สำหรับการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ประจำปี 2568 Thailand International Conference on Education Research (ThaiCER) 2025 โดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และมีเจ้าภาพร่วม ได้แก่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี SEAMEO STEM-ED และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 7-8 สิงหาคม 2568
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร 15 แห่ง จัดงานปีนี้ภายใต้แนวคิด “การศึกษาเพื่ออนาคต: The Education for the Future begins today” ซึ่งเป็นความท้าทายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชากรศาสตร์ และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ขยายวงกว้าง ระบบการศึกษาต้องมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการยกระดับคุณภาพและความเสมอภาคทางการศึกษาผ่านนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ นวัตกรรมดิจิทัล และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างรอบด้าน โดยมีเป้าหมายคือการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งความรู้ มีความยืดหยุ่น สามารถแข่งขันได้ และพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ดร.มุสตาฟา ยูนุส เอียร์ยามาน (Prof. Dr.Mustafa Yunus Eryaman) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยชานักกาเล ออนเซกิซ มาร์ท มีความเชี่ยวชาญด้านนโยบายการศึกษา ปรัชญาการศึกษา ทฤษฎีและการวิจัยหลักสูตร การสอนเชิงวิพากษ์ และการศึกษาแบบก้าวหน้า เขาดำรงตำแหน่งประธานสมาคมนักการศึกษานานาชาติ (International Association of Educators) และรองประธานสมาคมวิจัยการศึกษาโลก (World Education Research Association) บรรยายในหัวข้อ Mapping the Relational Ecosystem: The World Education Research Association (WERA) as a Knowledge Broker for Global Evidence-Informed Networking and Knowledge Mobilization หรือ การทำความเข้าใจระบบนิเวศเชิงความสัมพันธ์: สมาคมการวิจัยด้านการศึกษาโลก (WERA) ในฐานะตัวกลางจัดการองค์ความรู้เพื่อสร้างเครือข่ายวิจัยระดับโลกที่อิงหลักฐาน และขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
ดร.มุสตาฟาเริ่มต้นการบรรยายด้วยการแนะนำหนังสือที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ เล่มแรกคือ Evidence and public good in Educational Policy Research and Practice ที่เขาเป็นบรรณาธิการร่วมกับบาร์บารา ชไนเดอร์ (Barbara Schneider) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต หนังสือเล่มที่สองคือชุดหนังสือที่ตีพิมพ์โดยสมาคมวิจัยด้านการศึกษาโลก
หนังสือเล่มแรกทำหน้าที่วิเคราะห์รากฐานทางทฤษฎีและตัวอย่างเชิงปฏิบัติของการระดมหลักฐานการวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพในนโยบายและการปฏิบัติทางการศึกษา และนำเสนอแนวคิดที่หลากหลายเกี่ยวกับการศึกษาที่อิงหลักฐานและการศึกษาจากหลักฐานที่ได้รับเพื่อประโยชน์สาธารณะ แนวคิดเรื่องสาธารณประโยชน์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสมาคมวิจัยด้านการศึกษาโลก พันธกิจหลักของเราคือการแสดงให้เห็นว่าศาสตร์ทางการศึกษาทุกประเภทสามารถมีส่วนช่วยสร้างประโยชน์สาธารณะได้จริง
ดร.มุสตาฟาคิดว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นตัวอย่างที่ดีในประเทศไทยที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสได้จริง ในหนังสือเล่มนี้ได้เชิญผู้ร่วมเขียน 24 ท่านจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) สหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก เบลเยียม สวีเดน ฟินแลนด์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สเปน ตุรกี และเนเธอร์แลนด์ วิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับการให้บริการสาธารณะผ่านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งหนึ่งในคำถามสำคัญคือ เราจะสามารถใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนานโยบายและแนวปฏิบัติทางการศึกษาได้อย่างไร โดยในหนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างจากนานาประเทศมากมาย และเล่มที่สองคือชุดหนังสือของ WERA-Springer นำเสนอตัวอย่างเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติทางการศึกษาภายใต้แนวคิดระบบนิเวศเชิงสัมพันธ์ของการวิจัยทางการศึกษาระหว่างประเทศ
ดร.มุสตาฟานำเสนอรูปแบบนโนบาย 2 ประเภท คือนโยบายและการวิจัยที่อิงหลักฐาน (evidence-based policy and research) กับนโยบายและการวิจัยที่รับข้อมูลจากหลักฐาน (evidence-informed policy and research)
1. นโยบายและการวิจัยที่อิงหลักฐาน (Evidence-based policy and research)
ย้อนกลับไปในปี 1996 เดวิด ฮาร์กรีฟส์กล่าวว่าการวิจัยทางการศึกษาไม่ได้ให้หลักฐานที่เพียงพอสำหรับผู้กำหนดนโยบายในการปรับปรุงแนวปฏิบัติและนโยบายในหน่วยงานระดับชาติ
ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการและการจ้างงาน สำนักงานมาตรฐานการศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร รายงานของสภาวิจัยแห่งชาติ และพระราชบัญญัติ No Child Left Behind Act ในสหรัฐอเมริกาในปี 2000 ระบุว่างานวิจัยด้านสังคมศาสตร์การศึกษาไม่ได้ให้คำตอบต่อคำถามที่ผู้กำหนดนโยบายร้องขอเพื่อพัฒนานโยบายการศึกษา การวิจัยทางการศึกษาไม่ได้ให้คำแนะนำที่ชัดเจนแก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาในการปรับปรุงการปฏิบัติงานวิชาชีพ และการวิจัยทางการศึกษายังมีความไม่สอดคล้องกันทางระเบียบวิธีวิจัย ขาดความต่อเนื่อง และมีแรงจูงใจทางการเมือง
นำไปสู่การเรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษา การวิจัย และการปฏิบัติในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ซึ่งโครงการริเริ่มต่างๆ อย่าง Randomized Control Trials (RCTs) ได้ครอบงำการเคลื่อนไหวของหลักฐานในสหรัฐอเมริกา โดยมีองค์กรความร่วมมือคอเครน (Cochrane Collaboration) เป็นตัวแทนของสาขาการแพทย์ และ Campbell Collaboration เป็นตัวแทนของสังคมศาสตร์ ในรายงานและโครงการริเริ่มเหล่านี้ การทดลองแบบสุ่มและควบคุมได้กลายเป็นระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์หลักในการพัฒนากรอบการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์และกรอบการทำงานที่เห็นผล

พวกเขาได้นำเสนอลำดับชั้นของหลักฐานหลายแบบ อย่างที่เห็นตามลำดับชั้นในภาพนี้ จะเห็นว่าด้านบนสุดคือการวิเคราะห์อภิมาน (Meta-Analysts) และการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ในส่วนด้านล่าง จะเห็นว่ากรณีศึกษาแต่ละกรณี ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพถูกมองว่าเป็นวิทยาศาสตร์น้อยกว่าในแนวคิดเหล่านี้
ลำดับชั้นก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก โดยเฉพาะจากหน่วยงานวิจัยการศึกษาเสรีนิยมและฝ่ายซ้ายในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวทางนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงการศึกษา กล่าวว่าการจะทำให้สาขาการศึกษาและการแพทย์มีความเท่าเทียมกันนั้นไม่ใช่เรื่องเหมาะสม เพราะทั้งสองมีกรอบวิธีการและญาณวิทยาที่แตกต่างกัน โดยเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ความสำเร็จทางการศึกษาที่ผู้เรียนอนุมัติจากเบื้องบนในนโยบายที่อิงหลักฐาน
2. นโยบายและการวิจัยที่รับข้อมูลจากหลักฐาน (Evidence-informed Policy and Research)
นำมาสู่รูปแบบที่สอง ที่สามารถเลือกใช้คำได้หลากหลาย คำแรกคือ ได้รับข้อมูลจากหลักฐาน (evidence-informed) คำที่สองคือ ได้อิทธิพลจากหลักฐาน (evidence-influence) และคำที่สามคือ คำนึงถึงหลักฐาน (evidence-aware) ซึ่งใช้แทนกันได้ทั้งหมด แม้จะมีความคล้ายคลึงกันแต่หลักการสำคัญของทั้งสองคำนั้นแตกต่างกัน
ความแตกต่างของทั้งสองหลักการคือ:
- แทนที่จะพัฒนาลำดับชั้นของหลักฐาน นักวิจัยควรพัฒนาแนวปฏิบัติที่อ้างอิงจากหลักฐาน คำนึงถึงมุมมองและบริบทของแต่ละบุคคลและวิชาชีพที่แตกต่างกัน
- จำแนกแหล่งที่มาของหลักฐาน ระบุแหล่งที่มาของหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องตามบริบท ความซับซ้อน หลักฐานสนับสนุน มีน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ และแปลเป็นภาษาต่างๆ
3. WERA: Global Evidence-informed Networking and Knowledge Mobilization
สมาคมวิจัยด้านการศึกษาโลก ซึ่งเป็นเครือข่ายการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมอบโอกาสมากมายให้กับนักวิจัยทางการศึกษา และครูผู้สอน ในการเผยแพร่ ตีพิมพ์ และสร้างเครือข่ายทั่วโลก เป้าหมายหลักของสมาคมวิจัยด้านการศึกษาโลกคือ
- ระบุ: การระบุงานวิจัยที่ล้ำสมัยและแนวโน้มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในหลากหลายบริบท
- เชื่อมโยง: นำนักวิจัย สมาคม สถาบัน ผู้กำหนดนโยบายจากหลากหลายประเทศและหลากหลายสาขาวิชามารวมกันเพื่อพัฒนาโครงการวิจัย
- ส่งต่อ: เพื่อให้มั่นใจว่าหลักฐานเหล่านี้ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นมาอย่างอิสระ WERA ได้เผยแพร่ อภิปรายข้อถกเถียง และนำหลักฐานเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับผู้ปฏิบัติงาน ผู้ปฏิบัติงานทำงานจริง
สมาคมวิจัยด้านการศึกษาโลก มีสมาชิกทางวิชาการมากกว่า 100,000 คน จาก 79 ประเทศ ผ่าน 29 สมาคม 5 สถาบัน และ 26 เครือข่ายวิจัยนานาชาติ หนึ่งในเครือข่ายวิจัยเหล่านี้คือเครือข่ายการศึกษาครู (Teacher Education Network)

ยกตัวอย่างองค์กรสมาชิกของ WERA บางส่วน องค์กรแรก สมาคมวิจัยแห่งชาติ (National Member Associations) หนึ่งในนั้นคือสมาคมวิจัยการศึกษาอเมริกัน (American Education Research Association) ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 มีสมาชิก 30,000 คน 12 แผนก เครือข่ายความสนใจพิเศษ 184 เครือข่ายพิเศษ และผลิตงานวิจัยทางการศึกษามานานกว่า 100 ปี สมาคมวิจัยการศึกษาญี่ปุ่น (Japanese Educational Research Associations) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สมาคมญี่ปุ่นนี้ได้จัดการประชุมนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1941 มีสมาชิก 2,800 คน และมีบทบาทอย่างมากในองค์กรสมาชิก
ไม่เพียงแต่ในระดับชาติเท่านั้น ยังมีองค์กรระดับภูมิภาค (Reginal Member Associations) ยกตัวอย่างเช่น สมาคมวิจัยการศึกษายุโรป (European Education Research Association) ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 มีสมาคมวิจัยสมาชิกระดับชาติและระดับภูมิภาค 40 แห่งในยุโรป เป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนความรู้และผู้ทรงอิทธิพลหลักในการกำหนดนโยบายในยุโรป นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกสถาบันอีกด้วย หนึ่งในนั้นคือสมาคม International Association for the Evaluation of Education Achievements (IEA) ก่อตั้งขึ้นในปี 1958 รับผิดชอบทีมวิจัย Pearl และงานวิจัยระดับนานาชาติ

มีองค์กรหนึ่งจากประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคม WERA คือกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุด การเข้าร่วมเป็นสมาชิก WERA นับเป็นก้าวสำคัญของ กสศ. ในพันธกิจด้านการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการและนโยบายด้านการศึกษาในระดับนานาชาติ เพื่อสนับสนุนการยกระดับมาตรฐานการวิจัยและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ข้อมูล นวัตกรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาร่วมกันระหว่างเครือข่ายการวิจัยด้านการศึกษาของประเทศไทยกับภาคีในระดับนานาชาติ ซึ่งจะสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับนักวิจัยด้านการศึกษาของไทยในอนาคต

โอกาสและความเป็นไปได้สำหรับ กสศ. เมื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ WERA
- การเข้าถึงเครือข่ายระดับโลก (Access Global Networks)
ปัจจุบันนักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ปฏิบัติงานของไทยมีช่องทางโดยตรงในการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจากทั่วโลก หมายถึงการเข้าถึงมุมมองที่หลากหลาย วิธีการที่สร้างสรรค์ และข้อมูลเชิงลึกเชิงเปรียบเทียบที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับระบบการศึกษา - ความร่วมมือด้านการวิจัยที่เข้มแข็ง (Enhances Research Collaboration)
การเข้าร่วมเครือข่ายการวิจัยระดับนานาชาติจะช่วยส่งเสริมความเชี่ยวชาญให้กับการศึกษาระดับโลก ยกตัวอย่างเช่นการวิจัยร่วมกับทุน Erasmus Plus ของยุโรปเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา ศึกษาถึงวิธีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในโครงการผู้ประกอบการทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยจากอิตาลี ตุรกี เยอรมนี และมอลตา นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศความสัมพันธ์ระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาควิชาการ - เสียงที่ดังมากขึ้นในเวทีนานาชาติ (A stronger Voice on the International Stage)
จากความสำคัญและความสำเร็จด้านการวิจัยทางการศึกษาของ WERA Thailand จะช่วยเพิ่มการรับรู้ในมุมมองระดับโลก
ท่ามกลางความพยายามในการจัดตั้งสมาพันธ์สมาคมการวิจัยด้านการศึกษาแห่งประเทศไทย (Thailand Education Research Association: THERA) ดร.มุสตาฟาขอบคุณต่อกระทรวงศึกษาธิการของไทยที่สนับสนุน นอกจากนี้ สมาคมวิจัยแห่งชาติยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ได้ หนึ่งในนั้นคือแพลตฟอร์มกลางสำหรับความร่วมมือ
- แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงนักวิจัยจากหลากหลายสาขาวิชา สถาบัน และภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและสหวิทยาการ เพื่อสร้างระบบนิเวศการวิจัยเชิงสัมพันธ์ในประเทศไทย
- สมาคมวิจัยการศึกษาไทยสามารถเป็นกระบอกเสียงสนับสนุนความสำคัญของการวิจัยทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอิทธิพลต่อนโยบายระดับชาติ และจัดหาทรัพยากรที่มากขึ้นสำหรับโครงการวิจัย
- สามารถเป็นการพัฒนาวิชาชีพที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักวิจัยและนักวิจัยรุ่นใหม่
4. กรณีตัวอย่าง Evidence-informed School Evaluation and Big Data Research
ดร.มุสตาฟายกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าสมาคมวิจัยการศึกษาโลกเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศได้อย่างไร แบบจำลองการประเมินผลโรงเรียนโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาด้วยสมาคมระดับชาติ 5 แห่งจากบราซิล เยอรมนี ตุรกี โคโซโว และโปแลนด์ ร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ผสานรวมปัญญาประดิษฐ์เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของโรงเรียน
วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือการพัฒนาแบบจำลองระบบการประเมินผลโรงเรียนแบบธุรกรรม (Ecosystem Model of School Evaluation) คือการรวบรวมฐานข้อมูลจากโรงเรียน โดยเฉพาะจากครู นำมาใส่ไว้ในซอฟต์แวร์ ให้ซอฟต์แวร์จะวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และป้อนข้อมูลกลับสู่โรงเรียนต่างๆ แสดงให้เห็นถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของโรงเรียนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับโลก
มีทั้งหมด 3 ขั้นตอน
- ขั้นตอนแรกคือการประเมินระดับนานาชาติ ในปีแรก เราขอให้ผู้อำนวยการโรงเรียนป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบโดยพิจารณาจากตัวชี้วัดต่างๆ และ WERA ยังประเมินปัจจัยจากภายนอกด้วย เพราะต้องการให้แน่ใจว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเข้าสู่ระบบด้วยหลักฐานคุณภาพดีที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในระดับที่สอง
- ขั้นตอนที่สอง เราจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของพวกเขาจากศูนย์วิจัยข้อมูลขนาดใหญ่นี้กับโรงเรียน และรวมตัวกันกับครู ผู้ปกครอง องค์กรท้องถิ่น และตัวแทนจากภาครัฐ เพื่อประเมินรายงานนี้
- ขั้นตอนที่สามคือ พัฒนาแบบจำลองความเป็นเลิศของโรงเรียนของตนเองและนำแบบจำลองความเป็นเลิศของโรงเรียนไปใช้
ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของโรงเรียนมี 7 ตัว ได้แก่ ภาวะผู้นำและการบริหาร ความเป็นเลิศทางการศึกษา วัฒนธรรมและค่านิยมของโรงเรียน การให้คำปรึกษาและแนะแนวทางการศึกษา ทักษะในศตวรรษที่ 21 การวิจัย การพัฒนาและนวัตกรรม การเสริมสร้างพลังอำนาจชุมชน การบริการสาธารณะ โรงเรียนที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้ เราประเมินหลักฐานของโรงเรียนตามเกณฑ์นี้ ให้ข้อเสนอแนะแก่โรงเรียนและกระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับการศึกษานำร่อง มีโรงเรียน 200 แห่งในตุรกีเข้าร่วมโครงการ และเพื่อทดสอบโปรแกรมซอฟต์แวร์ออนไลน์และแบบจำลองการประเมินภายในโรงเรียน และเรากำลังร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการของตุรกีเพื่อดำเนินโครงการในสี่เมือง เนื่องจากเราต้องการสรุปโครงการนำร่องในประเทศหนึ่งก่อนจะดำเนินโครงการไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป โดยหวังว่าจะเผยแพร่ผลการศึกษาในปี 2028 และจะสามารถรวบรวมข้อมูลจากครู 1,000,000 คน นักเรียน 50 ล้านคน และผู้ปกครองในโรงเรียนรัฐบาล 55,000 แห่ง โครงการที่ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และแม้กระทั่งหลักฐานที่บ่งชี้ถึงวิวัฒนาการของโรงเรียนจะได้รับการเผยแพร่ในปี 2026 และการพัฒนาตัวแทน AI เหล่านี้จะช่วยให้ครูช่วยในเรื่องคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ของเด็กได้
เริ่มที่ปรับคำแนะนำให้เหมาะกับครูผู้สอนในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ตัวแทน AI จะให้ข้อเสนอแนะอย่างละเอียดและรวดเร็ว แนะนำครูผู้สอนผ่านการสะท้อนตนเองและการตั้งเป้าหมาย ช่วยให้ครูผู้สอนมองเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนเพื่อพัฒนาการสอนโดยอิงจากหลักฐานที่รวบรวมได้จากโรงเรียนในพื้นที่นี้ นอกจากนี้ จะจัดการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องตามความต้องการด้านนโยบาย