ในชีวิตของ ‘คุณแม่วัยทำงาน’ การหาสมดุลระหว่างการดูแลลูกกับการทำงานหารายได้คือโจทย์ที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน และสำหรับคุณแม่ของเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ สมดุลนั้นยิ่งเปราะบางและท้าทายกว่าเดิม เพราะหนึ่งวันแทบไม่มีเส้นแบ่งระหว่างบทบาทของแม่ คนทำงาน และผู้ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
กสศ. พบว่าแม่ ๆ จำนวนไม่น้อยต้องแทรกเวลาทำงานลงไปในช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างการดูแลลูก เพื่อประคองรายได้และชีวิตครอบครัวให้เดินต่อไปได้พร้อมกัน ภาระที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเวลา หากคือพลังชีวิตที่ต้องใช้มากกว่าปกติเป็นสองหรือสามเท่า
จากความเหนื่อยล้าที่เคยต้องรับมือเพียงลำพัง ค่อย ๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมพลังในชุมชน เมื่อแม่ ๆ ได้พบกัน แบ่งปันประสบการณ์ และร่วมกันมองหาทางออกบนฐานชีวิตจริง เรื่องเล่าต่อไปนี้ถูกรวบรวมจากกิจกรรม “เปิดพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กพิเศษและครอบครัวเปราะบางของศูนย์การเรียนปัญญ์ฟาร์มสุข บนฐานอาชีพที่เชื่อมโยงกับนิเวศท้องถิ่น” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ทุนส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กสศ. และ SINO ภายใต้แนวคิด SINO: Connect to Community
แนวคิดดังกล่าวได้ปรากฏเป็นรูปธรรมที่ ‘ศูนย์การเรียนปัญญ์ฟาร์มสุข’ พื้นที่เรียนรู้แบบยืดหยุ่นที่เติบโตจากชุมชน ณ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเชื่อมการดูแลเด็ก การทำงานของผู้ปกครอง และการเรียนรู้ของครอบครัว เข้าไว้ด้วยกันอย่างเข้าใจความแตกต่างของแต่ละชีวิต
ครอบครัวแม่เล็กกับน้องดา

ในวันที่น้องดามีเรียน แม่เล็กจะลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้ามืด นำข้าวหมากราวสองร้อยกระปุกออกไปตระเวนฝากขายตามร้านค้าในละแวกบ้าน ก่อนจะกลับมาเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำขายในวันถัดไป จากนั้นจึงปลุกน้องดา อาบน้ำ แต่งตัว และออกจากบ้านไปพร้อมกัน จุดหมายคือศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัดสมุทรสาคร
หลังส่งน้องดาถึงมือคุณครู แม่เล็กจะหามุมเงียบ ๆ นั่งถักพรมเช็ดเท้าจากเศษผ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้ของครอบครัว ทำงานไปจนถึงเที่ยงวัน เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนก็พาน้องดากลับบ้าน แล้วลงมือทำข้าวหมากต่อในช่วงบ่าย พอตกค่ำหลังมื้อเย็น แม่เล็กจะกลับมานั่งถักพรมอีกครั้งยาวไปจนดึกดื่น กว่าจะได้เข้านอนก็ล่วงเข้าสู่วันใหม่แทบทุกวัน
“ปริมาณชิ้นงานแต่ละวันจะขึ้นอยู่ที่น้องดา ว่าเขาเข้านอนตอนไหน วันไหนหัวค่ำน้องไม่ยอมนอน เราก็ทำงานไม่ได้ คือลูกเห็นเรางานยุ่งก็อยากช่วย เราเข้าใจ แต่กลายเป็นว่างานยิ่งช้า แล้วเราไม่ได้อยากให้น้องอยู่ใกล้ ๆ เวลาทำงาน เพราะเขาเป็นภูมิแพ้ ซึ่งเศษผ้ามันมีละอองฝุ่น ก็จะใช้วิธีชวนเขาเล่นอย่างอื่น พยายามใช้เวลาด้วยกัน คิดว่างานช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เรายอมนอนดึกเอาได้” แม่เล็กเล่าถึงชีวิตประจำวัน
แม่เล็กบอกว่าการเรียนรู้ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษช่วยให้น้องดามีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยเงื่อนไขที่เด็ก ๆ ต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วยตลอด เพื่อช่วยคุณครูดูแลเรื่องการเคลื่อนไหว การเข้าห้องน้ำ และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกมาก ทำให้เธอไม่สามารถพาน้องดาไปเรียนได้ทุกวัน เพราะยังต้องแบ่งเวลาออกมาหารายได้เลี้ยงครอบครัว
“เราคิดว่าตัวเองยังโชคดีที่พอมีช่องว่างให้ทำงาน แต่กับคุณแม่บางคนเขาละจากงานไม่ได้ ก็นึกเสียดายแทนโอกาสที่จะได้กระตุ้นพัฒนาการของลูกในช่วงเวลาสำคัญ เลยคิดว่าถ้าการทำงานกับที่เรียนของลูกเป็นที่เดียวกันได้ ก็น่าจะช่วยให้หลายครอบครัวใช้ชีวิตง่ายขึ้นกว่านี้” แม่ดาเสนอความเห็น
ครอบครัวแม่เฟิร์นกับน้องพี

แม่เฟิร์นทำงานขายของอยู่ที่บ้าน พร้อมกับดูแลน้องพีแทบตลอด 24 ชั่วโมง กระทั่งเมื่อน้องพีอายุครบสามขวบและได้เข้าเรียนในโรงเรียนเรียนร่วม ช่วงกลางวันจึงกลายเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เธอพอมีโอกาสจัดสรรให้กับงานและเรื่องอื่น ๆ ได้บ้าง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความกังวลกลับค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ปีการศึกษานี้น้องพีอยู่ชั้นอนุบาลสาม และในปีหน้าเมื่อต้องขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แม่เฟิร์นเริ่มไม่แน่ใจว่าน้องพีจะสามารถเรียนร่วมต่อไปได้หรือไม่ เพราะเด็กในช่วงวัยนั้นควรเริ่มดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง ขณะที่น้องพียังคงต้องการการดูแลเป็นพิเศษอย่างใกล้ชิด
“ใจเราอยากให้น้องเรียนที่บ้าน ถ้ามีหลักสูตร มีวิธี หรือมีครูที่เข้ามาหาน้องเป็นบางวันได้ก็คงดี” แม่เฟิร์นเล่าความในใจ “แต่เรื่องหาเงินก็ต้องคิด ยิ่งเวลาน้อย รายได้เราก็น้อยตาม กลายเป็นห่วงไปหมด ทั้งเรื่องดูแลครอบครัวและการดูแลน้องพีให้ดีที่สุด”
แม่เฟิร์นบอกว่าการได้ไปโรงเรียนช่วยให้น้องพีนิ่งขึ้น เห็นพัฒนาการด้านการสื่อสารอย่างชัดเจน และเริ่มปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกว่าช่วงเวลาการเรียนรู้ของน้องพีมีคุณค่าอย่างยิ่ง และคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากปล่อยให้โอกาสสำคัญในช่วงวัยนี้ต้องสูญเสียไป
ครอบครัวแม่โอ๋กับน้องอิ่มบุญ

ความกังวลหลากหลายที่คุณแม่ของเด็กกลุ่มต้องการการดูแลเป็นพิเศษต้องเผชิญในแต่ละวัน คือประสบการณ์เดียวกันกับที่ แม่โอ๋ พิมพ์ใจ พันวินิต เผชิญจากการดูแลน้องอิ่มบุญ ลูกสาวที่ต้องการการดูแลพิเศษเช่นกัน แต่แทนที่จะมองความท้าทายเหล่านั้นเป็นอุปสรรค แม่โอ๋กลับใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มผู้ปกครอง เพื่อแบ่งปัน แบ่งเบา และร่วมกันค้นหาหนทางในการรักษาสมดุลระหว่างการดูแลลูกกับการทำงานไปพร้อมกัน ในหมู่ “แม่ ๆ ที่มีหัวอกเดียวกัน”
“หลายครั้งที่เราคุยกับครอบครัวอื่นตอนพาลูกไปกระตุ้นพัฒนาการ ก็พบว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนอยู่ในภาวะเดียวกัน คือหาสมดุลไม่เจอระหว่างการทำงานหารายได้กับการดูแลลูก” แม่โอ๋เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการรวมตัว
“เราจึงตั้งใจรวมกลุ่มผู้ปกครองเพื่อแลกเปลี่ยนและให้คำปรึกษากัน ใช้ชื่อว่า ‘ชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาจังหวัดสมุทรสาคร’ ก่อนจะได้มาพบกับ กสศ. ที่กำลังทำงานด้านการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับกลุ่มคนที่มีข้อจำกัดคล้ายกัน และได้เริ่มต้นโครงการในช่วงที่โควิด-19 ส่งผลกระทบไปถึงแทบทุกครัวเรือน”
‘โครงการพัฒนาอาชีพสำหรับผู้ปกครองของเด็กที่ต้องการการดูแลพิเศษ’ ภายใต้การสนับสนุนของทุนส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กสศ. เริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น
แม่โอ๋ใช้พื้นที่ในบ้านดัดแปลงเป็นแปลงปลูกผักและเพาะเห็ด เพื่อเป็นทั้งอาหารสำหรับครอบครัวและรายได้เสริมจากการขายในชุมชน เป้าหมายในระยะแรกคือการยืนหยัดผ่านวิกฤตโควิดไปให้ได้ ก่อนที่ในเวลาต่อมา เมื่อสมาชิกในกลุ่มได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์มากขึ้น เป้าหมายของชมรมจะค่อย ๆ ขยายออกไปไกลกว่าเดิม
“จากปีแรกถึงปีที่สาม เราได้เรียนรู้ว่าการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ ต้องทำควบคู่กับการปรับกรอบความคิด หรือ Mindset เพื่อจุดประกายให้ทุกคนมองหาโอกาส และออกแบบชีวิตกับการทำงานให้สอดคล้องกันมากที่สุด” แม่โอ๋อธิบาย
“ในกิจกรรมของกลุ่ม คุณพ่อคุณแม่จะพาลูก ๆ มาด้วยทุกครั้ง ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกันหน้างานว่าแต่ละคนจะประกอบอาชีพอย่างไร โดยให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของเด็ก ๆ ด้วย และเมื่อรวมกลุ่มกันมาอย่างต่อเนื่อง พวกเราจึงเริ่มมองไปถึงการสร้างพื้นที่เรียนรู้ ที่ผู้ปกครองและเด็ก ๆ จะได้พัฒนาและเติบโตไปพร้อมกัน”

งอกงามเป็น ‘ศูนย์การเรียนปัญญ์ฟาร์มสุข’
หลังค้นพบว่า ‘เด็กแต่ละคนใช้เวลาเขียน ก ไก่ หนึ่งตัวไม่เท่ากัน’
แม่โอ๋เล่าว่า เมื่อพูดถึงการศึกษา ผู้ปกครองแทบทุกคนต่างมีความหวังเดียวกัน คืออยากให้ลูกได้เรียนอยู่ในระบบ ด้วยความเชื่อว่าเด็ก ๆ ไม่ควรถูกกีดกันหรือถูกจำกัดโอกาสทางการศึกษา แต่เมื่อหลายครอบครัวพาลูกไปเรียนในโรงเรียนทั่วไป กลับพบความจริงอีกด้านหนึ่ง เมื่อไม่มีครูการศึกษาพิเศษโดยเฉพาะ ความแตกต่างของเด็กแต่ละคนยิ่งปรากฏชัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งต้องการมากกว่าเพียงเนื้อหาการเรียนรู้ หากยังต้องมี “ตัวช่วย” และ “เวลา” ที่มากกว่าในแทบทุกรายละเอียดของชีวิตประจำวัน
“เพราะเด็กแต่ละคนมองเห็นต่างกัน และมีวิธีทำความเข้าใจไม่เหมือนกัน อาจเปรียบได้ว่าการเรียนรู้ที่จะเขียนพยัญชนะ ก ไก่ หนึ่งตัวเขาใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนเห็นแล้วเขียนตามได้เลย ส่วนบางคนต้องการเวลามากกว่า อยากได้ตัวช่วยมากกว่า การจัดการเรียนรู้จึงทำเหมือนกันทั้งหมดไม่ได้” แม่โอ๋อธิบาย
ความเข้าใจนี้เอง กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อความร่วมมือกับ กสศ. พาแม่โอ๋และกลุ่มผู้ปกครองไปค้นพบแนวทางการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น แนวคิดที่กำลังเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นโรงเรียน และเป็นแรงบันดาลใจให้การทำงานของกลุ่มขยับจากการพัฒนาอาชีพ สู่การก่อร่างเป็น ‘ศูนย์การเรียนปัญญ์ฟาร์มสุข’

ในบทบาทผู้อำนวยการศูนย์การเรียนปัญญ์ฟาร์มสุข แม่โอ๋เล่าถึงการค้นพบ “การเรียนรู้ทางเลือก” ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ด้วยการศึกษาที่ไม่ยึดติดกับกรอบรูปแบบ เวลา หลักสูตร หรือสถานที่ หากออกแบบขึ้นจากชีวิตจริงของเด็กและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
“ถ้ารูปแบบการศึกษามีความหลากหลายมากขึ้น เราเองก็จะมีทางเลือกที่เหมาะกับลูกมากขึ้นด้วย” แม่โอ๋กล่าว
“พอปรับมาเป็นศูนย์การเรียนรู้ เราจึงมุ่งสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ที่ช่วยพัฒนาทักษะอาชีพ ที่ให้ความรู้ผู้ปกครองเรื่องการดูแลน้อง ๆ ที่ต้องการการดูแลพิเศษ ทั้งเรื่องการเรียนรู้ กระตุ้นพัฒนาการ ปรับพฤติกรรม หรือการสร้างสัมพันธภาพต่าง ๆ ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง”
ที่นี่ เด็ก ๆ ไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียน แต่ถูกออกแบบให้มีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานและการประกอบอาชีพของครอบครัวไปพร้อมกัน สำหรับตัวเด็ก หลักสูตรที่วางไว้คือแผนการศึกษาที่ค้นหาความถนัด ความสามารถ และข้อจำกัดของแต่ละคน ก่อนจะออกแบบการเรียนรู้เฉพาะบุคคลในรูปแบบบ้านเรียน (Home School) ใครถนัดอะไร ศูนย์จะส่งเสริมตรงนั้น และใครทำสิ่งใดได้ ก็จะพัฒนาศักยภาพนั้นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เป้าหมายคือให้เด็ก ๆ ได้รับวุฒิการศึกษา พร้อมประสานความร่วมมือกับเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้เด็กสามารถเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นตามศักยภาพ ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ปกครองก็นำประสบการณ์จากชมรมพัฒนาอาชีพ มาต่อยอดการทำงานร่วมกัน ทั้งในภาคเกษตรกรรม ค้าขาย และงานรับจ้าง ภายใต้แบรนด์ ‘ปัญญาปลูกฟาร์มสุข’ เพื่อร่วมกันผลิต แปรรูป หาพื้นที่จำหน่าย ออกบูธ และจัดกิจกรรมต่าง ๆ
การรวมกลุ่มเช่นนี้ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถแบ่งหน้าที่ จัดสรรเวลาให้เหมาะกับชีวิตของตนเองมากขึ้น และมีรายได้ที่สม่ำเสมอขึ้น ในขณะที่เด็ก ๆ ก็ได้เติบโต เรียนรู้ และพัฒนาไปพร้อมกับครอบครัวและชุมชนรอบตัว
ครอบครัวแม่โบกับน้องอินทรี

แม่โบเล่าว่าครอบครัวของเธอเข้าร่วมกิจกรรมกับแม่โอ๋ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการรวมกลุ่มผู้ปกครอง สิ่งที่ค่อย ๆ ตกผลึกจากประสบการณ์ร่วมกัน คือเมื่อผู้ปกครองได้รวมพลังเป็นกลุ่มเดียวกัน พวกเขาจะสามารถค้นหางานที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการดูแลลูกไปพร้อมกันได้ และยังต่อยอดไปสู่การพัฒนาเป็นศูนย์การเรียน ที่ผู้ปกครองทุกคนมีบทบาทร่วมกันในการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์
“มันเหมือนกับการช่วยกันสร้างโรงเรียนให้ลูก” แม่โบกล่าว
“เราค่อย ๆ มองหาแนวทางที่เหมาะกับเด็กแต่ละคน เราอยากให้สิ่งที่เราทำตรงนี้เป็นเคสตัวอย่าง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นได้เห็นว่า เมื่อทุกคนช่วยกัน เราก็สามารถสร้างโอกาสให้ลูก ๆ ได้จริง”
แม่โบย้ำด้วยความเชื่อมั่นว่า การเรียนรู้ที่ออกแบบเฉพาะเด็กเป็นรายบุคคล คือการศึกษาที่เข้าใจความแตกต่างของผู้เรียนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ต้องการการเรียนรู้พิเศษ ซึ่งควรได้รับโอกาสพัฒนาทักษะไปตามศักยภาพของตนเอง ในจังหวะเวลาที่สอดคล้องกับช่วงพัฒนาการ และสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
เธอเชื่อว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เพียงช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตอย่างเหมาะสม แต่ยังมอบความหวังและกำลังใจให้กับหลายครอบครัว ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกคนจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันค้นพบและพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้ สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ให้มีมาตรฐานและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

จากชีวิตจริงของแม่ ๆ ที่เคยต้องรับมือกับความเหนื่อยล้าเพียงลำพัง สู่การรวมพลังของชุมชนที่ค่อย ๆ ก่อร่างเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน โครงการ SINO: Connect to Community ทำให้เห็นว่า เมื่อการศึกษาเริ่มต้นจากความเข้าใจชีวิตจริงของเด็กและครอบครัว การเรียนรู้ก็สามารถออกแบบให้ยืดหยุ่นและมีความหมายได้
ศูนย์การเรียนปัญญ์ฟาร์มสุข จึงไม่ใช่เพียงสถานที่เรียน แต่คือผลลัพธ์ของความร่วมมือ การแบ่งปัน และความเชื่อร่วมกันว่า เด็กทุกคนสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพของตนเอง หากมีพื้นที่ที่เข้าใจความแตกต่างอย่างแท้จริง ที่นี่ แม่ ๆ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ดูแลลูก แต่เป็นผู้ร่วมสร้าง “โรงเรียนชีวิต” ที่เชื่อมการทำงาน การเรียนรู้ และการดูแลกันและกันเข้าไว้ด้วยกัน และกำลังเติบโตเป็นต้นแบบของการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ต้นแบบที่เติบโตขึ้นจากชุมชน และเติบโตไปพร้อมกับความหวังของหลายครอบครัว