รถขนฝันของนักฟุตบอลโรงเรียนสิเกาประชาผดุงวิทย์ คือ “รถไฟชั้น 3”
ทุกคนในชุมชนยังคงจดจำช่วงเวลาแห่งความสุข วันที่ทีมสามารถชนะในการแข่งขัน และผ่านเข้ารอบคัดเลือกในรอบแรกได้สำเร็จ มันอาจไม่ใช่ชัยชนะที่สลักสำคัญในสายตาใคร แต่สำหรับคนในอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง
นี่คือ “ความสำเร็จก้าวเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ” ที่ทุกคนพยายามเอาใจช่วย และปลุกปั้นด้วยความภาคภูมิใจ
ความสำเร็จของทีมหมอนทองวิทยาในปีนี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะมัธยมทั่วประเทศ หนึ่งในนั้นคือ “ทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์” ซึ่งเคยมีโอกาสฟาดแข้งกับทีมหมอนทองวิทยาในรอบคัดเลือกฟุตบอลแชมป์กีฬา 7HD 2025 และรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในรายการนี้

กสศ. มีโอกาสพูดคุยกับ อาจารย์ศรัณยู อุมา ผู้สอนและโค้ชของทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์ อาจารย์เล่าว่า แม้ทีมจะพ่ายแพ้ให้กับหมอนทองวิทยา แต่สิ่งที่ได้กลับมามีค่ามากกว่า คือ “โอกาสในการเรียนรู้ถึงคุณค่าของความพยายาม” เพราะชัยชนะไม่ได้เป็นของหมอนทองวิทยาเพียงทีมเดียว หากแต่ทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์ก็ประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่ตั้งไว้เช่นกัน
อาจารย์ศรัณยูเล่าว่า ทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์เป็นทีมฟุตบอลเล็ก ๆ ที่พยายามก้าวขึ้นไปยืนบนเส้นทางลูกหนังระดับมัธยม เช่นเดียวกับหลายทีมจากชุมชน ตำบล อำเภอ และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทุกโรงเรียนต่างมี “เรื่องเล่า” ของตัวเองที่เต็มไปด้วยความฝันและความมุ่งมั่น
“โรงเรียนของเรามีนักฟุตบอลทุกรุ่น ตั้งแต่ ม.1 ถึง ม.6 เราเปิดกว้างให้เด็ก ๆ ทุกคนที่สนใจเล่นฟุตบอลมาคัดตัว แสดงความตั้งใจและความสามารถที่มี แม้เด็กบางคนจะไม่เก่งเรื่องการเรียนหรือด้านวิชาการ แต่เราจะย้ำเสมอว่า เขาจะเป็นนักฟุตบอลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอาใจใส่การเรียนด้วย นักฟุตบอลคนไหนมีปัญหาด้านการเรียน เราจะติดตามว่ามีปัญหาในรายวิชาไหน แล้วหาทางช่วยกันแก้ไข ทั้งการสอนเสริม แนะนำ จนไม่มีงานค้าง ติด 0 ติด ร หรือ มส. ในวิชานั้น ๆ”
สำหรับอาจารย์และเด็ก ๆ การได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลแชมป์กีฬา 7 สี โดยเฉพาะการได้ลงสนามกับทีมชื่อดังอย่างหมอนทองวิทยา ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่
“เรามองว่าทีมของเราเป็นเหมือนบันไดเล็ก ๆ ขั้นหนึ่ง ที่ทำให้ทีมหมอนทองวิทยาไปถึงความสำเร็จตรงนั้น เห็นข่าวพวกเขาทุกวัน พวกเราก็รู้สึกภูมิใจ เพราะเมื่อมีใครพูดถึงเส้นทางความสำเร็จของทีมหมอนทองวิทยา มันจะมีโรงเรียนของเราอยู่ในสตอรี่นั้นด้วย”

โรงเรียนสิเกาประชาผดุงวิทย์ เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีห้องเรียนพิเศษ หรือมีโปรแกรมเฉพาะด้านกีฬาเหมือนกับโรงเรียนใหญ่ ๆ มีเพียงเด็ก ๆ ที่บอกว่าอยากไปร่วมแข่งในรายการนี้
“มีเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นนักฟุตบอลในโรงเรียนเดินมาบอกว่า อยากไปแข่งฟุตบอล 7 สี ผมเลยบอกพวกเขาว่า ถ้ามีความตั้งใจมุ่งมั่นกันจริง ๆ ก็ต้องลองหาทางกันดู หลังจากสมัครเข้าร่วมรายการก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนเตรียมการต่าง ๆ พร้อมกับบอกเงื่อนไขเด็ก ๆ ว่าต้องเตรียมพร้อม ต้องทุ่มเทให้กับการซ้อมทุกวัน”
อาจารย์ศรัณยูเล่าว่า ทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์ไม่มีแม้แต่ “รถขนฝัน” เป็นของตัวเอง แต่มีความพยายามใช้หัวใจและความมุ่งมั่นนำทาง
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางบางส่วนเกิดจากการร่วมลงขันของผู้ปกครองที่อยากเห็นลูก ๆ ได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง รถขนฝันของเด็ก ๆ ได้เป็น “รถไฟชั้น 3” ที่เดินทางเกือบหนึ่งพันกิโลเมตร มากกว่า 14 ชั่วโมง เพื่อมาลงแข่งรอบคัดเลือกที่สนามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“เด็กๆ ดีใจกันมาก เพราะผลจากความตั้งใจที่ทำให้ได้รับชนะในนัดแรก เป็นชัยชนะที่ได้ทำให้อำเภอของเรารู้สึกภูมิใจกับความพยายามของเด็ก ๆ มีการลงข่าวผลการแข่งขันในเพจของอำเภอ ลงข่าวในเพจของจังหวัดตรัง ลงข่าวว่าทีมของจังหวัดตรังคว้าชัยชนะในนัดแรกของการแข่งขันฟุตบอล 7 สี”

ทุกคนในชุมชนยังคงจำช่วงเวลานั้นได้ดี มันอาจเป็นเพียงชัยชนะเล็ก ๆ แต่เป็น “ความสำเร็จที่ทั้งชุมชนร่วมกันสร้าง” และเป็นแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ รุ่นต่อไปกล้าฝันไกลกว่าเดิม
“มันอาจเป็นชัยชนะที่ไม่ได้สลักสำคัญกับคนอื่น แต่คนในชุมชนของเรามองว่า ความสำเร็จจากก้าวเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ที่ทุกคนพยายามเอาใจช่วยและพยายามปลุกปั้นขึ้นนี้ คือความสำเร็จที่ได้ลงแรงร่วมกัน”
วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์ได้ลงสนามฟาดแข้งกับทีมหมอนทองวิทยา แม้รู้ว่าเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ทุกคนต่างดีใจกับโอกาสนี้ และมุ่งมั่นเต็มที่
“เราไม่คิดเรื่องผลแพ้ชนะเลย แค่ได้โอกาสลงเล่นกับทีมหมอนทองวิทยาของอาจารย์สกล ก็ถือเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้”

อาจารย์ศรัณยูเล่าว่า หลังจากการแข่งขัน เด็ก ๆ ในทีมต่างรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง หลายคนแคปภาพจากเกมวันนั้นโพสต์ไว้บนโซเชียล พร้อมข้อความว่า “หมอนทองวิทยาจะไปถึงตรงนั้นไม่ได้ ถ้าไม่ชนะเราก่อน”
“ความพ่ายแพ้ในวันนั้นคือโอกาสที่พวกเขาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของความพยายาม และรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ปรากฏการณ์หมอนทองฟีเวอร์’ ซึ่งไม่ใช่แค่ความสำเร็จของหมอนทองวิทยาเท่านั้น ทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์ก็ประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน”

อีกสิ่งที่อาจารย์ภูมิใจไม่แพ้กัน คือพลังของชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนเด็ก ๆ บางคนช่วยออกค่าตั๋วรถไฟ บางคนมาส่งถึงชานชาลา เด็ก ๆ มีเพียงลูกฟุตบอลห้าลูก กระติกน้ำหนึ่งใบ และหัวใจที่พร้อมจะสู้เต็มกำลัง
สำหรับทีมสิเกาประชาผดุงวิทย์ ความพยายามในครั้งนี้ไม่ใช่การไล่ล่าความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่คือ “ก้าวแรกที่มีคุณค่า” พวกเขาตั้งเป้าเพียงผ่านเข้ารอบแรก และก็ทำได้สำเร็จ
“แม้ผลการแข่งขันจะออกมาว่าเราแพ้ แต่สิ่งที่ได้เกิดคาดคือความคุ้มค่า คือโบนัสของชีวิตเด็ก ๆ ความยากลำบากในการเดินทางหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่พบเจอก่อนจะมาถึงจุดนี้ จึงไม่มีความหมายกับพวกเราเลย”

อาจารย์ศรัณยูทิ้งท้ายด้วยความหวังว่า ปรากฏการณ์ “หมอนทองฟีเวอร์” จะจุดประกายให้เกิดระบบสนับสนุนกีฬาฟุตบอลระดับชุมชนอย่างจริงจังและยั่งยืน เพื่อให้เด็ก ๆ ทั่วประเทศได้มี “รถขนฝัน” เป็นของตัวเอง
“รายการแข่งขันนี้ กำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตของนักเตะรุ่นน้อง ๆ และนักฟุตบอลระดับมัธยมทั่วประเทศ ความสำเร็จของทีมหมอนทองวิทยาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าทีมของพวกเขาจะชนะหรือแพ้ หากมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ก็สามารถกลายเป็นที่รักของคนไทยได้เช่นกัน”