พ่อแม่ในสหรัฐฯ วอนขอมีส่วนร่วมกำหนดหลักสูตรการศึกษาลูกหลาน
โดย : VOA News
แปลและเรียบเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา

พ่อแม่ในสหรัฐฯ วอนขอมีส่วนร่วมกำหนดหลักสูตรการศึกษาลูกหลาน

บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองในสหรัฐฯ เดินหน้าค้นหาแนวทางด้านกฎหมายและนโยบาย เพื่อให้ตนเองได้มีส่วนร่วมและมีบทบาทในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนของบุตรหลานในโรงเรียน โดยอาศัยการผลักดันผ่านกฎหมายสิทธิผู้ปกครองภายใต้การสนับสนุนของบรรดานักการเมืองในสหรัฐอเมริกา

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เป็นประเด็นใหญ่ที่ถกเถียงกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้วสำหรับโรงเรียนทั่วสหรัฐฯ สำหรับหลักสูตรการศึกษาของนักเรียนที่จะสามารถให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดและควบคุมได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ซึ่งหมายความว่า ต้องไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนกระทบต่อพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของผู้เรียน 

รายงานระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองในสหรัฐฯ ต่างลุกขึ้นมาประท้วงเรียกร้องให้ทางโรงเรียนเปลี่ยนแปลงประเด็นหรือเนื้อหาบางประการที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน เช่น เชื้อชาติ ประวัติศาสตร์ และศาสนา ขณะที่ผู้ปกครองบางรายหันหน้าเข้าหานักการเมืองท้องถิ่นเพื่อขอให้นักการเมืองเหล่านี้เข้ามามีส่วนร่วมผลักดันให้พ่อแม่มีสิทธิ์ในการกำหนดวิชาและเนื้อหาที่สอนภายในห้องเรียน 

ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้ว วิชาและเนื้อหาที่สอนจะได้รับการกำหนดโดยคณะกรรมการโรงเรียน ซึ่งเป็นกลุ่มของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามาเป็นผู้ควบคุมนโยบายด้านการศึกษาและการเงินของโรงเรียนแต่ละแห่ง

สื่อท้องถิ่นสหรัฐฯ รายงาน เมื่อไม่นานมานี้ รัฐที่พรรครีพัลิกันกุมเสียงข้างมากอย่างน้อย 12 แห่งได้มีการเสนอร่างกฎหมายที่กำหนดให้เขตการศึกษาเผยแพร่สื่อการสอนออนไลน์ โดยร่างกฎหมายบางฉบับยังเปิดโอกาสให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถยื่นฟ้องดำเนินคดีกับทางโรงเรียนที่ไม่ยอมปฎิบัติการกฎระเบียบที่กำหนด ซึ่งร่างกฎหมายเหล่านี้รวมเรียกว่า ร่างกฎหมายเพื่อความโปร่งใส (Transparency Bills)

นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังได้เดินหน้าในการริเริ่มเสนอร่างกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายสิทธิของผู้ปกครอง หรือ “Parents Bill of Rights” ที่ได้ทำการรวบรวมสิทธิต่างๆ ที่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองพึงมีต่อการเรียนของบุตรหลานในครอบครัว 

ตัวอย่างของสิทธิดังกล่าวก็เช่น พ่อแม่มีสิทธิที่จะรู้ว่าลูก ๆ ของตนได้เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง และ มีสิทธิที่ได้รับรู้เรื่องงบประมาณและการใช้จ่ายของทางโรงเรียน 

เหล่าสมาชิกพรรครีพับลิกันที่สนับสนุนข้อเสนอร่างกฎหมายสิทธิของผู้ปกครองระบุในแถลงการณ์ว่า พรรคเดโมแครตต้องการพรากอำนาจจากมือของพ่อแม่แล้วส่งต่อไปให้อยู่ในการควบคุมของนักการเมืองและสหภาพครูมากขึ้นในการกำหนดว่าเด็กๆ อเมริกันควรที่จะเรียนเรื่องอะไรในห้องเรียน 

สำนักข่าวเอพี ข้อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความนิยมและเสียงสนับสนุนอย่างมากในกลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งอาศัยร่างกฎหมายนี้ในการตอบสนองต่อประเด็นขัดแย้งทางสังคมต่า ง ๆ เช่น ทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์ ( critical race theory) หรือ ระเบียบข้อบังคับเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยในโรงเรียน และการฉีดวัคซีนของโรงเรียน 

ทั้งนี้ ทฤษฎีเชื้อชาติเชิงวิพากษ์ หรือ critical race theory มีพื้นฐานจากแนวคิดที่ว่าการเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบได้หล่อหลอสภาพสังคม กฎหมายและสารพัดนโยบายของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ด้วยกันอย่างลึกซึ้ง 

แม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวที่ได้รับการเสนอเข้าสภาคองเกรสครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จะยังได้รับความเห็นชอบ และมีแนวโน้มที่จะไม่ผ่านการรับรองจากสภาคองเกรสที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู๋ในขณะนี้ แต่บางรัฐที่พรรครีพับลิกันดูแลอยู่ก็มีแนวโน้มที่จะดึงเอามาตรการที่คล้ายคลึงกันมาใช้

โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วุฒิสภาของรัฐจอร์เจียได้จัดการอนุมัติมาตรการปกป้องสิทธิของผู้ปกครองให้มีส่วนในการด้านการศึกษาของภาครัฐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวระบุให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะตรวจสอบสื่อการเรียนการสอนทั้งหมดในชั้นเรียน ดูบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ถอดถอนเด็กออกจากวิชาเพศศึกษา และยังยั้งป้องกันการถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ และบันทึกเสียงของเด็ก ๆ ยกเว้นเพื่อวัตถุประสงค์ในด้านความปลอดภัย เป็นต้น โดยบางสิทธิที่กล่าวมานี้ มีการบังคับใช้อยู่ก่อนแล้ว 

ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจของ EducationWeek ในช่วงเดือนธันวาคม พบว่า บรรดาครูส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะได้พ่อแม่ผู้ปกครองมีสิทธิแสดงความคิดเห็นในหลักสูตรหรือวิชาและเนื้อหาที่สอนเด็กๆ โดยมีครูที่เข้าร่วมการสำรวจเพียง 33%  เท่านั้นที่ตอบว่า ปัจจุบันผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการเลือกหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอนในเขตพื้นที่การศึกษาของตนแล้ว

นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังแสดงให้เห็นว่าบรรดาพ่อแม่ผู้ครองและครูอาตมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อที่สอนภายในห้องเรียน ยกตัวอย่างเช่น การสำรวจพบว่าเพียง 51% เท่านั้น ที่เชื่อว่า ฝั่งพ่อแม่ต้องากรให้สอนนักเรียนเกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติ ขณะที่ในมุมมองของครู มากถึง 80% เห็นว่าควรสอนเรื่องเชื้อชาติและการเหยียดเชื้อชาติแก่นักเรียน

ขณะที่ในรัฐเวอร์จิเนีย เกล็น ยังคิน (Glenn Youngkin) สมาชิกพรรครีพับลิกันได้ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิของผู้ปกครอง และหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐของตน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งดังกล่าว จากจุดยืนที่เห็นว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องการศึกษาของบุตรหลานของเตน 

อย่างไรก็ตาม บรรดาครูและนักการศึกษาต่างออกมาแสดงความเห็นว่าร่างกฎหมายเพื่อความโปร่งใสที่ว่านี้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แต่อย่างใด เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตร งบประมาณ และการใช้จ่ายนั้นเป็นข้อมูลที่ต้องได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะชนอยู่แล้ว ขณะที่ฝ่ายที่คัดค้านการมีอยู่ของร่างกฎหมายดังกล่าวมองว่า กฎหมายฉบับนี้ หากมีการนำมาบังคับใช้จริง จะเป็นการทำให้ครูทำงานได้ยากมากขึ้น 

แจ็ค ชไนเดอร์ (Jack Schneider) และ เจนนิเฟอร์ เบิร์กเชียร์ (Jennifer Berkshire) ได้เขียนแสดงความเห็นผ่านคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์แย้งว่า พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีสทิธชอบธรรมทางกฎหมายในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียน โดยอ้างอิงเหตุผลที่คัดค้านด้วยการหยิบยกกฎหมายด้านการศึกษาของสหรัฐฯที่ระบุว่า แนวคิดด้านการศึกษาก็คือการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง แม้ว่ากระบวนการเตรียมความพร้อมนั้นจะสวนทางหรือขัดแย้งกับความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครองก็ตาม

ด้าน โรเบิร์ต เอสติส (Robert Estice) ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในรัฐโอไฮโอ หนึ่งในรัฐที่เสนอร่างกฎหมายเพื่อความโปร่งใส กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้ร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเป็นวิธีที่จะควบคุมสิ่งที่สอนในชั้นเรียนได้  

“ร่างกฎหมายนี้เป็นวิธีการที่ผู้ปกครองจะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในห้องเรียนเพื่อเลือกสิ่งที่ตนเองได้เห็นและชี้แนะในทิศทางที่แตกต่างกัน หรือช่วยยับยั้งครูจากการทำสิ่งต่างๆ ด้วย” เอสติส กล่าว 

ที่มา : US Parents Look to Have More Influence over School Curriculums