จริงไหมการเขียนคือวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยพัฒนาการอ่าน?
โดย : JILL ROSEN-JOHNS HOPKINS
แปลและเรียบเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา

จริงไหมการเขียนคือวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยพัฒนาการอ่าน?

งานศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์พบว่า การให้เด็กได้เขียนอักษรด้วยลายมือ ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยทีมนักวิจัยระบุว่า การเขียนด้วยมือมีส่วนช่วยให้เด็กจดจำคำศัพท์ วิธีการสะกดคำ การออกเสียง ความหมายของคำ และความเข้าใจในคำศัพท์และรูปประโยคมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเด็กจึงสามารถเรียนรู้ทักษะการอ่านได้รวดเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ว่าโลกดิจิทัลยุคใหม่จะทำให้การเขียนด้วยมือถูกลดทอนบทบาทลงไปเรื่อยๆ เพราะเด็กนักเรียนส่วนใหญ่หันมาใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีต่างๆ ในการเรียนกันมากขึ้น กระนั้นผลการศึกษาล่าสุดของทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ต่อให้การพิมพ์ผ่านคอมพิวเตอร์จะส่งผลดีต่อการแยกแยะและจดจำลักษณะตัวอักษร แต่การฝึกการเขียนด้วยมือยังคงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุด และใช้เวลาน้อยกว่าในการทำให้เด็กมีทักษะทางการอ่านที่ช่ำชอง

เบรนดา แรปป์ (Brenda Rapp) ศาสตราจารย์สาขาวิทยาศาสตร์การรู้คิด หรือ cognitive science แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการตอบโจทย์ความสงสัยของบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองและเหล่าครูอาจารย์ว่า ทำไมเด็กๆ จึงควรใช้เวลาในการฝึกเขียนลายมือ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองแค่ว่า การฝึกคัดลายมือทำให้เด็กมีลายมือที่สวยขึ้น ซึ่งไม่ค่อยมีความจำเป็นมากนักในยุคที่ไม่ค่อยมีใครเขียนกันแล้ว 

“จุดเริ่มต้นที่เป็นคำถามที่แท้จริงสำหรับงานศึกษาวิจัยในครั้งนี้คือ การเขียนด้วยมือยังมีประโยชน์อื่นใดหรือไม่ และการเขียนด้วยมือเป็นประโยชน์ต่อการอ่าน การสะกดคำ และความเข้าใจความหมายของคำหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่เราค้นพบบอกได้ว่า การเขียนลายมือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะการอ่าน” เบรนดา แรปป์ กล่าว 

ทั้งนี้ศาสตราจารย์แรปป์และผู้ร่วมดำเนินการศึกษา โรเบิร์ต ไวลีย์ (Robert Wiley) อดีตนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ และปัจจุบัน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา  อธิบายว่า ได้ดำเนินการศึกษา โดยเปิดผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 42 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เขียน กลุ่มที่พิมพ์ และกลุ่มที่ดูภาพวิดีโอ (writers, typers และ video watchers) และผู้เรียนทั้งหมดจะได้รับการสอนในวิชาภาษาอารบิก

ในการทดลอง ผู้เรียนทุกคนจะเรียนรู้ตัวอักษรทีละตัว โดยดูวิดีโอที่สาธิตการเขียน พร้อมกับได้ยินคำอ่านออกเสียงของตัวอักษรตัวดังกล่าว ซึ่งหลังจากได้รู้จักตัวอักษรแต่ละตัวแล้ว ผู้เรียนทั้ง 3 กลุ่มจะต้องทำการทดสอบสิ่งที่พวกตนเพิ่งได้เห็นและได้ยินในรูปแบบต่าง ๆ 

สำหรับกลุ่มวิดีโอ เมื่อมองเห็นตัวอักษรบนหน้าจอ ต้องตอบว่าเป็นตัวอักษรที่พวกตนเพิ่งเห็นหรือไม่ ขณะที่กลุ่มพิมพ์ดีดต้องไปหาตัวอักษรบนคีย์บอร์ด ส่วนผู้เขียนต้องคัดลอกตัวอักษรด้วยปากกาและกระดาษ

หลังจากปล่อยให้ผู้เรียนทั้งหมดได้เรียนไป 6 คาบเรียน ในตอนท้ายสุดของการศึกษาวิจัย ปรากฏว่า ผู้เรียนทุกคนในทุกกลุ่มสามารถจำตัวอักษร และทำผิดเล็กน้อยเมื่อทำแบบทดสอบ แต่อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มที่เขียนกลับพบว่ามีความเชี่ยวชาญที่มากกว่าและเร็วกว่าสองกลุ่มที่เหลือ 

ขั้นต่อไป นักวิจัยต้องการตรวจสอบว่า กลุ่มสามารถสรุปความรู้ใหม่นี้ได้ในระดับใด หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ แม้ผู้เรียนทั้งหมดสามารถจำตัวอักษรได้ แต่จะมีใครที่สามารถใช้งานอักษรเหล่านี้ได้จริงๆ โดยการเขียน หรือนำอักษรเหล่านี้มาผสมสะกดเป็นคำใหม่ และสามารถอ่านคำจากอักษรเหล่านี้ได้หรือไม่

งานวิจัยพบว่า กลุ่มที่เรียนด้วยการเขียนมีผลการเรียนที่ดีกว่า และแม่นยำถูกต้องมากกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ 

The writing group was better—decisively—in all of those things.
“บทเรียนหลักที่ได้จากงานวิจัยครั้งนี้คือ แม้ว่าผู้เรียนทุกคนจะจำตัวอักษรได้ดี แต่การฝึกเขียนนั้นเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับทุกวิธีการที่ใช้ และที่สำคัญ การเขียนยังใช้ระยะเวลาไม่นานในการทำให้ผู้เรียนสามารถจดจำตัวอักษรได้ดี ” ไวลีย์กล่าว

รายงานระบุว่า กลุ่มการเขียนเรียนจบพร้อมด้วยทักษะที่จำเป็นสำหรับการอ่านและการสะกดคำเทียบเท่าระดับผู้ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญ (expert adult-level) โดยไวลีย์และแรปป์อธิบายว่า เป็นเพราะการเขียนด้วยลายมือ เสริมบทเรียนด้วยภาพและการฟัง เป็นข้อได้เปรียบ เนื่องจากการเขียนทำให้เกิดประสบการณ์ตรงต่อกระบวนการการรับรู้ต่อตัวอักษรแบบเป็นหนึ่งเดียว (รูปร่าง เสียง และแผนการเคลื่อนไหว) ทำให้ผู้เรียนที่ยังใช้การเขียนลายมือไปด้วย สามารถจดจำความรู้ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถือเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริง

“ด้วยวิธีการเขียน คุณจะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นในความคิดของคุณ ซึ่งช่วยเสริมให้คุณทำงานประเภทอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเขียนได้มีประสิทธิภาพในทางใดทางหนึ่ง” ไวลีย์กล่าว 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้เข้าร่วมการศึกษาจะอยู่ในวัยผู้ใหญ่ แต่ไวลีย์และแรปป์ คาดหวังที่จะได้เห็นผลลัพธ์แบบเดียวกันในกลุ่มนักเรียน ขณะเดียวกัน ผลการวิจัยยังย้ำนัยสำคัญที่ว่า ในห้องเรียนที่ยังคงใช้ดินสอและสมุดบันทึกในการเรียน ควบคู่ไปกับแท็บเล็ตและแล็ปท็อปที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สามารถทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน ที่การสอนการเขียนด้วยการสะกดและจดตามแทบจะหายสาบสูญไปแล้ว

นอกจากนี้ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ที่พยายามเรียนภาษาด้วยตัวอักษรที่แตกต่างกัน ควรเสริมสิ่งที่พวกตนเรียนรู้ผ่านแอปหรือเทปควบคู่ไปกับการเรียนด้วยเอกสารแบบเดิมๆ ด้วย โดยไวลีย์ กล่าวว่า อย่างน้อยตนต้องแน่ใจว่าบรรดาเด็กๆ รุ่นใหม่ในแวดวงที่รู้จัก ยังคงมีเครื่องเขียนติดตัวไว้สำหรับการเรียน 

“ผมมีหลานสาว 3 คน และหลานชายอีก 1 คน ซึ่งตอนนี้ญาติพี่น้องมักถามว่า ควรซื้อดินสอสีและปากกาให้พวกเด็ก ๆ ไหม ผมตอบว่าควร รวมถึงปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เล่นกับตัวอักษร เริ่มเขียน และเขียนตลอดเวลา ผมยังซื้อสีมาให้เด็ก ๆ เป็นของขวัญสำหรับคริสต์มาส และชักชวนพวกเขาให้มาเขียนตัวอักษรกันเถอะ”

ที่มา : WRITING LETTERS BY HAND IS THE BEST WAY TO LEARN TO READ