“ตอนนั้นผมออกจากการเรียนระบบปกติ มาอยู่บ้าน กรีดยาง แล้วครูก็มาหา มาแนะนำว่า โรงเรียนทำระบบสองนะ ถ้าสนใจก็ลองสมัครดู ผมก็ลองดูครับ” อันซีน วัย 20 ปี บอกกับเรา เมื่อเราขอให้เขาเล่าจุดเริ่มต้นของการเป็นเด็กห้องเรียนระบบสอง ของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายให้ฟัง
แล้วห้องเรียนระบบสอง คืออะไร?
ห้องเรียนระบบสอง โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย คือ หนึ่งในพื้นที่ต้นแบบของ “โครงการห้องเรียนข้ามขอบ” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
มีเป้าหมายสำคัญ คือ การขับเคลื่อนการสร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกเริ่มที่ผอ.พิเศษ ถาแหล่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมและคณะครูได้วางหมุดหมายไว้ โดยพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ผสมผสานทั้งการเรียนรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน สร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลายและปลอดภัย ช่วยเชื่อมรอยต่อต่างๆ ในระบบการศึกษา โดยอาศัยการสร้างความร่วมมือกับชุมชน องค์กรท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการร่วมกันการออกแบบสร้าง “ต้นแบบนวัตกรรมการจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่น” เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค สร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายและตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองมากขึ้น

ซึ่งขั้นตอนก่อนที่เด็กคนหนึ่งจะได้เข้ามาอยู่ในระบบสอง จะเริ่มจากการที่คณะครูในโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม จะคอยสังเกตนักเรียนว่าเข้าข่ายเสี่ยงหลุดหรือหลุดจากระบบศึกษาหรือเปล่า และจะเริ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนคนนั้นๆ พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับตัวเด็ก เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา หากแก้ปัญหาได้สำเร็จและยั่งยืน เด็กก็จะเรียนต่อในระบบปกติต่อไป แต่ถ้าไม่สามารถแก้ได้ หรือไม่ยั่งยืน ก็จะแนะนำให้ตัวนักเรียนย้ายไประบบสอง
โดยการจะย้ายไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนเป็นหลัก โดยจะมีการประสานให้ผู้ปกครองลงชื่อยินยอมหลังจากนักเรียนแสดงตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนในระบบสอง
ห้องเรียนระบบสองของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จะมีความยืดหยุ่น โดยมีการปรับวิธีการสอน รูปแบบการเรียน และการประเมินผลที่สอดคล้องกับตัวนักเรียน ผ่านการเรียนที่เรียกว่า ‘6 Ons’ ได้แก่
1) Online : การเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ทุกวันพุธ สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง
2) On-site : การเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนจัด
3) On-demand : การเรียนผ่านเอกสารและคลิปการสอนที่โรงเรียนอัปโหลดไว้บนเว็บไซต์
4) On-community : การเรียนรู้จากการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชน
5) On-hand : การทำใบงานส่ง
6) On-home : การเรียนรู้ผ่านอาชีพหรือการใช้ชีวิตของที่บ้าน
อันซีนเคยเป็นเด็กระบบปกติมาก่อน และเคยวางแผนชีวิตว่าอยากเรียนให้จบ ให้ได้วุฒิ แต่ตอนที่อันซีนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เขาซ้ำชั้น ไม่สามารถเรียนจบได้ เพราะต้องแบ่งเวลามาช่วยยายทำงานหาเงิน จึงออกจากโรงเรียนตอนอายุ 15 ปี และใช้เวลาประมาณ 2 ปี ในการกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม โดยระหว่าง 2 ปีนั้น อันซีนเลือกที่จะพักเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ

กิจวัตรประจำวันของอันซีนในตอนนี้ จึงเปลี่ยนจากการตื่นเช้าไปโรงเรียน เป็นการตื่นตั้งแต่ตี 2 เพื่อออกไปกรีดยาง สลับกับการตื่นเช้าเพื่อไปดูไร่นาของครอบครัว พอว่างจากงานเมื่อไหร่ก็จะงีบหลับ หรือไม่ก็เปิดดูคลิปที่ครูอัปโหลดไว้บนเว็บไซต์ของโรงเรียน
“ถ้าคืนไหนกรีดยางจะตื่นประมาณตี 2 ครับ ต้องใช้เวลากรีดยางประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะยางมี 500 ต้น ถ้าไม่ได้ไปกรีดยางก็ตื่นแล้วแต่วัน ส่วนใหญ่ก็ 8-9 โมงนี่แหละครับ แต่วันนี้ตื่น 7 โมงเช้าไปดูน้ำในนา”
สำหรับอันซีน การกลับเข้ามาอยู่ในระบบสอง เกิดจากการชักชวนของ ครูนุ้ย-จารุณี ทายะ ครูผู้ดูแลการเรียนระบบสอง เพราะครูนุ้ยมักแวะมาเยี่ยมเยียนที่บ้านของอันซีนอยู่เสมอ จนสนิทกับคุณยายของอันซีนและเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น วันที่ครูนุ้ยไปเจออันซีนและคุณยายที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ครูนุ้ยจึงแนะนำให้อันซีนและยายรู้จักกับการเรียนในระบบที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น

ต่างจากเอิร์ท วัย 17 ปี ที่เข้าไปแจ้งครูว่าจะขอย้ายจากระบบปกติไประบบสอง โดยไม่มีใครชักชวน
“ผมเคยคุยกับแม่เรื่องระบบสอง ว่าอยากย้ายไปเรียน แต่ตอนนั้นแม่ไม่เห็นด้วย พอช่วงต้นปีที่ผ่านมาพ่อเสีย ผมเลยมาคุยกับแม่อีกครั้ง ก็เลยได้มาเรียนระบบสอง ลองทำงานดู”
เอิร์ทเล่าว่า ครอบครัวของเขามีกันอยู่ 5 คน ได้แก่ พ่อ แม่ เอิร์ท และน้อง พอต้นปีก่อนที่บ้านได้เสียเสาหลักของครอบครัวไป แม่จึงต้องขึ้นมาเป็นเรี่ยวแรงหลักในการหาเงินเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 เอิร์ทจึงขอมาเรียนระบบสอง จะได้ออกมาทำงานเพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายของครอบครัว
ซึ่งงานที่เอิร์ทได้ทำ คือการเป็น ‘เด็กส่งแก๊ส’ ของร้านแก๊สที่แม่ของเอิร์ททำงานอยู่
พอลองย้ายมาระบบสอง ได้ระยะหนึ่ง เอิร์ทเกิดความรู้สึกอยากกลับไปเรียนระบบปกติ อีกครั้ง ซึ่งแม่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร และทางโรงเรียนก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะนักเรียนของโรงเรียนสามารถย้ายระบบได้เสมอ จาก 1 จะไป 2 ก็ได้ 2 จะไป 1 ก็ได้ หรือถ้าภายในระบบปกติ อยากเปลี่ยนแผนการเรียนจากวิทย์-คณิตไปแผนการเรียนอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของโรงเรียน ซึ่งนักเรียนจะต้องเข้ามาปรึกษาครูที่เกี่ยวข้องก่อน เพราะการย้ายไปเรื่อยๆ จะส่งผลเสียต่อตัวนักเรียนได้เช่นกัน
“พอแม่โอเคให้กลับไปเรียน ผมก็กลับไป แต่สักพักก็มีปัญหาที่ตามมาคือเรื่องเงินครับ เพราะพอพ่อไม่อยู่แม่ต้องทำงานคนเดียว ผมเลยมานั่งคุยกับแม่อีกทีว่าจะขอออกมาระบบสอง เพื่อทำงานหาเงินช่วยแม่”
เอิร์ทในตอนนี้จึงได้กลับมาเป็นเด็กระบบสอง และเป็นเด็กส่งแก๊สที่พูดจาฉะฉาน อัธยาศัยดี คุยสนุกจนสัมผัสได้ผ่านการพูดคุยเพียงครึ่งชั่วโมง

แต่เอิร์ทไม่ได้เป็นเด็กเพียงคนเดียวในร้านขายแก๊ส เพราะเขายังมีเพื่อนๆ จากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมอีก 2 เป็นเพื่อนร่วมงาน ซึ่งทั้งคู่เป็นเด็กระบบสองเหมือนกับเอิร์ท โดยการได้เข้ามาทำงานที่นี่ของเด็กทั้ง 3 คนเกิดจากการทำหนังสือสัญญาร่วมกันระหว่างร้านแก๊สและโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมว่า ร้านแก๊สมีสถานะเป็นสถานที่ฝึกงานที่ให้ค่าตอบแทนกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม
“ระบบสอง สำหรับผม คือ การออกมาทำงานแต่ชื่อของผมยังอยู่ในระบบของโรงเรียน เป็นการที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียน เพราะว่าเราไม่พร้อมในเรื่องการเรียน แต่อยากเรียนและอยากมีวุฒิ”
สำหรับเอิร์ท สิ่งที่ได้จากการทำงานที่ร้านแก๊ส คือ รายได้และทักษะต่างๆ จากการทำงาน ตั้งแต่ทักษะการคิดเลข จนไปถึงทักษะการเจรจากับผู้ใหญ่ที่เจ้าตัวคิดว่า หากเรียนอยู่ในระบบปกติ คงไม่มีทักษะนี้
แต่สำหรับคนเป็นแม่ สิ่งที่แม่ของเอิร์ทสัมผัสได้จากการที่ลูกของตัวเองมีโอกาสเรียนในระบบสอง คือ การได้เห็นลูกของตัวเองเติบโตขึ้น ทั้งด้านพฤติกรรมและทักษะการใช้ชีวิต
“ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.4 เราเห็นเขาเป็นคนเฉื่อย แต่พอเขามาเรียนระบบสอง มาทำงานกับเรา เรา 2 คนได้คุยกันมากขึ้น รู้จักลูกมากขึ้น เห็นลูกได้พัฒนาความเก่งภายในตัว รู้สึกตัดสินใจไม่ผิดที่ให้เขาเรียนระบบสอง เพราะระบบสองของที่นี่ คือการเปิดโอกาส และไม่ทิ้งเด็ก”

ความยืดหยุ่นที่เต็มไปด้วยความใส่ใจของโรงเรียน จึงทำให้ทั้งอันซีนและเอิร์ทใกล้การศึกษามากขึ้น โดยไม่กระทบกับปัจจัยในการใช้ชีวิต และทำให้คุณภาพของพวกเขาดีขึ้น
ทุกที่สามารถเป็นโรงเรียนได้
“ตั้งแต่ผมมาทำงาน ผมรู้สึกเลยว่าทุกที่เป็นโรงเรียนจริงๆ เพราะเราไม่ได้เจอแค่เพื่อน เราเจอคนที่โตกว่า เวลาเจรจากับผู้ใหญ่ก็เหมือนการพูดคุยกับครูที่โรงเรียนครับ”
ก่อนจะมาเป็นเด็กระบบสอง ที่ทำงานอยู่ในร้านแก๊ส กิจวัตรประจำวันของเอิร์ทคือการตื่นเช้าไปโรงเรียน ต่อสู้กับบางวิชาที่ไม่ชอบ พอตกเย็นก็กลับบ้าน อาบน้ำกินข้าว แล้วไปอยู่ในห้องคนเดียวเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรกับคนในครอบครัว
แต่พอย้ายมาเรียนในระบบสอง กิจวัตรของเอิร์ทก็เปลี่ยนไป จากที่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ก็เปลี่ยนไปเป็นตื่นเช้ามาเตรียมตัวเข้าทำงาน
“วันนี้ผมตื่นตี 5 แล้วก็มาถึงที่นี่ตอน 07.50 น. พอมาถึงก็มายืนรอฟังเจ้านายว่าเขาจะพูดอะไร หรือไม่ก็ถามเขาไปเลยว่าวันนี้เราจะได้ไปที่ไหน ไปกับใคร สมมติว่าได้ไปกับพี่คนนั้น ก็จะต้องไปถามเขาว่าเช็กรถแล้วหรือยัง ถ้ายังเราก็จะเช็กให้ เป็นการเตรียมงานในช่วงเช้าครับ”
งานของเอิร์ทแต่ละวันคือการนำแก๊สที่ลูกค้าสั่งไปส่งตามร้านต่างๆ และคอยหาลูกค้าเพิ่ม ซึ่งสิ่งที่เอิร์ทชอบที่สุดในการทำงานนี้ คือ ขยับรถขึ้น – ลง เพื่อเอาถังแก๊สขึ้นรถ แม้ตอนนี้จะกลิ้งถังแก๊สได้คล่องมือ แต่ถ้าให้ย้อนไปช่วงแรกของการทำงาน ถ้าไม่ได้แรง ‘บิวท์’ ของแม่ที่คอยสนับสนุน กว่าเอิร์ทจะคล่องคงใช้เวลานานกว่านี้
“ช่วงแรกมันยาก แม่เลยคุยกับเขาว่า พี่ผู้หญิงเขากลิ้งถัง 2 มือพร้อมกันได้หมดเลย แม่ก็ทำได้ พี่ผู้หญิงที่อายุมากกว่าแม่ก็ทำได้ ลูกเป็นผู้ชาย ข้อก็แข็งแรงกว่า แล้วทำไมถึงจะทำไม่ได้ เขาก็เงียบไป แล้วก็พยายามฝึกกลิ้งถังเปล่าเองจนคล่อง พอเริ่มทำได้ก็มีความอวดกันเกิดขึ้น พูดกับผู้ชายที่อายุเยอะกว่าว่า ผมก็ทำได้นะ”

เวลาเอิร์ทและเพื่อนๆ ทำงาน แม่ของเอิร์ทและพนักงานคนอื่นๆ จะช่วยกันถ่ายคลิปให้ เพื่อเป็นชิ้นงานให้เด็กๆ นำไปส่งให้ครูที่โรงเรียน ซึ่งรายละเอียดของชิ้นงานที่ส่งครูแต่ละครั้ง จะประกอบไปด้วยคลิปสั้นๆ กับคำอธิบายว่าทำอะไรและได้เรียนรู้อะไร เช่น วันนี้ออกไปส่งแก๊สและเก็บเงินลูกค้า พอกลับมาที่ร้านก็ต้องเขียนสรุปยอดเงินทั้งหมด สิ่งที่ได้เรียนรู้จึงเป็นการคิดคำนวณ ครูที่เป็นคนตรวจงานก็จะรู้ว่านี่คือการฝึกทักษะคณิตศาสตร์ของเอิร์ท ซึ่งนอกจากส่งคลิปผ่านช่องทางออนไลน์แล้ว เอิร์ทจะต้องถ่ายรูปเก็บไว้ใส่แฟ้มสีชมพู พร้อมเขียนบันทึกการทำงานในแต่ละวันว่ามีข้อดีหรือข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง
“การส่งงานแต่ละครั้งไม่ยาก คะแนนส่วนมากมาจากการส่งงานครับ แม่จะเป็นคนถ่ายคลิปให้ ส่วนสอบก็จะเป็นการดูคลิปออนไลน์ แล้วทำแบบทดสอบ ไม่ได้เหมือน ม.3 กับ ม.6 ที่จะต้องไปสอบที่โรงเรียน”
ส่วนอันซีน แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานร่วมกับคนอื่นแบบเอิร์ท ไม่ได้ฝึกงานในรูปแบบเดียวกับเอิร์ท และห้องเรียนทักษะอาชีพของอันซีนมีลุงและยายเป็นผู้สอน โดยจับมือเขาให้ลองปฏิบัติจริงตั้งแต่วันแรก
“ผมเริ่มกรีดยางช่วง ม.1-ม.2 นี่แหละครับ ลุงเป็นคนสอน เขาพาเข้าไปในสวนแล้วให้จับมีดกรีดเลย ผมก็กรีดไม่เป็นแต่เขาก็ให้ทำ ใช้เวลาวันเดียวครับถึงเริ่มเป็น ส่วนทำนายายเป็นคนสอนครับ”
พอทำมาหลายปี อันซีนก็มีความคล่องตัวมากขึ้น ตอนนี้เวลาไปกรีดยางหรือไปทำนาก็สามารถไปคนเดียวได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องมีคนไปด้วย โดยเฉพาะการกรีดยาง เพราะอันซีนกลัวผี
“ตอนแรกผมกลัวผีนะครับ ช่วงที่ต้องไปกรีดยางตอนกลางคืนแรกๆ เลย แต่ต้องใจแข็ง ตอนนั้นมีลุงไปด้วย แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้วครับ ไปเองได้”

ซึ่งพอเราถามว่ากรีดยางกับทำสวนอะไรยากกว่ากัน อันซีนไม่ตอบว่าอันไหนยากเป็นพิเศษ แค่มีความลำบากที่ต่างกัน
“กรีดยางมันไม่เชิงลำบาก แต่มันเป็นการทำอย่างเดียวซ้ำๆ เดินกรีดไปเรื่อยๆ จนเหนื่อย แต่ถ้าเป็นการทำนา ก็จะเป็นการที่เราต้องทำยังไงก็ได้ให้ข้าวไม่ตาย ต้องคอยดูว่าขาดปุ๋ย ขาดยาไหม”
แม้ว่าจะไม่มีคนถ่ายคลิปให้ แต่อันซีนก็ตั้งกล้องถ่ายคลิปด้วยตัวเอง เพราะยิ่งส่งบ่อย คะแนนก็ยิ่งดี ครูนุ้ยจึงเล่าให้เราฟังว่า อันซีนส่งคลิปมาให้ดูแม้จะไม่ใช่วันส่งงานก็ตาม
ใบงานจากการเรียนแบบ On-hand อันซีนก็ส่งตลอดหากไม่ลืม ส่วนการเรียนออนไลน์นั้น อันซีนก็เล่าให้เราฟังว่าเขาไม่ได้เข้าแม้ว่าจะได้คะแนนเสริมเพราะติดงาน แต่ทางโรงเรียนก็ไม่ได้บังคับอะไร
“ถ้าเรียนออนไลน์ก็จะเป็นทุกวันพุธ ตอนเย็นครับ ถ้าเรียนก็จะได้คะแนนเสริม แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้เข้านะ ติดงาน ส่วนถ้าถามว่ามีปัญหาอะไรไหมกับการเรียนระบบสอง ของผมน่าจะเป็นการลืมส่งงาน ครูเขาก็จะมาย้ำให้ส่ง แต่เขาไม่ได้ว่าอะไร จะย้ำเฉพาะคนที่คะแนนไม่ค่อยดี”
นอกจากนี้ อันซีนยังเล่าอีกว่า บางครั้งโรงเรียนจะพาไปเรียนรู้เกี่ยวกับการทำอาชีพต่างๆ อย่างการพาไปสวนเกษตร เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการเพาะพันธุ์พืชผัก ซึ่งอันซีนได้นำความรู้นี้ไปใช้กับสวนของตัวเอง
ส่วนเรื่องเพื่อนอันซีนก็ไม่มีปัญหา เพราะละแวกบ้านเขาก็ยังมีเพื่อนที่ชวนไปขับรถเที่ยว และอันซีนเองก็มีโอกาสกลับไปที่โรงเรียนเวลามีกิจกรรมต่างๆ ได้ทำงานกลุ่มกับคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่อันซีนชอบ
และต่อให้ตอนนี้อันซีนจะอายุ 20 ปี มากกว่าเด็ก ม.6 คนอื่นๆ ในโรงเรียน แต่อันซีนก็สามารถเข้า-ออกโรงเรียนได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะการเรียนแบบระบบสองไม่ได้มีกำหนดว่า อายุที่เกินเกณฑ์จะเป็นกำแพงขวางกั้นเด็กจากการศึกษา
“เวลาไปโรงเรียนส่วนใหญ่ตอนนี้เป็นการเข้าไปทำกิจกรรมกลุ่มครับ มีการทำงานกลุ่ม ผมชอบเพราะได้รู้จักกับเพื่อนคนอื่น ระหว่างงานเดี่ยวกับงานกลุ่มผมก็ชอบงานกลุ่มมากกว่าครับ เพราะได้พูดคุยกับเพื่อน ทำคนเดียวมันเหงา”
สำหรับเรื่องเรียนและอนาคตของอันซีนในสายตาของยายที่อยู่ในบ้านเดียวกันนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง สิ่งเดียวที่เธอคอยบ่นอันซีนมีเพียงเวลาที่อันซีนออกไปเที่ยวทั้งวันจนกลับบ้านช้า หรือไม่ก็ไปค้างที่อื่น เพราะยายหลานคู่นี้อาศัยอยู่ด้วยกันเพียง 2 คนในบ้าน กับแมวอีกจำนวนหนึ่ง ถ้าอันซีนไม่กลับบ้านหรือกลับช้า บ้านทั้งหลังก็จะเงียบเหงา

ความฝันขั้นต่อไป ยังคงเป็นเรื่องเรียน
แม้ว่าจะถอยออกมาอยู่นอกโรงเรียน แต่การเรียนในระบบสอง ทำให้ความฝันเรื่องเรียนไม่ได้หายไปไหน โดยเฉพาะกับอันซีนที่เล่าให้เราฟังว่า สมัยเรียนอยู่ระบบปกติ เขาไม่ได้วางแผนอะไรในอนาคตเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เริ่มคิดบ้างแล้ว
“ตอนนั้นไม่ได้วางแผนอนาคตครับ คิดแค่เรียนให้จบ แต่พอซ้ำชั้นเลยไม่จบ ออกมาอยู่บ้านช่วง ม.2 กรีดยาง แล้วเพิ่งกลับมาเรียนตอน 17-18 ส่วนความฝันผมตอนนี้คือ การทำงานเก็บเงิน เดี๋ยวเดือนหน้าต้องไปเกณฑ์ทหาร ถ้าผ่านเรื่องเกณฑ์ทหารจะคิดดูอีกทีครับว่าจะเรียนต่อหรือหางานที่อื่นทำ”
ซึ่งตรงกับนิยามของโรงเรียนสำหรับอันซีน ที่เจ้าตัวบอกว่า โรงเรียนคือที่ที่ทำให้เก่งขึ้น และมีเส้นทางของตัวเอง
“โรงเรียนเป็นที่ให้ความรู้ ได้เสริมทักษะ ทำให้เราเก่งขึ้นครับ แล้วก็ทำให้เราเอาความรู้ไปเรียนต่อ หรือไม่ก็เอาไปทำงานเลยหลังเรียนจบ”
ส่วนเอิร์ทพอโดนถามว่า ถ้าเรียนจบจนได้วุฒิ ม.6 แล้ว จะทำให้อะไรต่อ เอิร์ทตอบว่า ‘อยากเรียนต่อ’
“ผมอยากเรียนแนวอุตสาหกรรมแบบช่างยนต์ ผมชอบแนวนี้ อยากเป็นช่างไฟ ช่างเชื่อม”
อาชีพช่างเป็นอาชีพในฝันของเอิร์ทมาตั้งแต่เมื่อก่อน เป็นความฝันที่เขาไม่เคยทิ้ง และเป็นความฝันที่อยู่ในสายตาของคนเป็นแม่มาโดยตลอด เพราะเอิร์ทก็มาหยิบเอาลำโพงของแม่ไปแกะ เอาสายไฟไปต่อ
“มันเป็นอาชีพในฝันของผมมาตั้งนานแล้วนะ เพราะผมชอบซ่อมรถ ชอบซ่อมของในบ้าน ขนาดลำโพงที่บ้านผมยังถอดออกมาหมดเลย รถบังคับที่แม่ซื้อให้ตั้งแต่เด็ก 6-7 คัน ผมแกะออกหมดเลย”

ถ้าไม่มีเงื่อนไขทางการเงิน เอิร์ทก็อยากกลับเข้าไปเรียนระบบปกติ แต่ถ้าให้เลือกสำหรับในตอนนี้ เอิร์ทชอบการเรียนในระบบสอง มากกว่า
“ผมรู้สึกว่าผมได้ออกมาหาเงินเอง แล้วได้ใช้เงินเอง แล้วก็ผมไม่รู้ว่า ถ้าผมกลับไปอยู่ระบบปกติ ผมจะพูดกับเพื่อนรู้เรื่องไหม” เอิร์ทตอบไปขำไป
ซึ่งแม่ของเอิร์ทก็เสริมว่า ทุกวันนี้เอิร์ทก็ยังคงมีเพื่อนระบบปกติ แวะมาเล่นกีตาร์ที่บ้านอยู่เรื่อยๆ การพูดไม่รู้เรื่องอาจจะหมายถึงเรื่องวิชาเรียนกับการวางแผนในอนาคตในเส้นทางของการทำงาน มากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนด้วยกัน
แม้ว่าจะโดนเงื่อนไขในชีวิตพยายามผลักออกจากระบบการศึกษา แต่การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น อย่างการเรียนในระบบสองของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ทำให้อันซีนและเอิร์ทถูกดึงกลับมาในเส้นทางการศึกษาอีกครั้ง โดยสามารถเรียนรู้และทำงานเลี้ยงดูปากท้องตัวเองไปพร้อมกันได้ ไม่ต้องเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง และมีพื้นที่ให้หยุดคิดว่า เส้นทางอนาคตในฝันของตัวเองจะเป็นอะไร

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลของหยาดเหงื่อแรงกายที่ผอ.พิเศษและคณะครูโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ทุ่มเทไปกับการออกแบบและดำเนินห้องเรียนระบบสอง แม้จะเหนื่อยมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะต้องดูแลทั้งเด็กระบบปกติและระบบสองให้ดี แต่ก็สร้าง ‘โอกาส’ ให้กับเด็กๆ อย่างมากเช่นกัน