับ ครูป๋องบอกตัวเองว่า ยังมีเด็กอีกหลายคนที่พร้อมจะคว้าโอกาสนั้นไว้ แม้ไม่มีใครเรียก แม้ไม่มีใครเห็น

เขาเล่าเรื่องของ “เอ็ม” เด็กชายกะเหรี่ยงที่เคยเป็นเด็กหอพักเงียบ ๆ คนหนึ่ง เอ็มไม่พูดมาก ไม่ได้โดดเด่นในห้องเรียน แต่เป็นคนที่ล้างจานเสร็จคนสุดท้ายทุกเย็น คอยเก็บจานของเพื่อนเงียบ ๆ และไม่เคยขออะไรจากใคร

ครูป๋องเห็นสิ่งเล็ก ๆ นั้น และเลือกให้เอ็มเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับทุน แม้เอ็มจะไม่เคยขอ เขาเริ่มมีรอยยิ้มมากขึ้น กล้าพูดในที่ประชุมหอพัก และเป็นคนที่เพื่อนเริ่มหันมาขอคำแนะนำเรื่องงานฝีมือบ้าง

หลังเรียนจบ ม.6 เอ็มไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย แต่เลือกทำงานในร้านสะดวกซื้อในตัวอำเภอเพื่อเก็บเงินส่งน้องเรียน และดูแลแม่ที่ป่วย เขายังส่งข้อความมาหาครูป๋องในวันครูทุกปี พร้อมคำว่า “ขอบคุณครับ ครูช่วยผมไว้จริง ๆ”

สำหรับครูป๋อง การได้เห็นเด็กคนหนึ่งยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แม้จะไม่ใช่บนเวที แต่ยืนอยู่ในชีวิตของเขาเองอย่างมั่นคง คือรางวัลที่ไม่มีคำประกาศเกียรติคุณใดมอบให้ได้เท่า

เมื่อเด็กในหุบเขาที่มีหัวใจสูงเทียมฟ้า

อุ้มผางอาจยังไม่มีถนนลาดยางทุกสาย แต่มีครูอย่างครูป๋อง มีเด็กที่แม้จะไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่มีประกายบางอย่างในดวงตา ประกายที่เกิดจากการได้ถูกมองเห็น ได้ถูกยื่นมือ และได้รู้ว่าเขาเองก็สำคัญไม่แพ้ใครในประเทศนี้

บางครั้งแรงบันดาลใจไม่มาจากคำคมในหนังสือ หรือโพสต์ไวรัลในโซเชียลมีเดีย แต่มาจากภาพเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครเห็น เช่น เด็กคนหนึ่งที่เดินลุยโคลนมาถึงโรงเรียน พร้อมเสื้อที่ยังเปียกฝน กับแววตาที่ยังไม่ยอมแพ้

มันอาจเป็นเด็กหญิงที่เขียนจดหมายขอทุนด้วยลายมือที่ยังสะกดไม่คล่อง หรือเด็กชายที่ซ่อมรองเท้าเองเพราะไม่อยากรบกวนพ่อแม่ มันคือสิ่งเล็ก ๆ ที่บอกว่า “หนูยังอยากเรียนอยู่”

และเบื้องหลังภาพเหล่านั้น มีครูอยู่คนหนึ่ง ที่ยอมขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นเขาในวันที่ฝนตกหนัก เพื่อแค่จะถามเด็กว่า “ยังอยากเรียนอยู่ไหม”

ถ้ามีใครสักคน…ยอมเดินไปกับเด็กคนนั้นแม้เส้นทางจะยังไม่พร้อม เราก็จะได้เห็นเด็กในหุบเขา ก้าวเดินออกมาด้วยหัวใจที่สูงเทียมฟ้า

เพราะบางครั้ง สิ่งที่เปลี่ยนอนาคต ไม่ใช่นโยบายใหญ่โต แต่คือความเชื่อเล็ก ๆ ของใครคนหนึ่ง ว่าเด็กทุกคน…มีสิทธิจะฝัน