-การศึกษายืดหยุ่นภายใต้โมเดล “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” ทำหน้าที่เป็นสะพานรองรับเด็กที่มีข้อจำกัดด้านชีวิต ให้สามารถเดินหน้าการเรียนได้ต่อเนื่อง ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบหลากหลาย ทั้งออนไลน์ การเทียบโอนประสบการณ์ และการปรับจังหวะเรียนตามบริบทจริงของผู้เรียน ส่งผลให้เด็กไม่หลุดจากระบบ และยังสามารถได้รับวุฒิการศึกษาเพื่อนำไปต่อยอดสู่การศึกษาและอาชีพในอนาคต
-เรื่องราวของ “ภู” เด็กหนุ่มจากโพธาราม ราชบุรี สะท้อนพลังของโอกาสทางการศึกษาอย่างเด่นชัด จากชีวิตที่ก้าวพลาดและต้องอยู่ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขากลับมาพร้อมความเปลี่ยนแปลง มีเป้าหมายชัดเจน มุ่งเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และตั้งใจไม่ย้อนกลับไปสู่ทางเดิม ด้วยการสนับสนุนจากครู ผู้พิพากษา และระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นรองรับ
-ครูและชุมชนเชื่อมั่นว่าโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
โรงเรียนมองเด็กผ่านคุณค่าความเป็นมนุษย์ ไม่ตัดสินอดีต มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่ประคองให้เขากลับมายืนในสังคมได้อย่างสง่างาม
เด็กหนุ่มนั่งลงบนม้าหินอ่อนใหม่เอี่ยมของโรงเรียน ผมตัดสั้นไล่ระดับเป็นทรงสวยเหมือนเพิ่งออกจากร้านตัดผมเมื่อชั่วโมงที่แล้ว เขานั่งลงเพื่อจะเล่าเรื่องราวในอดีตของเขา โดยมีฉากหลังเป็นต้นสนเรียงแนวริมสนามหญ้าของโรงเรียนช่องพรานวิทยา
หากมองจากภายนอก เขาก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่มักจะยิ้มเขิน มีแววตาใส และยังตื่นเต้นกับโลกใบนี้ แต่ทันทีที่เริ่มพูดคุย เรื่องราวจากคำบอกเล่าของเจ้าตัวทำให้เรารู้ว่าเขาผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสมามากกว่าที่ตาเห็น เขาเกือบหลุดออกจากระบบการศึกษาหลายครั้ง เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และเคยถูกศาลตัดสินให้เข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน
ชีวิตของเขาเหมือนคนที่ใช้มือข้างเดียวเกาะรถไฟเหาะ ทั้งเปราะบาง น่าหวาดเสียว และอาจร่วงหล่นได้ตลอดเวลา แต่เขาก็ผ่านมันมาได้จนถึงวันที่เข้มแข็งพอจะเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง
เรื่องราวต่อไปนี้เกี่ยวพันกับหลายคน มีเรื่องเล่าจากหลายมุมมอง พลิกผันจากปากเหวสู่ผืนดินราบเรียบ และเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นว่านโยบายเชิงโครงสร้างส่งผลต่อชีวิตคนหนึ่งคนได้เพียงใด

จุดหักเหและน้ำตาที่ใต้ถุนศาล
ภู (นามสมมติ) เด็กหนุ่มผู้ใช้ชีวิตที่โพธาราม จังหวัดราชบุรี เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มองเห็นทิวเขามากกว่าตึกสูง เติบโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นช่างรับจ้างและแม่ทำงานในโรงงาน ภูเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชายหนึ่งคนที่เห็นเขาเป็นต้นแบบในหลายเรื่อง วันที่เกิดเรื่องภูอายุราว 16 ปี เป็นนักเรียนชั้น ม.3 ของโรงเรียนช่องพรานวิทยาที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้านเขาไม่ถึงสิบกิโลเมตร
ย้อนไปวันนั้น หากชีวิตดำเนินไปปกติ วันรุ่งขึ้นภูควรจะตื่นขึ้นมาบนฟูกในบ้าน แต่เหตุการณ์วันนั้นทำให้เขาต้องตื่นขึ้นมาในห้องขังที่โรงพัก เพราะเขาโดนควบคุมตัวที่ด่านตรวจด้วยข้อหาเรื่องยาเสพติด
“ตอนแรกเขาให้ผมนอนโรงพักหนึ่งคืนแล้วค่อยไปขึ้นศาล ศาลก็ให้ประกันตัว รอลงอาญาไม่กี่เดือน เขาก็ให้ผมกลับมาเรียน แต่ผมไม่ไปโรงเรียน จนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ผมก็ถูกตัดสินให้เข้าไปอยู่ข้างใน” ภูเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต เขาระบุ ‘วันที่’ ที่ถูกตัดสินออกมาแม่นยำ ราวกับจะบอกว่าเป็นวันที่เขาไม่มีทางลืม
“พอศาลตัดสินเสร็จ เขาก็ให้ผมไปรอเจ้าหน้าที่ที่ห้องขังใต้ถุนศาล ตอนนั้นผมร้องไห้อย่างเดียวเลยครับ พยายามหลอกตัวเองว่ามันไม่จริง มันไม่ใช่ ผมทั้งเสียใจและผิดหวังกับตัวเอง เพราะเขาก็ให้โอกาสเราแล้ว แต่เราไม่คว้าโอกาสนั้นไว้” ภูเล่าผ่านน้ำเสียงและแววตาที่มั่นคงขึ้นมากแล้ว แม้เรื่องราวที่กำลังเล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดในชีวิต

ภูถูกศาลพิพากษาให้ไปอยู่ที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนราชบุรีเป็นเวลาหนึ่งปี เพราะทำผิดเงื่อนไขคุมประพฤติของศาล ภูเล่าว่าในตอนที่ถูกจับเข้าโรงพักครั้งแรก เมื่อได้รับการปล่อยตัว ภูก็ยังคงกลับไปหายาเสพติด ขลุกอยู่กับเพื่อนกลุ่มที่ใช้ยา และแทบไม่ไปโรงเรียน จนกระทั่งศาลตัดสินให้เขาเข้าศูนย์ฝึกฯ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นกับตัวภู เขาใช้คำว่า ‘คิดได้’ ในการอธิบายตัวเองหลังจากถูกตัดสินโทษ
“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมองเรื่องอนาคตเลย คิดแต่จะเสพยาอย่างเดียว แต่พอเข้าไปข้างในศูนย์ฝึกฯ ก็คิดได้เลยครับ ผมตั้งใจจะกลับมาเรียนหนังสือ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายของผมแล้ว”
คำว่า ‘โอกาส’ เป็นคำที่ภูพูดบ่อยครั้งตลอดการเล่าเรื่อง เพราะเขาพลาดโอกาสหลายครั้งในการพาตัวเองกลับมาในร่องในรอย ย้อนกลับไปช่วงที่ภูเรียนอยู่ชั้น ม.1-2 ก่อนจะย้ายมาที่โรงเรียนช่องพรานวิทยา เขาเรียนในโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนกว่าพันคน ภูเล่าว่าเขาได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 1.0 จนต้องเรียนซ้ำชั้น และเมื่อซ้ำชั้นไปแล้วเขาก็ยังได้เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 1.0 เช่นเดิม โรงเรียนจึงให้เขาออกจากโรงเรียน
ช่วงเวลานั้นภูไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียนเพราะต้องเรียนออนไลน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 “ช่วงเรียนออนไลน์ ผมไม่ได้เข้าเรียนเลยและไม่มีเวลาทำการบ้านส่ง เพราะไปทำงานเก็บทุเรียนที่ต่างจังหวัดกับน้า ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มเกเร ชอบไปขลุกกับเพื่อนรุ่นพี่ น้าเลยไปเอาอยู่ด้วย” ภูเล่าถึงเหตุผลที่ผลการเรียนเขาไม่ผ่านเกณฑ์
เมื่อต้องออกจากโรงเรียนเดิม ครอบครัวของภูจึงตัดสินใจพาเขามาสมัครเรียนที่โรงเรียนช่องพรานวิทยา โรงเรียนใกล้บ้านที่มีนักเรียนอยู่ราว 640 คน นั่นเป็นครั้งแรกที่ภูเฉียดใกล้การหลุดออกจากระบบการศึกษา แต่โรงเรียนช่องพรานวิทยาเป็นตาข่ายที่รองรับไม่ให้เขาร่วงหล่น ผู้บริหารและครูที่โรงเรียนช่องพรานฯ ตัดสินใจตรงกันว่าจะรับเด็กคนนี้เข้าเรียนกลางคัน แม้จะเห็นว่ามีประเด็นเรื่องพฤติกรรมย่างเข้าสู่วัยรุ่นที่ต้องคอยดูแลติดตามอยู่
เมื่อโรงเรียนช่องพรานวิทยาเปิดรับ ภูก็กลับไปทำเรื่องแก้ศูนย์ แก้ ร. ที่โรงเรียนเก่าจนจบ ม.2 และเข้าสู่ระดับชั้น ม.3 ที่โรงเรียนช่องพรานวิทยา
อรญา จงตั้งสัจกุล ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการโรงเรียนช่องพรานวิทยา ผู้ที่ได้เจอภูตั้งแต่ตอนที่สมัครเรียน เล่าถึงบุคลิกของภูว่าเป็นคนนิ่งและสุภาพตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ “บุคลิกเขานิ่ง เวลาพูดมีความสุภาพ ไม่ได้มีพฤติกรรมเกเร ไม่ได้มีความก้าวร้าว เป็นคนเงียบๆ เรียบร้อย ตอนเราคุยกับเขาก่อนจะรับเข้าเรียน เราก็บอกว่าถ้าอยากมาเริ่มต้นใหม่ ถ้าตั้งใจมาเรียน ภูก็จะเรียนได้ เขาก็ตอบรับ เราคุยแล้วสัมผัสได้ว่าเด็กไม่ได้แข็งกระด้างเสียจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรายังเชื่อว่าเขาจะปรับได้” ครูอรญาเล่า แต่ ณ ตอนนั้นภูยังเอาตัวเองออกจากกลุ่มเพื่อนที่ใช้ยาเสพติดไม่ได้ เขามาโรงเรียนแค่ช่วงแรกๆ แล้วก็หายไป

ครูอรญาพูดถึงพื้นฐานตัวตนของภูว่าอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่รัก เพียงแต่อาจตามใจลูกมากเกินไป ไม่จำกัดเวลาในการออกจากบ้านและไม่สร้างเงื่อนไขในการเลี้ยงดู ทำให้ภูหลุดเข้าไปสู่วงโคจรยาเสพติดตามเพื่อนที่เขาคบ
“เขาเป็นคนจิตใจอ่อน หมายความว่าถ้าเพื่อนเข้ามาตีสนิท เพื่อนก็จะกลายเป็นที่หนึ่ง เพื่อนบอกให้ทำอะไรก็ทำ ลักษณะของเขาถ้าอยู่กับคนดีคนเก่ง เขาจะไปได้ไกล แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไปอยู่กับคนในทางตรงกันข้าม เขาก็ไปไกลเหมือนกัน แต่เป็นในอีกทาง” ครูอรญาอธิบายถึงลักษณะของภู แล้วเล่าย้อนถึงช่วงที่เขาหายไปจากโรงเรียนให้ฟังว่า “เขาหายไปจากโรงเรียนประมาณสองเดือนเศษ คือเราเห็นเขาข้างนอกโรงเรียน เราก็จะเรียกถามเขา ‘ทำไมไม่มาโรงเรียนล่ะลูก’ เขาก็จะตอบว่า ‘ครับๆ’ แค่นั้น แล้วเขาก็หายไป เราโทรตามพ่อแม่ก็ยังไม่ทำให้เขากลับมาโรงเรียนได้ จนมารู้อีกทีคือได้รับการประสานงานจากศาลว่าตอนนี้น้องกำลังถูกดำเนินคดี อาจจำเป็นต้องถูกตัดสิน เนื่องจากว่ามีการให้โอกาสแล้วแต่ยังกระทำซ้ำ ซึ่งทางผู้พิพากษาก็เป็นห่วงเรื่องการศึกษาของเด็ก” ครูอรญาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถูกตัดสินคดีให้เข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกฯ

“เราแจ้งศาลไปว่าถ้าเด็กถูกตัดสินต้องโทษ ทางโรงเรียนเราก็ยินดีที่จะจัดการศึกษาให้นักเรียนอย่างต่อเนื่อง โดยโรงเรียนก็ต้องมาปรับรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อดูแลเขาอีกที” ครูอรญาอธิบาย ประเด็นเรื่องการเรียนของภูกลายเป็นเรื่องสำคัญที่ ‘ผู้ใหญ่’ รอบตัว ตั้งแต่ศาล โรงเรียน ผู้ปกครอง และศูนย์ฝึกฯ ต้องร่วมกันช่วยว่าจะทำอย่างไรให้ภูได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องแม้จะต้องเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกฯ
“เราพูดคุยกันในฝ่ายบริหารโรงเรียน หาแนวทางว่าจะทำอย่างไรกับระบบการเรียนของเขา เพราะเขาไม่สามารถใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องจัดการศึกษารูปแบบเฉพาะให้เขา เราจัดรายวิชาตามวิชาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ส่วนทางศูนย์ฝึกฯ ก็มีการฝึกทักษะอาชีพ ฝึกกิจกรรมลูกเสือ พอคุยกันจึงนำไปสู่การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ สิ่งที่โรงเรียนส่งเข้าไปในศูนย์ฝึกฯ คือกระบวนการรายวิชาพื้นฐาน ส่วนศูนย์ฝึกฯ ดูแลกระบวนการรายวิชาเพิ่มเติม ก็ถือว่าเป็นการทำงานร่วมกัน” ครูอรญาอธิบายวิธีออกแบบการเรียนการสอนสำหรับภู
ภารกิจทั้งหมดนี้เป็นการร่วมมือกันของคนหลายฝ่าย และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการศึกษายืดหยุ่น โรงเรียนช่องพรานวิทยานำการศึกษาแบบ ‘1 โรงเรียน 3 รูปแบบ’ มาใช้ ที่มีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนและเกณฑ์วัดผลตามลักษณะของผู้เรียนที่มีความจำเป็นหลากหลาย เป็นการจัดการศึกษาที่ผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ซึ่งครูอรญาบอกว่าส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นจากแนวนโยบายของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯ ที่สนับสนุนเป็นทางการ ทำให้โรงเรียนกล้าดำเนินการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นเพื่อทำให้โอกาสของเด็กยืดยาวออกไป
มีคำกล่าวของทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ที่ว่า “ทันทีที่ประตูโรงเรียนปิดใส่เด็ก ประตูคุกก็จะเปิดต้อนรับเขา” แต่เรื่องของภูเป็นไปในทางตรงกันข้าม ทันทีที่ประตูศูนย์ฝึกฯ เปิด ประตูโรงเรียนก็ไม่ได้ปิดไล่หลังตามไป หากแต่ยังเปิดกว้างและพยายามเชื่อมให้ภูยังอยู่ในระบบการศึกษาของโรงเรียนได้
แม้ภูเสี่ยงจะร่วงหล่นออกจากระบบการศึกษาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ตาข่ายที่ยืดหยุ่นนี้ก็รองรับเขาไว้ได้อีกครั้ง
โลกหลังรั้วลวดหนามและไม้บรรทัดพลาสติก
ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนราชบุรีตั้งอยู่ในพื้นที่ราว 140 ไร่ ที่อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ห่างไกลออกมาจากตัวเมืองจนมองเห็นทิวเขาและต้นไม้เขียวขจี พื้นที่ที่ดูเงียบสงบและกว้างขวางนี้รองรับเด็กและเยาวชนอยู่ราว 80 คน
ในช่วงกลางวัน ศูนย์ฝึกฯ เงียบสงบ มีเยาวชนในศูนย์บางส่วนออกมาช่วยกวาดใบไม้หน้าอาคารสำนักงาน วันนี้ภูไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่เขาเคยมองภูเขาและท้องฟ้าจากข้างหลังรั้วนี้มาก่อน ศูนย์ฝึกฯ ตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนช่องพรานวิทยาราว 30 กิโลเมตร ย้อนกลับไปเมื่อราวหนึ่งปีที่แล้ว สำหรับภูนี่คือการก้าวเข้าสู่โลกใหม่ที่เขาไม่รู้จัก เขากังวลว่าจะเจออะไรข้างในนี้บ้าง แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวโดยมีเป้าหมายเรื่องการเรียนหนังสือเป็นสำคัญ

เมื่อตกลงว่าจะเรียนคู่ขนานไปกับเพื่อนชั้น ม.3 ที่โรงเรียน ทางโรงเรียนก็ต้องเตรียมรูปแบบการสอนที่เหมาะกับภูโดยเฉพาะ มีการออกแบบใบงานให้มีคำตอบที่สามารถหาได้ในหนังสือเรียน และยังมีการจัดหาอุปกรณ์การเรียนที่ผ่านมาตรฐานให้เอาไปใช้ข้างในได้ เช่น ปากกาหัวไม่แหลม ไม้บรรทัดพลาสติก เป็นต้น
พ่อของภูต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปเอาใบงานที่โรงเรียนมาส่งที่ศูนย์ฝึกฯ และทางศูนย์ฝึกฯ ก็ต้องเอาใบงานที่ภูทำเสร็จส่งกลับไปที่โรงเรียนช่องพรานวิทยา ทั้งหมดนี้จะเกิดไม่ได้เลยถ้าระบบและคนไม่เอื้อให้เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่อยากจะเรียนหนังสือของภู
“ตอนอยู่ข้างในศูนย์ฝึกฯ ผมคิดจะเรียนอย่างเดียวเลยครับ จะเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ตัวเองทำได้ เรื่องยาไม่เอาแล้วครับ” ภูเล่าด้วยเสียงหนักแน่น
ในช่วงแรกที่เข้าไปข้างใน ภูยังคิดถึงยาเสพติดอยู่บ้าง มีอาการอยากยา ทรมานจนนอนไม่หลับ ภูอธิบายว่า “หนาวๆ ร้อนๆ ปวดกระดูกข้างใน” ช่วงที่ยากที่สุดคือการกักตัวในช่วงแรก มองไปทางไหนมีแต่ลวดหนามล้อมรอบ แม้ศูนย์ฝึกฯ ที่ราชบุรีจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มองเห็นทิวเขาได้สวยงาม แต่ด้วยเหตุผลของการเข้ามาอยู่ที่นี่ คงไม่อาจนับเป็นสถานที่รื่นรมย์ใจได้
ภูต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเหมือนทุกคน ทำเวรหอ กินข้าว รวมยอด ฟังข่าวสารและการพูดสร้างแรงบันดาลใจในกิจกรรมหน้าเสาธง และพูดคุยกับครูที่ปรึกษาซึ่งเป็นครูที่ภูพึ่งพาบ่อยที่สุด เมื่อเสร็จสิ้นจึงค่อยแยกย้ายตามหน่วยการเรียนที่ศูนย์ฝึกฯ จัดการเรียนการสอนให้ (มีการเรียนการสอนจากกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร. หรือ กศน.เดิม) และการฝึกอบรมของศูนย์) แบ่งวันตามสายวิชาชีพและสายสามัญ แล้วแต่ว่าใครเรียนสายไหน ภูเองก็ต้องเรียนหนังสือในชั้นเรียนมัธยมของ สกร. กับเพื่อน และต้องรับผิดชอบใบงานจากโรงเรียนช่องพรานวิทยาไปด้วย

แม้แต่คนที่รักการเรียนหนังสืออย่างถึงที่สุดก็รู้ดีว่าการบังคับตัวเองให้สนใจการเรียนและทำการบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ภูทำสิ่งนั้นได้ด้วยใจที่อดทนมุ่งมั่นและการช่วยเหลือของคนในศูนย์ฝึกฯ
“ผมเดินไปหาครูที่อยู่ข้างในไปทั่วเลยครับ ให้เขาช่วยสอน อันไหนที่เขาสอนได้ เขาก็จะสอนเรา อันไหนที่ผมทำได้ ผมก็จะทำเอง แล้วผมก็มีครูอ้อมที่คอยประสานทางโรงเรียน คอยไปรับไปส่งการบ้านให้ อันไหนที่ผมทำไม่ได้ ครูอ้อมก็จะช่วยสอนครับ” ภูเล่าช่วงชีวิตการเรียนที่อยู่ข้างในศูนย์ฝึกฯ ให้ฟัง
‘ครูอ้อม’ ที่เขาพูดถึงคือปิยพร พองคำ นักสังคมสงเคราะห์ที่ประจำอยู่ศูนย์ฝึกฯ คนที่คอยดูแลเด็กในช่วงระยะแรกรับตัว 30 วัน เพื่อทำกิจกรรมบำบัดพื้นฐานและฝึกทักษะการใช้ชีวิต และหลังจาก 30 วันแรก ครูปิยพรก็ยังเข้ามามีส่วนในการดูแลเด็กๆ ในการวางแผนอนาคตหลังจากได้รับการปล่อยตัว“ตอนมาที่ศูนย์แรกๆ ภูก็เป็นเด็กทั่วไป ไม่ได้มีการแสดงอิทธิพล เป็นเด็กมีมารยาท อาจจะด้วยเขามาจากโรงเรียนในระบบด้วย และถ้าใบงานไหนที่เขาทำไม่ได้ เขาก็เดินมาหาแล้วบอกว่า ‘อันนี้ผมทำไม่ได้ ครูช่วยดูหน่อยได้ไหม’ เข้ามาขอความช่วยเหลือตลอด” ครูปิยพร นักสังคมสงเคราะห์ เล่าถึงภู และย้ำว่าหลักการทำงานกับเด็กในศูนย์ฝึกฯ สำคัญที่ความเชื่อมั่น

“ในฐานะนักสังคมสงเคราะห์ เราเชื่อว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แต่การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ต้องมาจากความเชื่อก่อน ดังนั้นเราเองก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเขา” ครูปิยพรกล่าว พร้อมให้ข้อมูลว่าคนในศูนย์ฝึกฯ ล้วนช่วยกันโอบประคองให้ภูเรียนหนังสือได้
นอกจากการทำใบงานและศึกษาจากแบบเรียนแล้ว การเรียนรู้ผ่านคลิปวิดีโอที่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็สำคัญ ทำให้หลายครั้งต้องขอความช่วยเหลือจากครูพ่อบ้านที่มีคอมพิวเตอร์ ให้ช่วยเปิดคลิปเพื่อให้ภูได้เรียน มีการชี้แจงนักวิชาชีพทุกคนในศูนย์ว่าภูกำลังอยู่ในช่วงเรียนและต้องทำใบงาน ดังนั้นหากภูเข้าไปขอความช่วยเหลือก็อยากให้ทุกคนสนับสนุน ผลที่เกิดขึ้นคือทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพื่อพยุงให้เด็กหนุ่มคนนี้เรียนหนังสือทันเพื่อนในโรงเรียน ในขณะที่เพื่อนและรุ่นพี่ในศูนย์ฝึกฯ ก็ช่วยสอนและให้กำลังใจภูเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้
คนที่อยู่ข้างนอกอย่างครอบครัวและครูที่โรงเรียนช่องพรานวิทยาก็ยังเข้าเยี่ยมภูตลอด เพื่อให้เขารู้ว่ายังมีคนที่รอคอยและให้กำลังใจเขาอยู่ มีครั้งหนึ่งที่ครูอรญา ครูที่รับภูเข้าโรงเรียนช่องพรานวิทยาไปเยี่ยมในศูนย์ฝึกฯ ครูอรญาเล่าว่า “เราตบหลังเขาเบาๆ แล้วสัมผัสได้ว่าเขาได้บทเรียนและอยากกลับมาได้รับโอกาส เราเลยบอกกับเขาว่า ‘ครูรออยู่ข้างนอกนะ’ เขาก็ตอบว่า ‘ครับ’”
ด้วยแรงสนับสนุนทั้งหมดนี้ ภูก็ตั้งใจเรียนหนังสือจนจบ ม.3 ในที่สุด วันที่เขาต้องถ่ายรูปติดบัตรเพื่อออกใบรับรองวุฒิ พ่อของเขาต้องขับมอเตอร์ไซค์เอาเสื้อนักเรียนมาให้จากบ้าน แล้ววานให้ครูอ้อมช่วยถ่ายรูปและส่งไฟล์รูปให้ครูที่โรงเรียนช่องพรานวิทยา จนดำเนินการออกวุฒิสำเร็จในที่สุด ก่อนที่ทางโรงเรียนจะให้พ่อของภูมาสมัครเรียนชั้น ม.4 ต่อเนื่อง เมื่อภูแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าเขาอยากเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนช่องพรานวิทยา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในศูนย์ฝึกฯ
“การศึกษายืดหยุ่นเป็นรูปแบบการศึกษาที่ดีมากๆ เพราะช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้เด็กที่บ้านยากจนหรือมีเหตุจำเป็น เช่น ไม่มีเวลาไปนั่งเรียนหนังสือ ต้องทำงาน ต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัว ถ้าตอนกลางวันเขาไปทำงาน ตอนเย็นเขาอาจจะกลับมาทำใบงานส่งครู ตรงนี้ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการทำงานให้เด็กในอนาคตได้” ครูปิยพรพูดถึงการศึกษายืดหยุ่น นโยบายที่ช่วยให้เด็กจำนวนมากยังอยู่ในระบบการศึกษาต่อได้ แม้มีเหตุจำเป็นในชีวิตที่ไม่เอื้อต่อการเรียน
เมื่อโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบหนึ่งรอบ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ฤดูหนาวของไทยสิ้นสุด ก็เป็นช่วงเวลาที่ฤดูกาลใหม่ในชีวิตของภูเริ่มขึ้น เขาได้รับการปล่อยตัวออกจากศูนย์ฝึกฯ วันก่อนจะออกไป เขาเดินไปหาครูทุกคนในศูนย์แล้วบอกว่า “ครู ผมจะไปแล้วนะ” ครูทุกคนอวยพรให้เขาตั้งใจเรียนและดูแลตัวเองไม่ให้กลับไปใช้ยาอีก เขาตอบรับอย่างมั่นใจ
ครูปิยพร นักสังคมสงเคราะห์ในศูนย์ฝึกฯ ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวภูตลอดช่วงหนึ่งปีที่อยู่ข้างใน เล่าถึงภูว่า “เขาเปลี่ยนแปลงไปเยอะในเรื่องความคิด มีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นว่าอยากเรียนอะไรต่อ หลังเรียนจบจะทำอะไร เขาบอกว่าอยากเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา อยากเป็นโค้ชหรือเทรนเนอร์ เขาบอกว่าผมจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมแล้วนะ ออกไปผมจะตั้งใจเรียน เขาหนักแน่นกับตัวเองประมาณหนึ่ง”

เวลาผ่านไปหลายเดือนหลังจากได้รับการปล่อยตัว ตอนนี้ภูเรียนชั้น ม.5 ที่โรงเรียนช่องพรานวิทยาในฐานะนักเรียนรูปแบบห้องเรียนปกติ ครูปิยพรเปิดแชทที่ภูเพิ่งส่งมาหาเมื่อวันก่อน ภูส่งใบเกรดมาให้ดู ในนั้นระบุตัวเลขเกรดเฉลี่ย 3.6 ครูปิยพรตอบกลับภูไปด้วยความยินดีและตื่นเต้นว่า “ดีใจด้วยมากๆ เลย” ภูตอบกลับมาว่า
“ผมตั้งใจสุดๆ เลยครับ”
นี่คือข้อความจากเด็กที่หลุดพ้นจากยาเสพติด และเกือบจะหลุดออกจากระบบการศึกษาถึงสองครั้ง – เป็นเครื่องยืนยันว่าการให้โอกาสสำคัญกับชีวิตคนหนึ่งคนมากเพียงใด
ใจยืดหยุ่นและการศึกษายืดหยุ่น
โรงเรียนช่องพรานวิทยาตั้งอยู่ไม่ไกลกับถ้ำค้างคาว วัดเขาช่องพราน หากไปยืนที่สนามฟุตบอลของโรงเรียนจะมองเห็นภูเขาสีเขียวครึ้มที่มีเจดีย์สีทองตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นทิวทัศน์ราคาร้อยล้านที่เด็กโรงเรียนช่องพรานวิทยาเห็นได้ทุกวัน
“ช่วงเย็นๆ จะมีค้างคาวบินออกมาเต็มฟ้าเลยครับ” ภูเล่าให้ฟังระหว่างการพูดคุยบนม้าหินอ่อนข้างอาคารเรียน ฟ้าครามและริ้วเมฆขาวพาดผ่านเหนือศีรษะ ตอนบ่ายค้างคาวยังไม่ออกจากถ้ำ เสียงนักเรียนกลุ่มหนึ่งดังเจี๊ยวจ๊าวบนห้อง แม้วันนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม แต่ยังมีนักเรียนบางส่วนเข้ามาทำกิจกรรมในโรงเรียน ภูเองก็เข้ามาช่วยทาสีซ่อมบำรุงห้องพักครูด้วย

นับตั้งแต่ภูออกจากศูนย์ฝึกฯ เขาก็กลับเข้าสู่ระบบการเรียนในห้องเรียนปกติและช่วยกิจกรรมโรงเรียนหลายอย่าง สำหรับคนที่กระทำผิด การถูกตัดสินครั้งแรกจากศาลนั้นเจ็บปวด แต่หลายคนเชื่อว่าการถูกตัดสินครั้งที่สองจากสังคมหลังพ้นโทษนั้นเจ็บปวดกว่า โชคดีที่ภูไม่ต้องเผชิญการตัดสินแบบนั้นจากเพื่อนในโรงเรียน
“ผมว่าไม่ยากนะ” ภูตอบเมื่อได้ยินคำถามว่าการกลับมาสู่โรงเรียนอีกครั้งนั้นยากไหม “เพื่อนในโรงเรียนให้การยอมรับดีครับ ไม่มีใครพูดหรือสนใจเรื่องอดีตของผมเลย ก็อยู่เป็นเพื่อนกันปกติ” ภูเล่าต่อ
ครูอรญา ครูโรงเรียนช่องพรานวิทยาที่ช่วยภูในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากศูนย์ฝึกฯ สู่ชีวิตโรงเรียน เล่าว่านอกจากภูจะไม่ถูกต่อต้านจากเพื่อนแล้ว ภูยังกลายเป็นคนดึงเพื่อนให้กลับมาเรียนเสียด้วยซ้ำ
“ภูโตขึ้นมาก มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ทุกวันนี้เวลาเขาอยู่ในกลุ่มเพื่อน ถ้าเพื่อนมีพฤติกรรมแบบวัยรุ่น โวยวายหรือไม่ทำงานที่ครูบอก ภูจะเป็นคนบอกว่าอาจารย์บอกให้ทำก็ทำสิ หรือเตือนเพื่อนๆ ว่า ‘เฮ้ย เรียนเร็ว’ กลายเป็นว่าภูกลับมาเพื่อเป็นคนดึงเพื่อนให้เรียน” ครูอรญาขยายความ
“เด็กที่นี่ดีมาก ให้กำลังใจกันและกัน ตอนที่เขาต้องคดี เพื่อนๆ ก็จะเป็นห่วง มาถามครูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ที่นี่เราให้คุณค่าเรื่องความเป็นมนุษย์ ให้คุณค่าเรื่องความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน อาจเป็นเพราะสังคมพวกเราไม่ได้สวยหรู ไม่ได้มีพร้อมในเรื่องทรัพย์สิน เป็นสังคมของการพึ่งพากันและกันอย่างแท้จริง ดังนั้นเรื่องสังคมในโรงเรียนเราไม่ได้กังวลเลย แต่เรากังวลสังคมภายนอกมากกว่าว่าจะมองเด็กเราที่เคยก้าวพลาดแบบไหน” ครูอรญาพูดถึงสังคมในโรงเรียนช่องพรานวิทยา
ในมุมของภู เขาเองก็รู้ว่าคนรอบข้างช่วยประคองเขาแค่ไหน เขาบอกว่า “คุณครูอรญาช่วยผมเยอะครับ ช่วยเรื่องเรียน คอยถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง มีคนต่อว่าหรือเปล่า” เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไร ภูยิ้มแล้วตอบด้วยแววตาสดชื่นว่า “อบอุ่นครับ”
นอกจากครูและนักสังคมสงเคราะห์ หนึ่งในคนสำคัญคือครอบครัว ภูบอกว่าคนที่ทำให้เขาก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้คือครอบครัว “ครอบครัวไม่เคยทิ้งผม มาเยี่ยมผมตลอด ผมเลยคิดว่าเราจะทำให้ดีที่สุด ออกมาแล้วผมจะเป็นคนใหม่ครับ” ตอนนี้พ่อแม่ของภูกลับมาเข้มงวดและใส่ใจดูแลมากขึ้น เพราะไม่อยากให้ภูกลับไปเป็นคนเดิม ไม่ค่อยให้ออกไปไหนคนเดียวเหมือนแต่ก่อน ซึ่งภูยอมรับและไม่มีปัญหากับเรื่องนี้
ตอนนี้ภูเล่นฟุตบอลและฟุตซอลในตำแหน่งแบ็กขวา ทีมที่ชื่นชอบคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป เรียนรู้ที่จะผิดพลาด เรียนรู้ที่จะรัก และเรียนรู้ที่จะฝัน
“ผมอยากเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จบไปอยากทำงานเป็นเทรนเนอร์ หรือพวกเทคนิคทางการกีฬา เป็นโค้ชครับ” ภูพูดจบแล้วยิ้ม “ถึงผมทำผิดพลาดไปแล้ว แต่เขายังให้โอกาส ผมว่าดีมากครับ แล้วผมก็สามารถทำโอกาสนั้นให้คนอื่นเห็นได้”
โรงเรียนช่องพรานวิทยาได้รับการอนุญาตจากเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำเนินการสอน 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ในปีการศึกษา 2567 ซึ่งเป็นปีที่ภูถูกตัดสินคดีพอดิบพอดี ไม่ใช่แค่ภูที่ได้รับประโยชน์จากการศึกษายืดหยุ่นเท่านั้น แต่ในจำนวนเด็กราว 640 คนของโรงเรียนช่องพรานวิทยา มีเด็กประมาณ 50 คนที่อยู่ในห้องเรียนสร้างโอกาสภายใต้การเรียนการสอน 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ
ห้องเรียนสร้างโอกาสของโรงเรียนช่องพรานวิทยาจะเปิดทุกวันศุกร์ ให้เวลาทั้งวันเพื่อให้เด็กในระบบนี้เข้ามารับและส่งใบงานการบ้าน โดยอาจไม่ได้เข้ามาเรียนทุกคาบเหมือนนักเรียนในห้องเรียนปกติ
ดร.ปิยะ ลิ้มฉาย ผู้อำนวยการโรงเรียนช่องพรานวิทยา เล่าถึงภาพรวมให้ฟังว่าในจำนวน 50 คนนี้ มีภาวะจำเป็นที่แตกต่างหลากหลายที่ทำให้ไม่สามารถมาเรียนครบตามเวลาได้
“สาเหตุมาจากหลายอย่าง หนึ่ง ภาวะทางเศรษฐกิจของครอบครัว บางคนไม่มีเงินค่าเดินทางมาเรียน บางคนบ้านอยู่ไกล 20-30 กิโลเมตร ไม่สามารถเดินทางมาเรียนได้ ตรงส่วนนี้เราก็ต้องไปหาเด็กที่บ้านด้วย เราทำโครงการ ‘เอาการศึกษาไปหาน้อง’ และโครงการ ‘พาน้องกลับมาเรียน’
“สอง เรื่องยาเสพติด นักเรียนบางกลุ่มอาศัยอยู่ในพื้นที่สีแดง เขาก็เป็นกลุ่มเสี่ยง เขาอยู่ในวัยอยากรู้อยากลอง พอผู้ใหญ่ชวนก็มีโอกาสทำให้นักเรียนเสียเรื่องการเรียนไปด้วย
“สาม ความจำเป็นด้านสุขภาพ เช่น เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล ตั้งครรภ์ ภาวะบกพร่องบางอย่าง เราสามารถจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นในช่วงที่เขาต้องหายไปจากโรงเรียนได้“สี่ เด็กทำงานหารายได้ระหว่างเรียน ทำให้ไม่สามารถมาเรียนได้ ส่วนใหญ่รับจ้างทำงานด้านเกษตรหรือไปทำงานเสิร์ฟอาหาร เด็กต้องทำงานส่งตัวเองเรียน ซึ่งกรณีแบบนี้เรายินดีสนับสนุนให้นักเรียนจบที่โรงเรียนเรา มีวุฒิการศึกษา สามารถเรียนต่อได้ในอนาคต” ดร.ปิยะอธิบาย

“การศึกษายืดหยุ่นเป็นเรื่องสำคัญ เป็นโอกาสทางการศึกษาไทยที่เด็กจะมีโอกาสได้เรียนเยอะขึ้น และ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบมีประโยชน์กับเด็กที่ประสบปัญหาชีวิตจริงๆ เมื่อจบการศึกษา เขามีวุฒิการศึกษาไปต่อยอดอนาคตของเขาได้ อย่างกรณีของภู วันนี้เขาสามารถกลับมาเรียนในระบบ มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป สังคมก็อาจเปิดรับมากยิ่งขึ้น นั่นก็เป็นข้อดีที่ช่วยให้เขาอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบให้ได้ ถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ค่อนข้างเยอะ” ดร.ปิยะทิ้งท้าย
นอกจากนี้ ครูอรญาลงรายละเอียดถึงเรื่องการศึกษายืดหยุ่นและเกณฑ์วัดผลให้ฟังว่า สิ่งสำคัญคือการยืดหยุ่นเรื่องเวลาเรียน คือไม่มีการนับเวลาเรียนมาตัดสินเรื่องการไม่มีสิทธิ์สอบ (มส.) ส่วนเรื่องวัดระดับและประเมิน ยังมีการออกแบบเรื่องภาระงานเช่นเดียวกับเด็กในห้องเรียนปกติ เพียงแต่อาจแตกต่างกันที่ภาระงาน
ส่วนประเด็นเรื่อง ‘ระดับความรู้’ ที่ได้รับ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันของนักเรียนที่เรียนคนละรูปแบบ ครูอรญาพูดถึงประเด็นนี้ไว้ว่า “เมื่อก่อนต้องยอมรับว่าความรู้เกิดจากครูเป็นคนบอกเล่า แต่ถ้าถามว่าความรู้ในปัจจุบันคืออะไร ความรู้คือสิ่งที่คนคนหนึ่งสนใจ รับรู้ เรียนรู้ แล้วเข้าสู่กระบวนการประมวลทางสมอง ทำให้เรามองโจทย์ว่าทุกวันนี้ความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน ทุกวันนี้สภาพสังคมเปลี่ยน พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยน การจะให้เขาเรียนรู้ในสิ่งที่เขาไม่ได้อยากรู้ เขาก็ไม่เรียนอยู่ดี
“ในกระบวนการจัด 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ เราจัดองค์ประกอบว่าต้องมีความรู้สำคัญพื้นฐานตามที่หลักสูตรกำหนด เพราะฉะนั้นถ้าเด็กอยากได้คุณวุฒิตามหลักสูตร ก็ต้องทำให้ตนเองเกิดความรู้พื้นฐาน เมื่อเรามีโจทย์ชัดเจน เด็กก็พร้อมจะเรียนรู้ตามโจทย์ แต่ไม่ได้เป็นการบังคับให้เขาเรียนรู้ทุกอย่าง แน่นอนว่าในกระบวนการจัดการเรียน เราพยายามสร้างประสบการณ์แนวเปิดกว้าง ทักษะการทำงาน และวิธีปฏิบัติมากมาย แต่อาจเป็นส่วนที่เด็กกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าเขาไม่อยากได้ เขาไม่สนใจ แล้วเราจะทำอย่างไร นี่คือโจทย์สำคัญ” ครูอรญาอธิบาย
ส่วนประเด็นเรื่องมาตรฐานความรู้ของเด็ก ครูอรญากล่าวว่า “เราไม่เคยมองว่าเด็กที่อยู่ใน 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ไม่มีมาตรฐาน บางคนอาจมองว่าเด็กไม่ต้องเข้าเรียนก็ผ่าน จริงๆ ไม่ใช่ นี่เป็นการเรียนด้วยสไตล์การเรียนรู้ของเขาเองที่ไม่มีห้องเรียนเป็นกรอบ ไม่มีคุณครูยืนกำกับ เขาอาจรู้สึกเป็นอิสระในการเรียนรู้ของเขาก็ได้”
ครูอรญาย้ำว่าการศึกษาคือทรัพย์สินที่ติดตัวคนไปจนวันสุดท้ายและการศึกษาทำให้คนเปลี่ยนแปลง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้โอกาสคน
“โอกาสเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตคนเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับตัวเขา เพราะทุกคนรอโอกาสในการตัดสินว่าชีวิตเขาจะทำอย่างไรต่อไป” ครูอรญาทิ้งท้าย
ในช่วงบ่ายแก่ ฟ้าที่โรงเรียนช่องพรานฯ เป็นสีน้ำเงินเข้ม ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ทั่วบริเวณโรงเรียนมีสีเขียวตัดกับท้องฟ้า เสียงเด็กๆ ยังเจี๊ยวจ๊าวอยู่บนอาคารเรียน และค้างคาวยังไม่บินโผออกจากถ้ำ ภูเล่าเรื่องของเขามาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มร่างโปร่งที่มีแววตาส่องประกาย เขาพูดน้อยอย่างที่คนรอบตัวอธิบายถึงเขา แต่ทุกคำที่พูดนั้นออกมาด้วยความมั่นใจ
เมื่อถูกถามว่า ตอนนี้แข็งแรงแค่ไหน มั่นใจกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะไม่กลับไปหายาเสพติด ภูตอบสั้นๆ ว่า “เกินร้อยเลยครับ ไม่กลับไปยุ่งแน่นอน”
ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคต ชีวิตของภูจะเดินไปทิศทางไหน แต่ที่แน่ๆ วันนี้เขาเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ในวินาทีที่คนจะร่วงหล่นลงปากเหว แรงดึงจากคนที่มาช่วยสำคัญพอกันกับเจ้าของร่างกายที่จะไม่ยอมจำนนต่อแรงโน้มถ่วง

รั้วลวดหนามมิอาจขวางกั้นการเรียน ถึงเวลาที่การศึกษาไทยต้องยืดหยุ่นให้ทันชีวิตจริงของผู้เรียน โรงเรียนช่องพรานวิทยามีเด็กประมาณ 50 คนอยู่ภายใต้การเรียนการสอน 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ “ห้องเรียนสร้างโอกาส” ของที่นี่เปิดทุกวันศุกร์เพื่อให้เด็กในระบบนี้เข้ามารับและส่งใบงานการบ้าน และภูที่อยู่ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนก็ได้รับโอกาสให้เรียนที่นี่ โรงเรียนหรือบุคลากรทางการศึกษาที่สนใจการศึกษายืดหยุ่น สามารถรับข้อมูลและปรึกษาแบบตัวต่อตัว ได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น คลิก |