“ที่นี่ไม่ได้มีโอกาสหรือทางเลือกอะไรมาก เด็กผู้ชายที่หลุดจากระบบการศึกษาออกมา เขาจะจับกลุ่มกันแว้น แต่งรถ มีเรื่องยาเสพติดบ้าง ส่วนเด็กผู้หญิงบางคนพอถึงวัยเริ่มมีแฟน ใจเขาก็จะค่อย ๆ ห่างออกมาจากการเรียน สักพักก็เลิกไปเรียนถาวร” อนุวัฒน์ จงจันทร์ทรา ประธานชมรมเยาวชนลำปางหลวง เริ่มต้นเล่าเรื่องจากความจริงในชุมชน
“น้อง ๆ เหล่านี้เราไม่ต้องค้นหา ไม่ต้องตามตัว เพราะเขาก็อยู่ร่วมในสังคมกับเราทุกวัน แต่ถามว่าไปชวนแล้วเขาจะกลับมาเรียนอีกไหม คงยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่ทำให้หลุดออกมาตั้งแต่แรกคือความรู้สึกที่ว่า พวกเขาไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน”
คำกล่าวนี้เกิดขึ้นในพิธีมอบวุฒิการศึกษาแก่นักเรียนรุ่นแรก 6 คน ที่เรียนผ่าน ‘โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School’ ณ เทศบาลตำบลลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการทำงานของ ‘ชมรมเยาวชนลำปางหลวง’ ที่สอดประสานกับนโยบาย Thailand Zero Dropout และแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น มีทางเลือก ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กเยาวชนในพื้นที่
“การหลุดจากระบบการศึกษาของน้อง ๆ เราต้องโยงไปที่สภาพโครงสร้างชุมชนด้วย อย่างที่บอกว่าสิ่งที่หาได้ยากในพื้นที่คือโอกาส ดังนั้นคนส่วนหนึ่งเมื่อเริ่มสร้างครอบครัว ก็เลือกจะออกไปทำงานที่อื่นที่มีความหวังทางเศรษฐกิจมากกว่า หรือบางคู่อยู่กันไม่นานก็หย่าร้างแยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่
“แล้วสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ ก็คือเด็ก ๆ ซึ่งกลายเป็นภาระของปู่ย่าตายาย ทีนี้เมื่อพื้นฐานครอบครัวเป็นอย่างนี้ ความเสี่ยงที่เด็ก ๆ จะหลุดจากระบบการศึกษามันก็สูงตามมา”
คุณอนุวัฒน์เล่าว่า เขาและกลุ่ม ‘ผู้ใหญ่ใจดี’ ที่ร่วมกันก่อตั้งชมรม ไม่ใช่คนที่มีภาระหน้าที่ใด ๆ เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือกับเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา หากเหตุผลหลักที่ทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำ ก็เพราะตระหนักว่า “พวกเขาอยู่ร่วมสังคมกับเราในทุก ๆ วัน”
“พวกเราที่รวมตัวกัน แต่ละคนทำธุรกิจส่วนตัวและอาศัยอยู่ที่นี่ เริ่มจากเราไปออกกำลังกาย เห็นเด็ก ๆ เตะฟุตบอล ก็คิดกันแค่ว่าอยากให้มันจริงจังขึ้น เลยเข้าไปสนับสนุนเด็กให้ไปแข่ง ไปแสดงศักยภาพ อยากผลักดันให้มันมีโอกาส มีทางเลือก มีเวทีแสดงความสามารถ ชมรมเยาวชนลำปางหลวงจึงเกิดขึ้น
“ก็ทำกันมาจนปัจจุบันมีเด็กในชมรมร้อยกว่าคน กิจกรรมนอกจากฟุตบอลก็มีกีฬาอื่น ๆ เช่นวอลเลย์บอล มีเต้นโคฟเวอร์แดนซ์ (Cover Dance) หรือเต้นบาสโลบ (Paslop) คือนอกจากหนุนกิจกรรมที่มีอยู่ หากิจกรรมใหม่ ๆ มาให้เด็กลองทำ เราจะพยายามส่งเสริมกิจกรรมที่เด็กสนใจแต่ยังไม่มีพื้นที่แสดงออก ไม่ว่าจะคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม”
เมื่อตั้งเป็น ‘ชมรม’ สิ่งที่ตามมาคือสมาชิกจะได้มาพบเจอกันบ่อย ๆ …เวลาผ่านไปไม่นาน กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีแห่งลำปางหลวงจึงค่อย ๆ เก็บข้อมูลได้ว่า มีเด็กราว 20% ในชมรมที่หลุดออกมาจากระบบการศึกษา ค้างคาอยู่ที่วุฒิ ป.6 หรือ ม.3 มาหลายปี และถ้าไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วย น้อง ๆ เหล่านี้จะเติบโตขึ้นด้วยทางเลือกในชีวิตอันจำกัด …ช่วงนั้นเองเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นโยบาย Thailand Zero Dropout กำลังผลักเคลื่อนงานไปทั่วประเทศ
“พอทำชมรมเรารู้เลยว่าความใกล้ชิดสำคัญมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนจบไม่จบ แต่การดูแลกันแบบพี่น้องทำให้เด็ก ๆ มีอะไรก็กล้าบอกกล้าเล่า แล้วกิจกรรมที่ทำด้วยกันเราต้องซ้อมเกือบทุกวัน เจอหน้ากันตลอด เราเลยคุยกับเด็กง่าย ตอนนั้นคือพอรู้ใครเสี่ยงหลุดหรือใครหลุดออกมา เราจะพยายามช่วยกันหาทางช่วยทันที”
อย่างที่คุณอนุวัฒน์บอกว่า เกือบร้อยทั้งร้อยของคนที่หลุดจากระบบการศึกษา ไม่ว่าสาเหตุส่วนตัวคืออะไร จุดร่วมอย่างหนึ่งที่ทุกคนเหมือนกันคือ เด็ก ๆ เขาไม่พบที่ทางของตัวเองตรงนั้น ฉะนั้นการจะส่งกลับไปอยู่ในโรงเรียนจึงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา “คำถามคือแล้วจะจัดการเรียนรู้ยังไงให้เด็กเรียนได้ มีวุฒิได้ ซึ่งถ้ามองไปที่ สกร. สำหรับเด็กที่หลุดมาสักพักแล้วเขามองว่าไกลตัว กังวลจะปรับตัวไม่ได้ แล้วเป็นช่วงเดียวกับที่มี Thailand Zero Dropout เข้ามา พร้อมการศึกษาทางเลือกในรูปแบบต่าง ๆ” คุณอนุวัฒน์เล่า
“แต่ตอนแรกที่ฟังกัน ยังคิดว่าเป็นไปได้หรือที่จะเอาเด็กมาเรียนสามเดือนห้าเดือนจบ จนเราได้ไปศึกษาการทำงานของศูนย์การเรียน CYF จังหวัดนครพนม ที่เป็นต้นแบบจัดการเรียนรู้ผ่านโรงเรียนมือถือ Mobile School ก็เห็นว่ามีหลายเคสที่ยาก เด็กติดศูนย์ ร มส ค้างอยู่เป็นยี่สิบตัว แต่พอมาเรียนก็จบการศึกษาได้ จากนั้นเราจึงกลับมาลองจัดการศึกษากับน้อง ๆ ที่ค้างเรื่องวุฒิการศึกษาที่ชมรมรุ่นแรก 6 คน”
“โรงเรียนเคลื่อนที่ Mobile School”
ทำให้พบรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละคน
คุณอนุวัฒน์เล่าว่า ความยืดหยุ่นของ Mobile School ทำให้เด็ก ๆ ปรับตัวง่าย รู้สึกมีอิสระ ไม่กดดัน ภายในเวลาเพียง 4 เดือน เด็กในชมรมเยาวชนลำปางหลวงรุ่นแรก 6 คน จบมัธยมต้น 5 คน และมัธยมปลาย 1 คน
“เราเริ่มจากน้อง ๆ ที่มีหน่วยกิตค้างไม่มาก อยากมีต้นแบบให้คนอื่นเห็นว่า เอาคะแนนเดิมมาเทียบโอนได้ ไม่ต้องเรียนใหม่หมด ถ้ารุ่นแรกจบ มันจะสร้างแรงกระเพื่อม และก็เป็นจริง เพราะวันนี้เรามอบวุฒิให้รุ่นแรก เปิดรับรุ่นสอง ก็มีเด็กนอกชมรมมาสมัครหลายคน”
ประธานชมรมเยาวชนลำปางหลวงเจาะจงถึงจุดเด่นของรูปแบบการเรียนรู้ผ่าน Mobile School ว่าคือการดึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผู้เรียน โดยมีครูเป็นผู้ช่วยสังเคราะห์ เรียบเรียง สะท้อนผล เพื่อเทียบโอนทักษะและคุณลักษณะเฉพาะจากงานหรือกิจกรรมของผู้เรียน เพื่อนำมาแปลงเป็นหน่วยกิตสะสมให้ไปถึงวุฒิการศึกษา
“ใจความสำคัญของ Mobile School คือทำให้เราพบ ‘รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม’ สำหรับเด็กรายคน เปรียบให้เห็นภาพด้วยเคสของเด็กผู้หญิงที่หลุดจากโรงเรียนช่วง ม.ต้น เพราะมีแฟน ที่ถึงจะมีกรณีคล้ายกันอยู่บ้าง แต่การเข้าไปดูแลเคสหนึ่ง ๆ เราไม่อาจใช้วิธีเหมารวมเป็นกลุ่มได้”
คุณอนุวัฒน์ยกตัวอย่างด้วยกรณีน้องเอ (นามสมมติ) ที่เริ่มย้ายไปอยู่กับแฟนตอนอยู่ชั้น ม.2 จากนั้นก็ไม่ไปเรียนอีก จนผ่านมา 3-4 ปี ได้กลับมาเจอกันตอนน้องอายุ 17 วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นตื่นกลางคืนนอนกลางวัน
“เด็กที่ออกจากระบบโรงเรียนมานาน เขาจะมีระยะกับการปฏิสัมพันธ์ ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ การพยายามเข้าหาเขา เราจะไม่ใช้วิธีทำลายกำแพงนั้น แต่จะค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ ๆ เริ่มจากชวนมาทำกิจกรรม แล้วคอยติดตาม หาจังหวะกระตุ้นให้กำลังใจ …และการดูแลเป็นรายกรณี เราจะต้องหาเป้าหมายในใจเขาให้เจอ
“กรณีน้องเอ ใช้เวลาอยู่นาน คุยกันจนรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออยากมีรายได้จากงานที่ทำมากขึ้น ซึ่งมันก็เข้าทางที่เราจะแนะนำว่าถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษา แล้วจึงร่างเส้นทางเรียนรู้ให้เขาเห็นว่า มันมีการศึกษาทางเลือกมากมายที่เขาจะเรียนพร้อมกับทำงานไปด้วยได้จนถึงระดับมหาวิทยาลัย”
คุณอนุวัฒน์บอกว่า เมื่อเอเห็นว่ามีเส้นทางที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย ความแข็งขืนในทีแรกก็อ่อนลง และตัดสินใจกลับมาเรียนผ่าน Mobile School จนได้รับวุฒิมัธยมต้น ก่อนที่หลังจากนี้จะวางแผนเรียนชั้นมัธยมปลายผ่านศูนย์การเรียนต่อเนื่องทันที
“เด็กที่ไปทำงานแล้ว โลกการทำงานมันจะสอนเขาว่าถ้าอยากก้าวหน้า วุฒิคือบันไดช่วยให้ก้าวขึ้นไปได้ แล้วในสังคมทำงานก็จะยิ่งทำให้เห็นด้วยว่า โอกาสบางอย่างถ้ามาถึงแล้วไม่คว้าไว้ วันหนึ่งที่อายุเยอะขึ้นเขาจะไม่เจอจังหวะแบบนั้นอีกแล้ว
“ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องบังคับอะไรเลย แค่ทำงานกับเวลา คอยเอาใจใส่ แล้วค่อย ๆ ทำให้เขาเชื่อว่าเราคือพื้นที่ปลอดภัย และให้เขาเขยิบเข้ามาหาเราบ้าง เข้ามาทำอะไรก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ เพราะเราไม่มีกฎเกณฑ์และไม่มีรูปแบบเฉพาะ แต่มีกิจกรรมรองรับทุกความสนใจ
“แล้วการได้ใช้เวลาร่วมกันบ่อย ๆ จะค่อย ๆ เลือนกำแพงความสัมพันธ์ที่เคยมีจนหายไปเอง สำคัญคือต้องมีจิตวิทยาที่ดี มีระยะที่เหมาะสม เพราะเราไม่ใช่ครูกับศิษย์ แต่เป็นพี่กับน้อง ฉะนั้นวิธีมันจะไม่เหมือนในโรงเรียน ที่นี่เราแค่ชวนมาลองทำกิจกรรม มาอยู่ด้วยกันคุยกันสบาย ๆ ไม่มีเป้าหมาย เส้นชัย หรือการตัดสิน เราแค่เรียนรู้ไปด้วยกัน”
พื้นที่แห่งนี้คือ “วัคซีนทางสังคม” สำหรับวัยเปราะบาง
คุณอนุวัฒน์เปรียบชมรมเยาวชนลำปางหลวงในวันนี้ว่าเป็นเหมือน ‘พื้นที่รับวัคซีนทางสังคม’ สำหรับช่วงวัยที่เปราะบางที่สุดของเด็ก ๆ ที่บางครั้งในช่วงเวลาหนึ่งของการเติบโต “เด็กบางคนมองไม่เห็นเลยว่าจะมีใครที่พร้อมโอบรับเขาไว้”
“จังหวะชีวิตที่เปราะบางและพร้อมจะก้าวไปทางไหนก็ได้นี้ จึงต้องมีภูมิคุ้มกันให้เขายอมรับตัวเอง ยอมรับคนอื่น กล้าคิด กล้าฝัน กล้าเผชิญหน้ากับสังคม พร้อมปรับตัวกับวัยที่กำลังเปลี่ยนแปลง …เพราะอย่างน้อยที่สุดการที่เด็กคนหนึ่งยอมเปิดใจเข้ามาอยู่กับเรา ยอมพูดคุยกับเราแล้ว มันคือข้อพิสูจน์หนึ่งว่าเราแง้มใจเขาสำเร็จแล้ว”
กสศ. ขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทั้ง 6 คนที่ได้รับวุฒิการศึกษา และขอขอบคุณ เทศบาลตำบลลำปางหลวง, ชมรมเยาวชนลำปางหลวง ภาคเอกชนในพื้นที่ และผู้ใหญ่ใจดีทุกท่าน ที่ร่วมสร้างพื้นที่ปลอดภัย สร้างโอกาสทางการศึกษา และทำให้เด็ก ๆ กลับมากล้าฝัน และมีเส้นทางเรียนรู้ของตัวเองอีกครั้ง