กสศ. ระดมไอเดียสานฝันเด็กนอกระบบ ตั้งเป้า 3 ปี เติมความรู้สู่อาชีพ

กสศ. ระดมไอเดียสานฝันเด็กนอกระบบ ตั้งเป้า 3 ปี เติมความรู้สู่อาชีพ

14 กุมภาพันธ์ 2566 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัด ‘เวทีระดมความคิดเห็นเพื่อออกแบบแนวทางการส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะเยาวชนนอกระบบการศึกษา’ โดยดำเนินงานร่วมนักวิชาการและภาคีเครือข่าย ภายใต้โจทย์ ‘ภาพฝัน’ ของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาที่อยากเห็นภายใน 3 ปี พร้อมวิธีการจัดการ แนวทาง และข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรม 

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการบริหาร กสศ. และประธานอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ กล่าวสรุปภาพรวมการทำงานของ กสศ. ในระยะที่ผ่านมา ว่าได้มีความพยายามผลิตโมเดลที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาให้กับกลุ่มเด็กนอกระบบการศึกษา โดยเสนอแนวทางสำคัญคือ การจัดการศึกษาทางเลือกที่เชื่อมโยงกับชุมชน

ข้อเสนอจากนักวิชาการต่อการส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ โดยดร.สมชัย จิตสุชน ที่ปรึกษาอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ มองว่า ควรนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้เพื่อพัฒนาทักษะแห่งอนาคตให้กับเด็กนอกระบบ โดยยกตัวอย่าง ‘ChatGPT’ ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการสื่อสารและพัฒนาการเรียนรู้ของตัวเองได้ตามข้อมูลที่ถูกผู้ใช้งานป้อนให้ ซึ่งอาจนำมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการเรียนรู้ของเด็กนอกระบบได้

สอดคล้องกับข้อเสนอของ รองศาสตราจารย์ ดร.รัตติยา ภูละออ อาจารย์ประจำวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มุ่งผลักดันให้เกิดการอบรมทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อเพิ่มช่องทางให้เด็กเหล่านี้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้

ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา หัวหน้าภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอให้มีนโยบายสนับสนุนคนทำงานด้านการศึกษากับเด็กนอกระบบ ซึ่งเป็นบุคลากรที่สำคัญต่อวงจรการพัฒนาทักษะของเด็ก เช่น การยกระดับให้เป็นอาชีพที่ชัดเจน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะ (up-skill) ฟื้นฟูทักษะ (re-skill) หรือสนับสนุนค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่าย และสวัสดิการให้กับคนทำงานจิตอาสา 

รองศาสตราจารย์ ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง อนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ กล่าวเสริมแนวทางการทำงานกับกลุ่มเยาวชนนอกระบบการศึกษาว่า คนทำงานด้านการศึกษาจะต้องมีทักษะหลากหลาย มีจิตใจที่พร้อม ยืดหยุ่น อดทน และรับฟัง อีกทั้งต้องมีมุมมองการตั้งคำถามต่อการออกแบบนโยบายและปัญหาของเด็กที่ซับซ้อน ที่สำคัญระบบการทำงานที่เอื้อต่อคนทำงานต้องไม่ใช่โครงสร้างแนวดิ่ง 

หลังเวทีสรุปภาพรวม ผู้เข้าร่วมจากเครือข่ายการทำงานกับเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาได้นำเสนอสิ่งที่อยากให้เยาวชนกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จภายใน 3 ปี โดยเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้องไม่มีเด็กคนใดต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา และอยากให้สังคมยอมรับและสลายเส้นแบ่งอคติลง 

ทั้งนี้ แนวทางการช่วยเหลือเด็กนอกระบบในระยะยาว ระบบการศึกษาควรต้องปรับปรุงให้สอดรับกับความต้องการของผู้เรียน ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อสลายเส้นแบ่งของคำว่า ‘ในระบบ-นอกระบบ’ ให้หมดไป