กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ ธนาคารโลก จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “โครงการเสริมสร้างการเรียนรู้ทักษะทางสังคมและอารมณ์ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา” (Social and Emotional Learning in Vocational Education and Training: SELVT) ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 7–8 ตุลาคม 2568 โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพครูอาชีวศึกษาให้สามารถนำแนวทางการเรียนรู้ด้านสังคมและอารมณ์ (Socio-Emotional Learning: SEL) ไปใช้ในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการที่ผสมผสานองค์ความรู้ เครื่องมือ และเทคนิคการสอนสมัยใหม่ พร้อมเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคีด้านการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพการอาชีวศึกษาไทยสู่มาตรฐานสากล งานนี้ได้รับเกียรติจากผู้แทนหน่วยงานด้านการศึกษาชั้นนำ อาทิ นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการ สอศ. นายโคจิ มิยาโมโตะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการ กสศ. และน.ส.ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. พร้อมครูแกนนำและผู้นำสถานศึกษาสายอาชีพกว่า 25 แห่ง

“การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จะช่วยเสริมพลังครูอาชีวศึกษา
ให้สามารถพัฒนาศักยภาพผู้เรียน
โดยมี “ครูแกนนำ” คอยถ่ายทอดความรู้และต่อยอดการพัฒนาเยาวชน
ให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีคุณภาพ
และอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข”
นาย สง่า แต่เชื้อสาย
รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
ในการกล่าวเปิดงาน ผู้แทนหน่วยงานต่างเห็นพ้องถึงความสำคัญของ SELVT นายสง่า เน้นย้ำ ว่าการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือสำคัญที่จะช่วยเสริมพลังครูอาชีวศึกษา ตั้งแต่องค์ความรู้ เครื่องมือ และเทคนิคการสอนสมัยใหม่ ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างครูทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ให้สามารถพัฒนาศักยภาพผู้เรียนได้อย่างรอบด้าน “ครูแกนนำ” ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และต่อยอดการพัฒนาเยาวชน ให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีคุณภาพและอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยมุ่งเน้น 3 ทักษะหลัก อย่างทักษะวิชาการ ทักษะฝีมือและสมรรถนะ และทักษะทางสังคมและอารมณ์ คาดว่าจะช่วยผลิตบุคลากรคุณภาพกว่า 900,000 คนทั่วประเทศ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และสนับสนุนการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานชีวิตอย่างยั่งยืน

“การนำ SEL เข้าสู่ห้องเรียนต้องอาศัยความร่วมมือ
ระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษากับครูผู้สอน
เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมาย สนุก และมีประสิทธิภาพ
วันนี้ประเทศไทยกำลังก้าวเดินบนเส้นทาง SEL
ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย”
นายโคจิ มิยาโมโตะ
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก
นายโคจิ มิยาโมโตะ กล่าวเสริมถึงความสำคัญของครูผู้สอน ในฐานะผู้เหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การนำการเรียนรู้ด้านสังคมและอารมณ์ หรือ SEL เข้าสู่ห้องเรียนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการศึกษากับครูผู้สอน เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมาย สนุก และมีประสิทธิภาพ แนวคิด SEL เริ่มผลักดันในระดับนานาชาติเมื่อสองทศวรรษก่อน โดย องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ในขณะนั้นแม้ประเทศที่ระบบการศึกษาก้าวหน้าอย่างฟินแลนด์ อังกฤษ หรือเกาหลีใต้ยังไม่คุ้นเคย การเรียนการสอน SEL ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาศักยภาพตนเองได้อย่างมีประสิทธิผล ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศในเครือ OECD ได้นำ SEL มาใช้ในการพัฒนาครูอย่างจริงจัง และวันนี้ประเทศไทยกำลังก้าวเดินบนเส้นทางเดียวกัน ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย

“โครงการ SELVT มุ่งดึงศักยภาพเด็ก
ให้สามารถพึ่งพาตนเอง ตลอดจนดูแลครอบครัวและสังคมได้อย่างยั่งยืน
การลงทุนในทักษะเหล่านี้คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 11 เท่า”
นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน
ผู้ช่วยผู้จัดการ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
นายพัฒนะพงษ์ กล่าวปิดท้ายถึง ความสำคัญของทุนมนุษย์ ในฐานะผู้ขับเคลื่อนประเทศให้หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง โครงการ SELVT ต่อยอดมาจากโครงการ “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน ด้วยทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง” (High Vocational Innovation Scholarship)ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีข้อจำกัดด้านกำลังทรัพย์และร่างกายได้พัฒนาตนเอง จนสามารถดูแลตัวเอง ครอบครัว และสังคมได้ งานวิจัยพบว่านักศึกษาอาชีวศึกษาที่มีคะแนนทักษะทางสังคมและอารมณ์ต่ำ มักเผชิญปัญหาเข้าสู่ตลาดแรงงาน โครงการ SELVT จึงมุ่งดึงศักยภาพเด็กยากจนและเด็กที่มีความต้องการพิเศษให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน คาดว่าการลงทุนในทักษะทางสังคมและอารมณ์จะให้ผลตอบแทนสูงถึง 11 เท่า เป็นไปตามพันธกิจของ กสศ. ในการแก้ไขความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ภายในงานยังมีพิธีมอบเกียรติบัตรแก่ครูแกนนำ เพื่อยกย่องบทบาทครูผู้นำการผลักดันการเรียนรู้ทักษะทางสังคมและอารมณ์ในสถานศึกษาอาชีวศึกษาอีกด้วย


การประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการSELVT เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเพื่อทดสอบเครื่องมือและกระบวนการฝึกอบรมการเสริมสร้าง SEL สำหรับครู กรอบเนื้อหาแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ทักษะการก่อให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะการเสริมพลังการเรียนรู้แก่ผู้เรียน และ ทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู้ กิจกรรมออกแบบให้ผู้เข้าร่วมได้คิดรายบุคคล แลกเปลี่ยนเป็นคู่และกลุ่ม เขียน พูดคุย และเคลื่อนไหว เพื่อให้สามารถจัดการอารมณ์ ทำงานสู่เป้าหมาย มีส่วนร่วมกับผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น และค้นหาสิ่งใหม่ได้

ในยุคอุตสาหกรรม 5.0 ที่เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ทำงานควบคู่กับแรงงานมนุษย์ การพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ถือเป็นหัวใจสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของเยาวชนและแรงงานไทย ผลสำรวจปี พ.ศ. 2567 พบว่า เยาวชนและแรงงานจำนวนมากขาดทักษะพื้นฐานชีวิต ซึ่งประกอบด้วยทักษะการรู้หนังสือ ทักษะดิจิทัล และทักษะทางสังคมและอารมณ์ ส่งผลให้รายได้ของผู้ที่มีทักษะต่ำกว่ามาตรฐานต่ำกว่ากลุ่มที่มีทักษะสูงถึง 6,300 บาทต่อเดือน และสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท หรือราว 20% ของ GDP
โครงการ “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน ด้วยทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง” และโครงการ “เสริมสร้างการเรียนรู้ทักษะทางสังคมและอารมณ์ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา” ของ กสศ. และ สอศ. มุ่งพัฒนาทุนมนุษย์จากครัวเรือนยากจนฐานล่างสุด ไม่เพียงให้เยาวชนมีโอกาสเรียนต่อในสายอาชีพเท่านั้น หากแต่ยังต่อยอดสู่แรงงานทักษะสูง ด้วยการบูรณาการ SEL เข้าในหลักสูตรอาชีวศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ การจัดการอารมณ์ การทำงานเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย การมีส่วนร่วมกับผู้อื่น การเข้าใจผู้อื่น และการค้นหาสิ่งใหม่ การพัฒนาครูและบุคลากรให้เป็นผู้เหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้ผู้เรียนปรับตัวได้ในโลกการทำงาน เพิ่มโอกาสจ้างงาน และก้าวหน้าในอาชีพการงานในศตวรรษที่ 21 งานวิจัยชี้ว่าผู้เรียนที่เข้าร่วมโครงการ SEL มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าปกติ 11–12% ขณะเดียวกันการลงทุนใน SEL 1 ดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11 ดอลลาร์สหรัฐต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้นการพัฒนา SEL ไม่เพียงเสริมสร้างแรงงานทักษะสูงและลดความเหลื่อมล้ำ หากแต่ยังสร้างเยาวชนไทยที่ยืดหยุ่น ปรับตัวได้ ริเริ่มนวัตกรรม และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน