‘U-Volunteer for School’ ข้อมูลชี้เป้ายกระดับการเรียนรู้โรงเรียนพื้นที่ห่างไกล จุดไฟนิสิตครูรุ่นใหม่หัวใจอาสา

‘U-Volunteer for School’ ข้อมูลชี้เป้ายกระดับการเรียนรู้โรงเรียนพื้นที่ห่างไกล จุดไฟนิสิตครูรุ่นใหม่หัวใจอาสา

“หนูไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษเพราะมันยากมาก เรียนไม่เข้าใจเลย แต่พอพี่ ๆ มาชวนเล่นเกม ชวนร้องเพลงภาษาอังกฤษ รู้สึกสนุก ได้รู้จักศัพท์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นหลายคำ ก็เลยชอบเรียนมากขึ้น …หนูชอบเกมบันไดงูที่สุด เหมือนได้เล่นกับเพื่อนไปด้วย แล้วพอเล่นกันบ่อย ๆ ก็จำศัพท์ได้ไม่ลืมเลย”  — ด.ญ.ซีแกรม ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบน 

“เราไม่ได้มาจัดกิจกรรมสองสามครั้งแล้วจบ แต่คาดหวังความเปลี่ยนแปลงระยะยาว ว่ากิจกรรมนี้จะทิ้งรอยทางไว้ให้ครูมีรูปแบบ มีวิธีการ มีเครื่องมือ มีชุดสื่อต้นแบบที่ช่วยต่อยอดการออกแบบการเรียนรู้ได้จริง เพื่อที่เด็กจะได้ใช้อย่างต่อเนื่อง เพราะโรงเรียนต้องพัฒนาตัวเองได้ต่อไป”   — พี่แพน นิสิตครูอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

“เราเห็นผลว่าเด็กเข้าใจและชอบเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น จากการเข้ามาช่วยออกแบบการสอนของนิสิตครูอาสาสมัคร เรื่องน่ายินดีคือเราต่างมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน ว่าการอัปเดตเทคนิคการสอนหรือการทำชุดสื่อใหม่ ๆ สำหรับครูต้องสามารถเกิดขึ้นต่อเนื่องเองได้ เพื่อให้เด็กมีกิจกรรมหรือเกมใหม่ ๆ ที่ดึงดูดความสนใจต่อไป”   —  ผอ.นัทที พัฒนะผล โรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบน

กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รถบัสสองคันนำนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร์ศาสตร์ร่วม 80 ชีวิต เดินทางมาถึง ‘โรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบน’ ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี ซึ่งคณะนิสิตจิตอาสาจะมาฝังตัวอยู่กับเด็ก ๆ และคุณครูเป็นเวลาสี่วัน เพื่อจัด ‘ฐานกิจกรรมทดลองการสอนแบบบูรณาการภาษาอังกฤษ’ และ ‘ค่ายอาสาพัฒนา’ เพื่อยกระดับโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลให้มีความพร้อมยิ่งขึ้น      

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘โครงการนำร่องพัฒนากลไกอาสาสมัครในสถาบันการศึกษาเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่โรงเรียนพื้นที่ห่างไกล’ หรือ U-Volunteer for School ที่ กสศ. และ มูลนิธิวายไอวาย ร่วมกันลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลกับโรงเรียนในเมือง โดยอาศัยการทำงานผ่านข้อมูล เพื่อชี้เป้าให้เกิดการจับคู่นิสิตนักศึกษาอาสาสมัครให้มาเจอกับโรงเรียนปลายทาง ซึ่งยังขาดแคลนทรัพยากร และต้องการการสนับสนุนการเรียนรู้เฉพาะทาง หรือเฉพาะบริบท 

นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนากำลังคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีความรู้ ทักษะ และความสามารถ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในฐานะอาสาสมัคร ที่นำร่องร่วมกับ 5 สถาบันระดับอุดมศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, มหาวิทยาลัยพะเยา และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

การออกค่ายอาสาของนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตร์ศาสตร์ ครั้งนี้ เป็นการมาเยือนโรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบนเป็นครั้งที่สี่ พร้อมกับการออกแบบการเรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษ ผ่านกิจกรรม การเล่นเกม รวมถึงออกแบบการทดลองสอนในรายวิชาต่าง ๆ เช่นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา ฯลฯ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยบูรณาการผ่านการใช้ภาอังกฤษ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการยกระดับทักษะและผลลัพธ์การเรียนรู้ หลังพบว่าผลทดสอบ O-Net ในวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ยังต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

‘พี่แพน’ กัญทิมา มองเพชร ในฐานะแกนนำนิสิตอาสาเล่าว่า กิจกรรมค่ายครั้งนี้เตรียมตัวกันมากว่าครึ่งปี ผ่านการพูดคุยกับผู้บริหารและครูโรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบน ว่าทางโรงเรียนอยากจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อยกระดับผลการทดสอบ O-Net จากนั้นคณะนิสิตอาสาจึงเริ่มลงพื้นที่สำรวจค้นหาสาเหตุเพื่อนนำกลับมาสรุปถึงแนวทางแก้ปัญหา ก่อนนำมาสู่การออกแบบกิจกรรมและชุดสื่อ เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ช่วยกระตุ้นความสนใจของเด็ก ทั้งยังตั้งเป้าหมายให้ครูสามารถพัฒนาเทคนิคการสอน หรือมีทักษะการออกแบบชุดสื่อใหม่ ๆ ด้วยตัวเองได้   

กัญทิมา มองเพชร

“เราพบว่าที่เด็กไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ เพราะไม่เห็นความสำคัญว่าเรียนไปทำไม แล้วพอเนื้อหาวิชามันไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน อย่าว่าแต่ตัวเด็ก แต่ผู้ปกครองเองก็คิดเหมือนกันว่ารู้ไปก็เท่านั้น ประกอบกับครูเอกภาษาอังกฤษที่โรงเรียนก็มีจำนวนไม่พอสอนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.3 กลายเป็นชั้นเด็กเล็กต้องโยกครูวิชาอื่นมาสอน แล้วด้วยทักษะและทรัพยากรที่มี ครูเขาก็ต้องสอนตามหนังสือ ทีนี้พอแต่ละชั่วโมงผ่านไป เด็กไปกับเนื้อหาไม่ได้ ก็เริ่มหลุดโฟกัส เลยพานเบื่อ สะสมนานเข้ากลายเป็นรู้สึกไม่ชอบ ปฏิเสธการเรียนอยู่ลึก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางที่คะแนนสอบจะออกมาดี

“เมื่อเคาะเจอสาเหตุพบ เราจึงตั้งใจออกแบบวิธีการ ออกแบบสื่อ ออกแบบบรรยากาศการเรียนให้ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างแรก โดยเน้นสร้างชุดสื่อและกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนที่ครูคนไหนก็หยิบมาใช้ได้ แล้วเนื้อหาจะต้องสัมพันธ์กับเรื่องราวรอบ ๆ ตัวเด็ก เป็นเรื่องราวจากชีวิตประจำวัน เพื่อให้ทั้งเด็กและครูสนุกสนานไปด้วยกันระหว่างการเรียนรู้           

“การลงพื้นที่หน้างานหลายต่อหลายเที่ยว ทำให้คณะนิสิตอาสาบรรลุว่า หากพวกเขาหยั่งรากทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนภาษาอังกฤษลงในใจน้อง ๆ ได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นสิ่งที่ตามมาก็ง่ายขึ้น ตามที่พี่แพนสรุปไว้ว่า 

“ทุกวันนี้ภาษาอังกฤษนั้นอยู่ในทุกอย่างรอบตัวเรา ถ้าเปิดตาเปิดใจเด็กได้เมื่อไหร่ ความใฝ่รู้ใฝ่เรียนก็จะเกิดขึ้นจากภายในตามมา” 

จึงเป็นที่มาของกิจกรรมครั้งนี้ที่ทางนิสิตครูอาสาจาก ม.เกษตร ฯ ระดมทีมงานชุดใหญ่เข้ามาทดลองจัดกิจกรรมผ่าน 6 ฐานการเรียนรู้ ที่ประกอบไปด้วยฐานวิชาในกลุ่มสาระหลัก เช่นคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ควบคู่กับฐานกิจกรรมร้องเพลง การเต้น การเคลื่อนไหวผ่านการเล่น รวมถึงการเล่นเกมกระดาน ที่ทุกฐานจะสอดแทรกด้วยคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อให้เด็ก ๆ ซึมซับคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว

“เราวิเคราะห์จากหลักสูตรแกนกลางว่าเด็กแต่ละชั้นเรียนอะไรอยู่ หรือจุดประสงค์ของการเรียนคือต้องอ่านเขียนโต้ตอบได้แค่ไหน แล้วจึงถอดเนื้อหาวิชามาออกแบบสื่อและกิจกรรม จนเกิดเป็น 6 ชุดการเรียนรู้ต้นแบบ จากนั้นเอามาทดลองจริงกับน้อง ๆ แต่ละครั้งกลับไปก็จะทบทวนผลสะท้อนกลับ เพื่อปรับหรือดัดแปลงให้เหมาะสม พยายามไล่เรียงระดับจากง่ายไปยาก หรือดูว่าอะไรที่เด็ก ๆ สนใจมากก็เพิ่มความเข้มข้นเข้าไปอีก 

เช่น ‘เกมตลาด’ ที่จำลองแผงตลาดสดให้เด็ก ๆ ได้วางแผนทำกับข้าว ซึ่งเขาต้องลิสต์เมนูแล้วออกไปจับจ่ายซื้อหาวัตถุดิบ มีตะกร้าผัก ตะกร้าเนื้อสัตว์ อย่างทำผัดกะเพราต้องใช้อะไรบ้างก็ไปซื้อกัน แล้วเด็ก ๆ ชอบกันมาก มันก็ตรงกับที่เราคิด ว่าอะไรที่ใกล้ตัว ได้ดูได้เห็นได้สัมผัสทุกวัน จับต้องได้ เด็กจะสนใจเข้าถึงได้ แล้วจำศัพท์ได้ไว จำได้ไม่ลืม แล้วในเด็กโตก็เริ่มมีกระบวนการเรียบเรียงทักษะภาษาในการคิดเมนู หรือการคำนวณเงินซื้อของ คือพอเริ่มจากสนุกกับการเรียนแล้ว พัฒนาการมันก็ต่อยอดไปได้เอง”     

นอกจากกิจกรรมในช่วงโครงการ ‘U-Volunteer for School’ แกนนำนิสิตอาสายังระบุถึง ‘ปลายทางที่อยากเห็น’ ว่า ไม่เพียงมีชุดสื่อการเรียนรู้ให้ครูได้ใช้ แต่ยังคาดหวังให้เป็น ‘พื้นที่เวิร์กช็อปที่จะทิ้งไว้ซึ่งไอเดียเล็ก ๆ’ เพื่อให้ครูที่โรงเรียนสามารถพัฒนาทักษะวิธีการ หรือทักษะการออกแบบเครื่องมือและรูปแบบการเรียนรู้ที่เด็กจะได้ลงมือทำจริง โดยต่อยอดจากชุดสื่อและกิจกรรมต้นแบบที่คณะนิสิตครูนำมาให้    

“เพราะที่สุดแล้ว สื่อหรือกิจกรรมสำเร็จรูปนั้นไม่ใช่เป้าหมาย แต่สิ่งที่ควรเป็นผลลัพธ์จริง ๆ ของโครงการนี้ คือการทลายกรอบจำกัดที่จะช่วยให้เกิดการต่อยอดไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะถ้าครูพบแล้วว่าความสนุกความสนใจของเด็กอยู่ตรงไหน เมื่อนั้นรูปแบบการเรียนการสอนหรือเกมต่าง ๆ มันก็พลิกแพลงไปอีกได้ไม่รู้จบ”

หลังฉายภาพกลไกการทำงาน พี่แพนยังกล่าวในฐานะตัวแทนนิสิตครูอาสา ว่า “วันที่รู้ว่าโจทย์ท้าทายที่ต้องมาพบ คือเด็กไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย เราคิดกันไปต่าง ๆ นานาว่าน้อง ๆ จะเบื่อและไม่อยากทำกิจกรรมหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงต้องช่วยกันมองหาทางอื่น ๆ เผื่อไว้ แต่กลายเป็นว่าตั้งแต่พบเด็ก ๆ วันแรก ได้ลองสอนลองทำกิจกรรม ปรากฏว่าเด็ก ๆ สนุก ติดใจ และรอคอยให้เรากลับมา แล้วทุกครั้งพอเจอกัน เด็กจำเกมได้ จำศัพท์ได้ หลายคนแสดงออกว่าดีใจที่จะได้เรียนภาษาอังกฤษ สำหรับพวกเราแล้วก็ถือว่าสิ่งที่ตั้งใจทำกันนั้นได้ผล จากที่เห็นเด็ก ๆ ชอบการเรียนมากขึ้น แล้วมันยังเป็นกำลังใจของพี่ ๆ ทุกคนด้วย เพราะเราคือนิสิตครู ฉะนั้นแน่นอนว่าการเห็นเด็ก ๆ รักที่จะเรียนกับเรา มันก็ยิ่งเติมไฟการเป็นครูให้ลุกโชนขึ้นด้วย”

นายนัทที พัฒนะผล ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบน พูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ จากการทำงานของคณะนิสิตอาสา ว่าดีใจที่เห็นเด็ก ๆ ตื่นเต้น กระตือรือร้นกับการเรียนภาษาอังกฤษ แล้วยังประทับใจที่เห็นพี่ ๆ นิสิตครูมาช่วยกันซ่อมแซมพัฒนาโรงเรียนด้วย

นัทที พัฒนะผล

“โรงเรียนเราอยู่ไกลจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรีที่สุดแล้ว จึงไม่แปลกที่เด็ก ๆ จะอยู่ห่างไกลจากโอกาสตามไปด้วย หลายเรื่องเราจึงกังวล โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่ยังต่ำกว่ามาตรฐาน เช่นภาษาอังกฤษที่ผลสอบโอเน็ตได้คะแนนค่อนข้างต่ำ พอเห็นว่ามีโครงการนี้จึงสนใจเข้าร่วม ซึ่งถึงตรงนี้มองว่านอกจากกิจกรรมสนุก ๆ ที่ทำให้เด็ก ๆ หันมาสนใจการเรียนมากขึ้น เรายังเห็นถึงแรงบันดาลใจดี ๆ ที่นิสิตครูนำมามอบให้ โดยเฉพาะการเปิดโลกการศึกษาและการทำงาน อย่างการเรียนศัพท์ภาษาอังกฤษในหมวดหมู่การงานอาชีพ ทำให้เห็นว่ามีอาชีพที่น่าสนใจหลากหลาย หรือการมีทักษะภาษาที่ดี ก็จะช่วยให้โอกาสการทำงานเปิดกว้างยิ่งขึ้น หรือแม้แต่กับเด็กที่อาจไม่ได้เรียนต่อระดับสูงเพราะต้องช่วยพ่อแม่ทำงานในสวนในไร่ เขาก็ควรได้เห็นไอเดียใหม่ ๆ ของการทำเกษตรกรรมในทุกวันนี้ ว่ามันมีเรื่องสมาร์ตฟาร์มเมอร์ หรือการทำเกษตรสมัยใหม่ ที่สามารถเอาไปต่อยอดพัฒนาในชีวิตจริงได้”

ผอ.นัทที ยังกล่าวชื่นชมทีมงานนิสิตครูอาสา ในเรื่องการให้ความสำคัญกับการพัฒนาโรงเรียนในระยะยาว ด้วยการลงพื้นที่ทำกิจกรรมกับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่เฉพาะ จำเป็นต้องคำนึงถึงความยั่งยืน และต้องทำงานร่วมกับโรงเรียนเพื่อพัฒนาบุคลากรไปพร้อมกัน เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าต่อไปของโรงเรียน และสามารถเป็นกรณีศึกษาให้กับโรงเรียนอื่น ๆ ได้อีกด้วย