โรงเรียนที่เด็กนอกระบบอยากไป เป็นแบบไหนบ้าง

โรงเรียนที่เด็กนอกระบบอยากไป เป็นแบบไหนบ้าง

เด็ก ๆ เลือกโรงเรียนเองได้ไหม?

คำถามนี้คงจะมีคำตอบที่หลากหลาย ผู้ปกครองบางคนอยากเลือกให้ลูก ในขณะเดียวกันบางคนก็มองว่าให้ลูกเลือกได้ ในเมื่อผู้เรียนก็คือพวกเขา

แต่เด็กบางคนไม่ได้เกิดมาพร้อมกับตัวเลือกขนาดนั้น ระบบของโรงเรียนแบบปกติที่มีอยู่ก็ไม่ตรงกับเงื่อนไขชีวิตของพวกเขา

ถ้าเราเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนเลือกโรงเรียนในแบบของตัวเองได้ มันจะเป็นแบบไหน?

กสศ. สำรวจคำตอบจากเด็ก 4 คน ใน 4 พื้นที่ของโครงการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเยาวชนนอกระบบการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ปัจจุบันน้องๆ ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนระบบปกติทั่วไป แต่พวกเขาทุกคนเคยผ่านการเรียนในโรงเรียนมาก่อน แล้ววันนี้ การเรียนแบบไหนที่ถูกใจน้องๆ ที่สุด?

โรงเรียนที่มีครูที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย

“อยู่ที่นี่เราคุยเล่นได้ ไม่เข้าใจก็ถามครูได้”

การถามครูได้ คือสิ่งที่ ‘ตูม’ กนกศักดิ์ เซี่ยงว่อง เด็กชายอายุ 17 ปี ชอบมากๆ ในการเรียนที่ สกร. (ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้) ตูมอาจจะไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งที่สุด แต่ตูมก็ขยันไม่แพ้ใคร เพราะฉะนั้นการมีครูคอยช่วยเหลือและประคับประคองทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ตูมเรียนอยู่ในโรงเรียนระบบปกติแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ตูมก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วไปที่เรียนบ้าง เล่นบ้าง แต่ตูมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับการโดนเลือกปฏิบัติจากครูสักเท่าไหร่

ตูมไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่เพื่อนในห้องเสียงดัง ครูถึงเลือกที่จะดุหรือตีตูมแค่คนเดียว บางครั้งที่ครูพูดว่าถ้าสงสัยก็สามารถถามได้ พอถึงเวลาที่ตูมถามบ้าง เขากลับโดนครูต่อว่าว่าไม่ตั้งใจเรียน จริงๆ แล้วไม่ใช่ตูมคนเดียวที่โดน เพื่อนคนอื่นก็โดนบ้างเหมือนกัน

“บางทีก็นั่งคุยกับเพื่อนว่าทำไมครูถึงต้องว่าเราแบบนั้น”

พอเจอแบบนี้เข้าบ่อยๆ ความรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนก็ค่อยๆ เกิดขึ้น ตูมเล่าว่ามีบางครั้งที่ตัวเองโดดเรียนบ้าง หรือไม่ก็ตื่นสายๆ จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน แต่ก็โดนพ่อดุบ้าง เพราะถ้าไม่เรียนก็ไม่มีวุฒิ ถ้าไม่มีวุฒิก็จะหางานยาก

ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ตูมเจออยู่ ที่ตัวเองต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ตูมเลยรู้สึกว่าการออกจากโรงเรียนน่าจะดีกว่า แต่เพื่อไม่ให้การเรียนสิ้นสุดลง ‘จีราพร เทียนทอง’ หรือที่เด็กๆ เรียกกว่า แม่พร อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) จึงชักชวนให้ตูมลองไปเรียน สกร. เผื่อว่าตูมจะได้เจอพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองในนั้น

ตูมจะเรียนที่ สกร. เฉพาะในวันอาทิตย์ตั้งแต่ 9 โมงถึงเที่ยง ส่วนวันธรรมดาก็เอาเวลาไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานขนลังนม เลี้ยงไก่ ปลูกผำ

การเรียนที่ สกร. ทำให้ตูมรู้สึกสดชื่นมากขึ้น โดยเฉพาะการที่มีครูที่ใจดี และพร้อมจะช่วยเหลือเขา ตูมบอกว่าอยู่ที่นี่เขาเฮฮาได้ คุยเล่นกับเพื่อนได้ แถมยังได้เรียนวิชาที่สนใจอีกด้วย เพราะที่นี่ครูจะให้เด็กเลือกว่าอยากเสริมทักษะด้านไหนบ้าง

เพราะฉะนั้นโรงเรียนในฝันสำหรับตูม คือ สถานที่ที่ทำให้เขาสามารถเป็นตัวเองได้ ซึ่งก็ต้องมาจากครูที่รักและเอาใจใส่เด็กๆ ด้วย 

โรงเรียนที่อยู่ทุกที่

“อยากให้โรงเรียนเป็นทุกที่”

คำตอบจาก ‘เอิร์ธ’ ธนภัทร ธรรมแสง เด็กชายอายุ 17 จากจังหวัดเชียงราย เมื่อเราถามว่าสำหรับเอิร์ธแล้ว อยากให้โรงเรียนเป็นแบบไหน

ที่เอิร์ธบอกว่าอยากให้โรงเรียนเป็นทุกที่ อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองไม่ค่อยได้อยู่กับที่สักเท่าไหร่ เนื่องจากเอิร์ธทำงานเป็นคนส่งแก๊ส หน้าที่ของเขาคือตามไปส่งแก๊สกับพี่ๆ กับเช็กรถให้นิดๆ หน่อยๆ

ตารางแต่ละวันของเอิร์ธไม่แน่นอน รวมถึงที่ที่จะต้องไปอีกด้วย เพราะฉะนั้นเขามักจะอยู่ไม่เป็นที่ เอิร์ธจึงรู้สึกว่าถ้าได้เรียน ก็อยากเรียนจากที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้

ก่อนหน้านี้เอิร์ธเป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนปกติ เข้า 8 โมง ออกจากโรงเรียน 4 โมง จนกระทั่งพ่อเสียซึ่งนี่หมายความว่าเขาเสียเสาหลักในบ้านไป เอิร์ธบอกกับเราว่าไม่อยากเห็นแม่ทำงานคนเดียว เลยอยากหาทางให้ตัวเองทำงานไปด้วยได้ และเรียนได้เหมือนกัน

ที่โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก อ.เชียงของ จ.เชียงราย จึงมีนวัตกรรมการศึกษายืดหยุ่นสำหรับเด็กที่มีเงื่อนไขในชีวิต ไม่ว่าจะมีปัญหาเศรษฐกิจ อยากทำงานไปด้วย หรือต้องเลี้ยงลูกไปด้วย ก็สามารถยังอยู่ในระบบการศึกษาได้ นวัตกรรมนี้เรียกว่า ‘ห้องเรียนระบบสอง’

เอิร์ธเข้าห้องเรียนระบบสองตั้งแต่ ม.5 เทอมสอง วิธีการเรียนในระบบสองทำให้เขาสามารถแบ่งเวลาไปทำงานได้สะดวกมากขึ้น แถมบางทีการทำงานก็เป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วยเหมือนกัน

“ชอบระบบสองเพราะว่าผมออกมาหาเงินเองได้”

ตอนนี้เอิร์ธผ่อนโทรศัพท์มือถือและรถมอเตอร์ไซต์ที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เขาเล่าอย่างภูมิใจว่าภายในสิ้นปีนี้ก็คงจะผ่อนหมดแล้ว

สำหรับแม่ของเอิร์ธเองก็ภูมิใจในลูกชายไม่น้อย การทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เอิร์ธก็ทำได้

“แม่ไม่ได้หวังว่าต้องเกรดสี่เกรดสาม แต่คือคุยกันตั้งแต่แรกแล้วว่า การมีวุฒิมันทำให้เขาไปทำงานในอีกสังคมนึง อยากให้ได้ทักษะชีวิตมากกว่า อยากให้ดูแลตัวเองได้มากกว่าที่เหลือก็แล้วแต่เขา ให้เขาไปตกผลึกเอาเอง”

เอิร์ธจึงอยากเห็นทุกๆ ที่เป็นโรงเรียนเพราะจะได้ทำให้เขามีเวลาไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้น บางคนอาจจะบอกว่าสำหรับเด็กการเรียนสำคัญที่สุด แต่ถ้าแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้ด้วย แบบนั้นจะดีกับเอิร์ธมากกว่า

“ตั้งแต่ทำงานมาผมรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นทุกที่จริงๆ”

เอิร์ธเล่าว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงาน คือ ทักษะการสื่อสารกับคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือคนที่ อายุมากกว่า เขาบอกว่านี่คือข้อดีของการทำงานที่การเรียนในโรงเรียนให้ไม่ได้

ยังมีเด็กหลายคนที่มีเงื่อนไขชีวิตอื่นๆ นอกเหนือจากการเรียน เพราะฉะนั้นก็คงจะดีถ้าเราได้เห็นทุกๆ ที่เป็นโรงเรียนจริงๆ และการเรียนก็สามารถให้วุฒิการศึกษากับผู้เรียนได้ด้วย

โรงเรียนที่มีครูพร้อมจะช่วยเหลือนักเรียน

“เมื่อก่อนชอบเรียน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

‘อิฐ’ อนุชา ขุนหวาง กล่าว ที่ต้องใช้คำว่าเมื่อก่อน เนื่องจากในปัจจุบันอิฐไม่ได้เรียนแล้ว เขาออกจากโรงเรียนในจังหวัดระนองตั้งแต่ ม.3 เพราะพ่อแม่บอกให้ออก ซึ่งอิฐเองก็ไม่รู้ทำไมต้องออก แต่อย่างน้อยเขาก็ได้มีโอกาสทำงานและหาเงินดูแลน้องๆ ทั้ง 3 คน ด้วยตัวเอง

เด็กหลายคนไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่ไม่ใช่สำหรับอิฐ เขาบอกว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เขาชอบที่สุดในสมัยที่ยังอยู่ในโรงเรียน

“ชอบเรียนคณิต เพราะครูใจดี”

นิยามของครูใจดีในความหมายของอิฐ คือ ครูที่ชอบช่วยเหลือเด็ก และครูที่ไม่ตีเด็ก อิฐเล่าว่าครูคณิตคนนี้ชอบช่วยเหลือเด็ก เวลาที่อิฐมีข้อสงสัยอะไรก็สามารถยกมือขึ้นถามได้เลย และครูก็จะมาให้อธิบายให้ฟังเป็นรายคนด้วย นี่จึงเป็นเหตุที่อิฐเข้าใจคณิตได้ง่าย

เพราะเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน อิฐจึงนำเนื้อหาที่ได้เรียนมาสอนต่อให้น้องๆ ที่บ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาคณิต อังกฤษ หรือวิทยาศาสตร์ อิฐก็สอนได้หมดเลย

อิฐเป็นเด็กที่พยายามแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว แม่แท้ๆ ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น เมื่อไม่เหลือใครเขาจึงต้องผันตัวมาเป็นเสาหลักให้ครอบครัวเพื่อดูแลน้องๆ ให้ได้ดีที่สุด

คุยไปคุยมาแล้วเราค้นพบว่า พื้นที่ปลอดภัยสำหรับอิฐ คือ การได้อยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย ตอนนี้คนที่ทำให้อิฐรู้สึกปลอดภัยมีทั้ง ‘หมอแนน’ สุรานีย์ สุวรรณเนาว์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลม่วงกลวง และพี่ๆ จากกลุ่มปัญญาชนสร้างสรรค์สังคมไม่ว่าจะเป็น ‘หนุ่ม’ นิพนธ์ มีชัย ที่รับบทเป็นพี่ชายให้อิฐ รวมไปถึง ‘แจง’ ณัฐกานต์ ไท้สุวรรณ ที่เป็นผู้ใหญ่อีกคนที่พึ่งพาได้ และที่สำคัญคือ ‘แม่ปอ’ สุวรรณา สมิง ผู้ช่วยหัวหน้าโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างโอกาสให้กับเยาวชนนอกระบบการศึกษา จ.ระนอง ที่เป็นอีกคนที่อิฐสนิทด้วย และเรียกว่าแม่

“ถ้าทักไปบอกหมอแนนว่ามีอาการซึมเศร้า เขาจะถามว่ากินยาหรือยัง เขาจะเป็นห่วง”

บางทีเด็กก็ไม่ได้อยากได้อะไรมาก ขอแค่ใครสักคนที่เป็นห่วงเขา ดูแลเขา และเป็นคนที่เขาสามารถพึ่งพาได้ ซึ่งก็ไม่จำเป็นว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นคนในครอบครัวเสมอไป

อิฐบอกว่าตัวเองไม่ได้อยากไปเที่ยวไหน อยากอยู่กับน้องในบ้านที่ปลอดภัยและสงบ บ้านที่ปลอดภัยของอิฐก็อยากให้มีพ่อและแม่ด้วย ถึงแม้จะย้ายออกไปแล้วแต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

โรงเรียนที่ไม่มีการทำร้ายกัน

“อยากให้โรงเรียนเป็นที่ที่เรียนแล้วครูไม่ว่า ไม่ด่า ทำให้เราอยากเรียนรู้”

เพราะตอนที่ยังต้องไปโรงเรียน ‘ตะวัน’ มักจะโดนครูดุและตี หลายครั้งที่เขากลับมาบ้านพร้อมกับแผลที่ครูตีในโรงเรียน เพราะฉะนั้นแล้วขอแค่มีครูที่ไม่ว่า ไม่ตี แค่นี้ตะวันก็พอใจแล้ว

‘ไมตรี จำเริญสุขสกุล’ พ่อของตะวันเล่าให้เราฟังว่าเขาเองก็พยายามปกป้องสิทธิ์ให้กับลูก เพื่อให้ลูกได้เรียนอยู่ในโรงเรียนอย่างมีความสุข แต่ดูไปดูมาแล้วระบบของโรงเรียนอาจจะไม่ได้เหมาะกับเด็กทุกคน ไมตรีจึงอยากพาลูกออกมาหาความรู้ข้างนอกมากกว่า อย่างน้อยเขาก็สบายใจได้ว่าตะวันจะไม่โดนตีอีก

พื้นที่ ‘โครงการการพัฒนาทักษะการผลิตสื่อดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชนนอกระบบการศึกษา’ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ไมตรีสร้างขึ้นมานั้นจึงพยายามเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กให้ได้มากที่สุด ทั้งให้กับตะวันเอง และเด็กคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการศึกษาแบบปกติอีกด้วย

“ครูบอกกับเราว่า ‘สอนไม่ไหว ลูกคุณมีปัญหาทางเสมอง’ ก็เลยพาไปหาหมอ สรุปว่าไม่มีอะไร”

แม้จะได้ยินแบบนี้แต่ไมตรีก็ยังตั้งคำถามในใจว่าลูกเขาจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ ในเมื่อครูสอนไม่ได้ เขาก็จะเป็นคนสอนลูกเอง และก็ค้นพบว่าลูกของเขาเรียนได้ อ่านออกเขียนได้ปกติเหมือนเด็กทั่วไป ที่สำคัญคือลูกเขาไม่ต้องทนเจ็บตัว

ไมตรีเลือกที่จะสอนลูกเองที่บ้าน แม้จะมีกังวลบ้างว่าที่สอนไปเด็กจะเอาความรู้ตรงนี้ไปหางานทำได้หรือไม่ ไมตรีเลยพยายามสอนทักษะการทำงานอย่างปลูกผัก เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ อย่างน้อยๆ ถ้าไม่มีใครจ้างงาน ก็สามารถเอาทักษะเหล่านี้มาทำธุรกิจของตัวเองได้

“การเรียนที่สำคัญคือไม่ใช่แค่ตัวหนังสืออย่างเดียว มันคือชีวิตของเขา ศีลธรรมอันดีงามยุคนี้มันหายไป เรียนเรื่อง ก.ไก่ ข.ไข่ เอบีซี แต่ลืมไปเลยเรื่องความถูกต้อง” ไมตรีทิ้งท้าย

ไมตรีหวังกว่าพื้นที่แห่งนี้จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กคนอื่นๆ ได้ด้วย ปัจจุบันที่นี่มีเด็กคนอื่นๆ เรียนรวมอยู่ด้วย บางคนคือเด็กที่ชาวบ้านมองว่าเกเรบ้าง ติดยาบ้าง เป็นปัญหาสังคมบ้าง แต่สำหรับไมตรีทุกคนคือเด็กคนหนึ่งที่อยากได้โอกาสในชีวิต ซึ่งพวกเขาก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ถ้าหากได้รับการสนับสนุน