เคยฝันเป็นสจ๊วต แต่ต้องดับฝันเพราะความยากจน เคยสอบติดมหาวิทยาลัยก็ต้องสละสิทธิ์ เพราะต้องขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามจังหวัดเพื่อทำงานหารายได้และดูแลตากับยายที่พิการ
สตางค์-วรพล ปานเพ็ง อดีตนักศึกษาทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เล่าว่ากว่าจะมีวันนี้ที่ได้ทำงานในตำแหน่ง ‘ครูพิเศษสอน อัตราจ้าง’ สาขาการจัดการธุรกิจท่องเที่ยว วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต เขาเกือบจะต้องออกจากระบบการศึกษาตั้งแต่ปีแรกที่เรียนมหาวิทยาลัย
“ตอนเรียนจบ ปวช. ปี 3 ที่วิทยาลัยเทคนิคพังงา ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานีได้ รู้สึกดีใจและอยากไปเรียนมาก แต่ช่วงนั้นพ่อแม่ตกงานเพราะสถานการณ์โควิด-19 ไม่มีเงินเดือน ส่วนตัวผมเองต้องมาดูแลตากับยายที่จังหวัดกระบี่ ทำให้ตัดสินใจสละสิทธิ์จาก มอ. แล้วมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เพื่อดูแลตายายและหารายได้ระหว่างเรียน
“ช่วงนั้นก็ลำบากมาก ผมทำงานที่พังงาแล้วไปเรียนที่ภูเก็ต ยายกับตาอยู่ที่กระบี่ ก็ฝากลุงป้าที่อยู่ข้างบ้านช่วยดูแล เช้าเริ่มเรียนตั้งแต่ 8 โมง ถึง 4 โมงเย็น จากนั้นก็ขับรถกลับมาทำงาน เคยต้องเข้ากะทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงตี 3 ทำงานเสร็จกลับบ้านไปนอน เช้าตื่น 7 โมงเพื่อไปโรงเรียน ผมต้องใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่เป็นเดือน เกือบจะต้องลาออกเพราะไม่ไหว โชคดีว่าพอเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ไปได้ประมาณครึ่งเทอม อาจารย์ประทิน เลี่ยนจำรูญ ที่วิทยาลัยเทคนิคพังงา บอกว่ามีทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ซึ่งเราก็สนใจ เลยลองยื่นเอกสาร ปรากฏว่าผ่านการคัดเลือกได้รับทุน”

ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ต่อเติมความหวังและอนาคต
ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ คือทุนที่ส่งเสริมโอกาสทางศึกษาให้แก่เยาวชนสายอาชีพที่จบการศึกษาระดับ ปวช. ปวส. อนุปริญญา ให้ได้เรียนต่อเนื่องในระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก โดยต้องเป็นเยาวชนที่มีผลการเรียนดี และขาดแคลนทุนทรัพย์ตามเกณฑ์ของ กสศ.
สตางค์ เล่าว่า ผู้สมัครเข้ารับทุนได้ ครอบครัวต้องมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 6,000 บาท ซึ่งตอนนั้นครอบครัวของเขาแทบไม่มีรายได้เลย ส่วนตนเองก็ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
“ตอนสมัครทุน อาจารย์ประทินไปเยี่ยมบ้าน ถ่ายภาพบ้าน แล้วก็สัมภาษณ์ จากนั้นก็ได้เข้าสัมภาษณ์กับ กสศ. ซึ่งสุดท้ายเราได้รับคัดเลือก ดีใจมาก จากชีวิตที่ลำบากมาก พอได้ทุนก็เริ่มดีขึ้น และทำให้เรามีหวังมากขึ้น โดยทุนนี้นอกจากจะสนับสนุนค่าเล่าเรียนและค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีเงินค่าใช้จ่ายให้เดือนละ 10,000 บาท รวมทั้งมีทุนการทำโครงงานหรืองานวิจัยด้วย”

สำหรับผู้ที่ได้รับทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ เมื่อเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีจะต้องเลือกเรียนในสาขาวิชาที่เป็นเป้าหมายหลักในการพัฒนาประเทศ เช่น อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ (First S-Curve), อุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม, การบินและโลจิสติกส์, การแพทย์ครบวงจร และดิจิทัล
“ผมได้ทุนตอนปีที่ 2 ซึ่งตั้งแต่ปี 1 เรียนที่คณะวิทยาการจัดการ สาขาการจัดการท่องเที่ยวและบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตอยู่แล้ว เป็นสาขาที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมกลุ่มรายได้ดีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สาเหตุที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะเราเป็นคนชอบพูด ชอบเรียนภาษามาก ๆ พอได้มาเรียนก็รู้สึกว่าทางนี้แหละคือทางของเรา ที่สำคัญภูเก็ตก็เป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย”
อย่างไรก็ดี แนวคิดในการสนับสนุนทุนการศึกษาของ กสศ. ไม่ได้มุ่งหวังแค่ให้เยาวชนได้รับวุฒิการศึกษาหรือใบปริญญาเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมให้นักศึกษาทุนได้พัฒนาตนเองเต็มศักยภาพ ทั้งทักษะการทำงานและทักษะชีวิต
สตางค์เล่าว่าเขามีโอกาสไปเข้าค่ายซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้นักศึกษาทุนเห็นอนาคตของตนเอง สามารถวางแผนชีวิตได้ และพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น การจัดการเงิน การออม โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำแนะนำตลอดเวลา
“นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่ม Community of Rock เป็นกลุ่มเด็กทุนพระกนิษฐาฯ ซึ่งจะมีเพื่อน ๆ ที่ได้ทุนด้วยกัน ทำให้เราได้เจอกันและแบ่งประสบการณ์กัน ผมคิดว่าจากกระบวนการทั้งหมดทำให้เด็กทุน กสศ. ส่วนใหญ่มีความคิดและทัศนติที่ดี ทุกคนเข้มแข็ง แม้ทุกคนจะมีเรื่องราวชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนจะมองโลกสดใส มีความหวัง เพราะเขาคิดว่าการมีความหวังจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น”

ตั้งปณิธานเป็น ‘ครู’ เปิดประตูสู่โอกาสให้เด็กที่ขาดแคลน
แม้การเรียนในสาขาการจัดการท่องเที่ยวจะเป็นสิ่งที่สตางค์ชอบ และทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง แต่เมื่อได้ลองทำงานแล้วกลับพบว่ายังไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยฝัน
สตางค์เล่าว่าจริง ๆ ความฝันแรกของเขาคือ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่ถ้าได้ทำงานนั้นจริง ๆ คงไม่มีใครดูแลตากับยายซึ่งพิการ ส่วนการเป็นครูก็เป็นอีกความฝันหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตและความคาดหวังของตนเอง
สตางค์เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2567 ปัจจุบันได้รับคัดเลือกเข้าทำงานในตำแหน่งครูอัตราจ้าง ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต เขาตั้งเป้าว่าวันหนึ่งจะต้องสอบข้าราชการครูให้ได้ เพราะการเป็นครู นอกจากจะเป็นความภูมิใจของตัวเองและเป็นความมั่นคงของครอบครัวแล้ว ยังสามารถส่งต่อโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ด้วย
“ตอนนี้ที่วิทยาลัยฯ ยังไม่มีทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ผมอยากนำทุนนี้ไปส่งต่อโอกาสให้เด็ก ๆ เหมือนที่ผมเคยได้รับ เพราะแม้ภูเก็ตจะเป็นเมืองเศรษฐกิจ แต่พอได้เข้าไปสัมผัสกับเด็ก ๆ ในพื้นที่แล้ว กลับพบว่ายังมีเด็กที่ด้อยโอกาสกว่าเราอีกมาก ที่สำคัญตอนนี้ผมเริ่มก้าวเข้าสู่งานแนะแนวและจัดหางาน ซึ่งเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด ผมจะสามารถดึงทุนหลาย ๆ อย่างเพื่อแนะนำส่งต่อไปยังเด็ก ๆ ที่ต้องการได้”
สตางค์มองว่าเด็กทุกคนล้วนมีศักยภาพในตัวเอง แต่หากขาดโอกาสก็ยากที่จะพัฒนาตนเองได้เต็มความสามารถ ดังนั้นการให้โอกาส คือ ประตูบานสำคัญที่จะนำพาพวกเขาก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
“ผมเลือกเป็น ‘ครู’ เพราะเป็นอาชีพที่ส่งต่อโอกาสเด็ก ๆ ได้ ซึ่ง ‘โอกาส’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าเด็กไม่มีโอกาสก็จะไม่ได้เรียน แต่ถ้าเขาได้เรียนจะทำให้เขาเดินต่อไปได้”

ใช้โอกาสอย่างรู้คุณค่าและคืนกลับสังคมเมื่อมีโอกาส
กว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคจนมีอาชีพและมีรายได้พอจุนเจือครอบครัวเช่นวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อถามว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมาอยากขอบคุณใครบ้าง สตางค์บอกว่า คนแรกที่อยากขอบคุณคือ ‘ตัวเอง’
“ขอบคุณตัวเองที่เก่ง ผ่านอะไรมาเยอะมาก เคยต้องขี่มอเตอร์ไซด์ไป-กลับจากกระบี่มาพังงาและภูเก็ต แม้วันที่ฝนตกก็ยังต้องขี่ฝ่าฝนเพราะว่าต้องกลับไปดูแลตายาย คิดเสมอว่าตากับยายยังไม่ได้กินข้าวนะ เพราะการฝากตายายไว้กับลุงและป้า อาจไม่ได้เหมือนเราดูแลเอง ซึ่งผมเข้าใจที่พ่อแม่ต้องไปอยู่หาดใหญ่ เพราะว่าน้องชายเรียนที่นั่น ผมก็ต้องดูแลตรงนี้ ถามว่าลำบากไหม ก็ลำบาก แต่ผมก็สู้ เพราะต้องทำให้ได้”
ส่วนคนที่สองที่สตางค์อยากขอบคุณคือ ‘พ่อแม่’ แม้ว่าพวกท่านจะแยกทางกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าและฐานะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งหรือขาดอะไรไปในชีวิต
“เขายังเติมเต็มให้เราตลอด แม้ว่าครอบครัวจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็ให้เราเต็มที่เท่าที่จะหาให้เราได้ ผมรู้สึกว่า พ่อกับแม่คือที่สุดสำหรับชีวิตผมแล้วครับ”
สุดท้ายที่สตางค์อยากขอบคุณมากที่สุดคือ อาจารย์ประทิน เลี่ยนจำรูญ ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ และ กสศ. ที่ให้โอกาสเขาได้เรียนต่อพร้อมกับดูแลตาและยายไปด้วย
“ทุนที่ได้รับมาทำให้ผมได้เรียนจนจบตามที่หวังไว้ ได้มีงานทำ มาถึงวันนี้รู้สึกภูมิใจกับตัวเองมาก แต่ความฝันผมยังไม่ได้หยุดแค่นี้ ผมต้องสอบเป็นข้าราชการครูให้ได้เพื่อส่งต่อโอกาสดี ๆ แบบนี้ให้กับเด็ก ๆ ต่อไป”

สตางค์ เล่าว่า พอได้เป็นครู เห็นเลยว่าเด็กทุกคนต่างเติบโตมาไม่เหมือนกัน ภายนอกอาจจะดูว่าเป็นเด็กเหมือนกัน แต่ถ้าได้สัมผัสจริง ๆ จะพบว่าเด็กบางคนน่าสงสาร เด็กบางคนภายนอกยิ้มแย้ม ร่าเริงแจ่มใส พอกลับไปบ้านก็ต้องอยู่ในกระต๊อบเล็ก ๆ คนเดียว บางคนต้องปั่นจักรยานหรือเดินจากบ้านมาวิทยาลัย ผมถามว่าลำบากขนาดนี้ ทำไมยังมาเรียน เขาบอกว่า “ผมอยากเรียน หนูอยากเรียนค่ะ การเรียนคือสิ่งเดียวที่จะทำให้หนูประสบความสำเร็จ” เขาคิดว่าถ้ามีการศึกษา ชีวิตจะไปต่อได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ตัวคนเดียว
“ผมคิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมาก อยากบอกทุกคนในประเทศไทยว่า หากคุณได้รับโอกาส เมื่อคุณมีรายได้ที่ดี หรือมีเงินที่มากพอ คุณควรให้โอกาสเด็ก ๆ เหล่านั้น ทุกวันนี้ยังมีเด็กที่ต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะ อย่างในภาคใต้ของเรา ส่วนใหญ่เป็นเด็กเกาะ บางคนต้องนั่งเรือมาเรียน ถ้าวันไหนลมแรงหรือพายุเข้า เด็กก็มาเรียนไม่ได้ ยิ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน เด็กบางคนพ่อแม่เสียชีวิต ต้องอยู่กับป้าน้า ดังนั้นคำว่าโอกาสสำคัญที่สุดกับคน ๆ หนึ่ง”
ในวันนี้ยังมีเด็กอีกหลายคนที่ต้องใช้ชีวิตต่อสู้ดิ้นร้นเพื่อดูแลครอบครัวและหาทางเดินต่อในเส้นทางการศึกษา ความเหน็ดเหนื่อยและอุปสรรคต่าง ๆ อาจทำให้พวกเขารู้สึกท้อแท้และหมดหวังที่จะก้าวต่อไป สตางค์ฝากให้กำลังใจว่า สิ่งสำคัญที่จะฝ่าฟันขวากหนามได้คือต้องเห็น ‘คุณค่าในตัวเอง’ นอกจากนี้ยังให้ ‘คาถา 3 คำ’ ประจำใจที่เขาใช้ปลุกความเชื่อมั่น สร้างพลังให้ตนเอง นั่นคือ “ฉันทำได้”

“แม้หนทางจะมืดมิด แต่สิ่งแรกที่ต้องเห็น คือ ‘คุณค่าในตัวเอง’ สมมติว่าวันไหนที่เรามืดไปหมดทุกด้าน มีอุปสรรคหรือปัญหาเข้ามา ถ้าเรายิ่งด้อยค่าตัวเอง ยิ่งบอกว่าทำไมฉันต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ ทำไมฉันต้องอยู่ในที่แบบนี้ ทำไมฉันไม่มีเหมือนคนนู้นคนนี้ วันนั้นเราจะไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าวันนั้นเราเห็นคุณค่าตัวเอง บอกกับตัวเองว่า ‘ฉันทำได้’ ซึ่ง 3 คำนี้เป็นสิ่งที่ผมท่องมาตลอด ทุกงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะยากขนาดไหน แค่พูดว่า ‘ผมทำได้’ ทุกอย่างก็จะทำได้ แต่ถ้าบอกว่า ‘หนูทำไม่ได้’ เราก็จะไม่อยากทำแล้ว และจะหยุดแค่ตรงนั้น ดังนั้นอยากให้บอกตัวเองไปก่อนว่า ‘ฉันทำได้’ เพราะต่อให้ท้ายที่สุดจะทำไม่ได้ แต่การพูดออกไปนั่นคือ เราชนะใจตัวเองแล้ว และความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าจะค่อย ๆ สว่างขึ้นมาในที่สุด”
ไม่เพียงการสร้างพลังใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อีกตัวแปรสำคัญที่จะพลิกชีวิตได้ คือ การออกไป ‘หาโอกาส’ ด้วยตนเอง อย่าหยุดนิ่งและยอมให้โชคชะตามาตัดสินอนาคต
สตางค์ บอกว่า โอกาสรออยู่รอบตัวเรา เราก็ต้องพยายามออกไปหามันเองด้วย ก็ขอให้ทุกคนพยายาม อดทน ไม่ว่าจะเหนื่อยหรือท้อแท้แค่ไหน ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้ววันใดวันหนึ่งก็ต้องเป็นวันของเรา วันที่เราจะได้ไปยืนอย่างภาคภูมิใจว่าฉันสามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ฉันสามารถประสบความสำเร็จได้
“สุดท้ายสิ่งที่สำคัญอย่าลืมว่า เมื่อได้โอกาสมาแล้วต้องใช้โอกาสอย่างเต็มที่ และเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ต้องกลับมาให้โอกาสคนอื่น เหมือนที่เราเคยได้โอกาสนั้น”