เด็กบางคนแค่กลับมาโรงเรียน แต่โลกทั้งใบของเขาไม่เคยกลับมาเหมือนเดิม พรมแดนบาง ๆ ระหว่างการเรียนรู้และการล้มเลิก : บทสัมภาษณ์ ภูเบศร์ ชื่นชม ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำพ่น อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

เด็กบางคนแค่กลับมาโรงเรียน แต่โลกทั้งใบของเขาไม่เคยกลับมาเหมือนเดิม พรมแดนบาง ๆ ระหว่างการเรียนรู้และการล้มเลิก : บทสัมภาษณ์ ภูเบศร์ ชื่นชม ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำพ่น อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

บางคนเดินเข้ารั้วโรงเรียนพร้อมชุดนักเรียนตัวใหม่ แต่ในใจยังแบกความรู้สึกเก่า ๆ จากสองปีที่โลกหยุดเดิน เด็กบางคนกลับมาเรียนหลังโควิดโดยไม่มีเพื่อนในห้องให้พูดคุย ไม่มีครูที่เขาคุ้น ไม่มีพื้นที่ให้เขารู้สึกว่า “ตัวฉันยังสำคัญอยู่ตรงนี้”

การกลับมาโรงเรียนจึงไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่สำหรับทุกคน สำหรับเด็กบางคน มันคือการต้องปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป โดยที่ตัวเขาเองยังไม่ทันได้เปลี่ยนตาม โควิดอาจหายไปจากแผนที่ แต่ยังหลงเหลืออยู่ในระบบประสาท ในการนอนไม่หลับ การพูดน้อยลง หรือความรู้สึกแปลกแยกทุกเช้าที่ต้องนั่งในห้องเรียน

โรงเรียนบ้านน้ำพ่นไม่ใช่โรงเรียนในเมือง ไม่ได้มีสนามใหญ่ ไม่ได้มีระบบซัพพอร์ตที่สมบูรณ์แบบ แต่มีอะไรบางอย่างที่โรงเรียนใหญ่ ๆ หลายแห่งไม่มี นั่นคือความเข้าใจว่า “การกลับเข้าสู่ระบบ” ไม่ใช่การย้อนกลับไปเหมือนเดิม แต่คือการเดินไปข้างหน้าในฐานะคนที่บอบช้ำร่วมกันมา

โรงเรียนบ้านน้ำพ่น อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขื่อนห้วยหลวง ชุมชนที่ดูเหมือนจะไม่เปราะบางนักในเชิงโครงสร้าง แต่กลับมีรอยเปราะบางทางสังคมซ่อนอยู่ในบ้านหลายหลัง เด็กจำนวนไม่น้อยเติบโตมากับปู่ย่าตายาย ขณะที่พ่อแม่ออกไปรับจ้างต่างถิ่น เด็กหลายคนไม่ได้ขาดอาหารกลางวัน แต่ขาดผู้ใหญ่ที่รู้ว่าช่วงนี้เขาเศร้าหรือเริ่มไม่อยากไปโรงเรียน

ปู่ย่ากลายเป็นผู้ปกครองหลัก และโทรศัพท์กลายเป็นเพื่อนสนิท

ช่วงโควิดคือจุดเปลี่ยนของระบบทั้งหมด ผอ.ภูเบศร์ ชื่นชม เล่าว่า เด็กจำนวนมากไม่ได้เจอเพื่อน เจอครู หรือมีประสบการณ์ในห้องเรียนเลยเป็นเวลานาน การเรียนออนไลน์ที่บ้านหมายถึงการอยู่กับมือถือมากกว่าอยู่กับหนังสือ พอเวลาผ่านไป สิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่บทเรียน แต่คือวินัย สมาธิ และความสามารถในการอยู่ร่วมกับคนอื่น

“เด็กบางคนเรียนจบ ป.1 ออนไลน์ พอมาโรงเรียนอีกทีคือ ป.2 แล้วไม่เคยเจอห้องเรียนจริง ๆ มาก่อนเลย”

การเติบโตในช่วงวัยสำคัญโดยไม่มีครู ไม่มีเพื่อน ไม่มีแม้แต่กิจวัตรประจำวันแบบโรงเรียน ทำให้เด็กหลายคนเหมือนถูกตัดขาดจากการเรียนรู้แบบมีความสัมพันธ์ พอกลับมาอีกครั้ง ระบบที่รออยู่ตรงหน้าไม่ใช่ระบบที่เขาคุ้นเคย และเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้นได้อย่างไร

ในขณะที่พ่อแม่หลายคนต้องย้ายไปทำงานไกลบ้าน รายได้ที่โอนกลับมาอาจยังพอมี แต่ความใกล้ชิดหายไป เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายซึ่งอายุมากและไม่คุ้นกับโลกออนไลน์ ทำให้เมื่อเด็กเข้าสู่โซเชียลหรือเสพเกม ก็ไม่มีใครรู้ทันหรือตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเห็นหรือเลียนแบบ

มือถือจึงกลายเป็นทั้งแหล่งข้อมูล แหล่งพักใจ และเพื่อนคนเดียวของเด็กบางคนในบางวัน มันคือสิ่งที่เด็กหยิบขึ้นมาได้ง่ายกว่าการเปิดใจคุยกับใครสักคน และเมื่อโรงเรียนเปิดอีกครั้ง หลายคนก็ยังพกเพื่อนคนนั้นติดตัวมา โดยไม่มั่นใจนักว่าใครในห้องนี้จะเข้าใจเขาจริง ๆ ผอ.ภูเบศร์ ชื่นชม เล่าว่า เด็กจำนวนมากไม่ได้เจอเพื่อน เจอครู หรือมีประสบการณ์ในห้องเรียนเลยเป็นเวลานาน การเรียนออนไลน์ที่บ้านหมายถึงการอยู่กับมือถือมากกว่าอยู่กับหนังสือ พอเวลาผ่านไป สิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่บทเรียน แต่คือวินัย สมาธิ และความสามารถในการอยู่ร่วมกับคนอื่น

“เด็กบางคนเรียนจบ ป.1 ออนไลน์ พอมาโรงเรียนอีกทีคือ ป.2 แล้วไม่เคยเจอห้องเรียนจริง ๆ มาก่อนเลย”

ในขณะที่พ่อแม่หลายคนต้องย้ายไปทำงานไกลบ้าน รายได้ที่โอนกลับมาอาจยังพอมี แต่ความใกล้ชิดหายไป เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายซึ่งอายุมากและไม่คุ้นกับโลกออนไลน์ ทำให้เมื่อเด็กเข้าสู่โซเชียลหรือเสพเกม ก็ไม่มีใครรู้ทันหรือตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเห็นหรือเลียนแบบ

ถ้าเด็กไม่กลับมาเรียนรู้ เราต้องกลับไปเรียนรู้เด็กก่อน

“เราประชุมกันทั้งโรงเรียน เพื่อยอมรับก่อนว่าระบบเดิมใช้ไม่ได้แล้ว”

คำถามแรกที่ถูกโยนขึ้นมากลางวงครูคือ “เรายังรู้จักเด็กพอไหม?” เพราะหลังจากสองปีที่หายไป ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าเด็กที่กลับมาเรียนในวันนี้ ยังเป็นเด็กคนเดิมกับเมื่อก่อนโควิดหรือเปล่า

สิ่งที่โรงเรียนเลือกทำคือการคัดกรองเด็กเป็นรายคน รายกลุ่ม ออกเยี่ยมบ้านเพื่อเข้าใจพื้นฐานชีวิตจริง ไม่ใช่แค่เพื่อรายงาน แต่เพื่อสังเกตเงียบ ๆ ว่า เด็กนั่งอยู่ตรงไหน กินข้าวกับใคร ใช้ชีวิตยังไงหลังเลิกเรียน

“เด็กที่แต่งตัวดี ไม่ได้แปลว่าบ้านพร้อมเสมอไป เด็กที่ดูซุกซนอาจไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเรียกร้องความสนใจยังไง” ผอ.เล่าอย่างระมัดระวัง

ครูแต่ละคนกลายเป็นนักสังเกต นักฟัง และนักเจรจากับผู้ปกครอง บางครั้งสิ่งที่เด็กเป็นอยู่ไม่ใช่ปัญหาของเขาคนเดียว แต่คือรอยรั่วของทั้งระบบที่ส่งทอดกันมา ผ่านความเงียบ ความเหนื่อยล้า และความไม่รู้จะพูดยังไงของผู้ใหญ่รอบตัว

“เราต้องกลับไปเรียนรู้เด็กก่อน แล้วค่อยพาเขาเรียนรู้ต่อ” คือหลักคิดของบ้านน้ำพ่น

ครูในโรงเรียนนี้จึงไม่ได้ทำหน้าที่สอนความรู้เพียงอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง ที่พยายามเชื่อมโลกของเด็กกับโลกของผู้ใหญ่เข้าไว้ด้วยกันให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่การให้คำสั่ง “เราประชุมกันทั้งโรงเรียน เพื่อยอมรับก่อนว่าระบบเดิมใช้ไม่ได้แล้ว” ผอ.ภูเบศร์เล่า

สิ่งที่โรงเรียนเลือกทำคือการคัดกรองเด็กเป็นรายคน รายกลุ่ม ออกเยี่ยมบ้านเพื่อเข้าใจพื้นฐานชีวิตจริง เด็กที่แต่งตัวดี ไม่ได้แปลว่าบ้านพร้อมเสมอไป เด็กที่ดูซุกซนอาจไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่แค่ไม่รู้ว่าจะเรียกร้องความสนใจยังไง

ครูแต่ละคนกลายเป็นนักสังเกต นักฟัง และนักเจรจากับผู้ปกครอง บางครั้งสิ่งที่เด็กเป็นอยู่ไม่ใช่ปัญหาของเขาคนเดียว แต่คือรอยรั่วของทั้งระบบที่ส่งทอดกันมา

โรงเรียนที่ซ่อมใจเด็กด้วยโปงลาง ไม้กวาด และใบไม้พิมพ์ลาย

กิจกรรมของโรงเรียนไม่ได้เริ่มจากหลักสูตร แต่มาจากคำถามว่า “เด็กอยากทำอะไร”

ผอ.ภูเบศร์เล่าว่า เด็กบางคนอาจไม่มีพื้นที่ให้แสดงออกในห้องเรียน แต่กลับกลายเป็นคนที่เปล่งประกายในวงโปงลาง กลุ่มอีโคปริ้นต์ หรือโครงงานไม้กวาด หลายคนที่เงียบงันในห้องเรียน กลับกลายเป็นผู้นำเมื่อได้อยู่ในพื้นที่ที่ตัวเองถนัด

กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้แยกจากการเรียนรู้ แต่แทรกการเรียนรู้อย่างแนบเนียน เช่น การออกแบบลวดลายผ้าอีโคปริ้นต์ทำให้นักเรียนได้ฝึกการคิดเชิงระบบ คิดเชิงวิทยาศาสตร์ และทำงานเป็นทีมแบบที่ห้องเรียนทั่วไปให้ไม่ได้ โครงงานไม้กวาดเปิดโอกาสให้เด็กเข้าใจมิติสังคม เช่น การหารายได้ การร่วมมือกับผู้ปกครอง หรือแม้แต่การเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นจากวัสดุที่ใช้

“เด็กได้รู้สึกว่าเขาเก่งบางอย่าง” และความรู้สึกนั้นเองที่กลายเป็นพลังให้เขากลับมาโรงเรียนในวันต่อ ๆ ไป ไม่ใช่เพราะมีใครบังคับ แต่เพราะเขาอยากมา อยากอยู่ อยากเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนที่เห็นค่าของเขาจริง ๆ

เด็กไม่ได้ออกจากโรงเรียนเพราะขาดข้าว แต่อาจเพราะขาดคนรอเขากลับบ้าน

เด็กจำนวนหนึ่งอาจไม่ถึงกับยากจน แต่มีความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบเพราะขาดแรงหนุนทางใจ บางคนพอเรียนจบ ป.6 ก็เริ่มรู้สึกว่าโรงเรียนไม่ใช่พื้นที่ของเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เพราะเรียนไม่ไหว แต่เพราะไม่มีแรงพอจะฝืนเดินต่อไปตามลำพัง

“บางคนไม่ได้อยากออกจากโรงเรียน แต่ไม่รู้จะอยู่ต่อไปยังไง ถ้าเราไม่ยื่นทางเลือกให้ เขาก็ไม่มีทางเลือก” ผอ.ภูเบศร์เล่า

การช่วยเหลือเด็กในโรงเรียนบ้านน้ำพ่นจึงไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน แต่ขยับออกไปถึงคำถามว่า “เด็กคนนี้ควรได้เรียนต่อในที่แบบไหน?” หลายกรณีโรงเรียนเลือก “ส่งต่อ” เด็กไปยังโรงเรียนกินนอน หรือโรงเรียนพระปริยัติ เพื่อให้เขาได้อยู่ในระบบที่เหมาะกับเงื่อนไขชีวิตของเขาเอง

การส่งต่อเหล่านี้ไม่ใช่การผลักเด็กออกไป แต่คือการมองเห็นและยอมรับว่าบางชีวิตต้องการพื้นที่ใหม่เพื่อไปต่อ การเปลี่ยนที่เรียนจึงไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการดูแลที่ซื่อตรงและตั้งอยู่บนความเข้าใจ

เด็กบางคนไม่ได้ขาดข้าว แต่ขาดคนรอเขากลับบ้าน ขาดคนที่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเบื่อ เบลอ หรือเงียบผิดปกติ และเมื่อโรงเรียนมองเห็นสิ่งนั้นได้ทันก่อนใคร มันก็อาจเพียงพอแล้วที่จะรักษาเด็กคนหนึ่งเอาไว้ในระบบได้อีกสักระยะ

เด็ก ป.2 คนหนึ่งทำให้ผมเข้าใจว่าความจนมันซับซ้อนกว่าที่ผมเคยคิด

ก่อนจะมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำพ่น ผอ.ภูเบศร์เคยเป็นครูหนุ่มคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนพร้อมความตั้งใจดี แต่ยังไม่ลึกซึ้งนักกับโลกของเด็ก

จนวันหนึ่ง เขาสอนเรื่องป่าต้นน้ำ การอนุรักษ์ และการห้ามตัดไม้ให้เด็ก ป.2 ฟัง เด็กคนหนึ่งในชั้นยกมือถามกลับว่า

“ถ้าไม่ให้เขาตัดไม้ แล้วจะให้เขาเอาอะไรกินล่ะครู?”

ประโยคนั้นสั้นมาก แต่เปลี่ยนความคิดของครูภูเบศร์ไปตลอดชีวิต มันไม่ได้สะเทือนแค่ความรู้ในหัว แต่ทะลุลงไปถึงความเข้าใจว่า ความจนไม่ใช่เรื่องขาวดำ และการอยู่รอดของคน ๆ หนึ่งไม่อาจตัดสินได้จากห้องเรียน

“ตอนนั้นเราเพิ่งจะเข้าใจว่าชีวิตคนไม่เท่ากัน และเด็กบางคนโตมากับคำถามที่เราไม่เคยคิดมาก่อน” เขาเล่า

หลังจากวันนั้น ครูภูเบศร์เริ่มตั้งคำถามกับหลักสูตรแบบเดิม เริ่มมองว่าโรงเรียนต้องเป็นมากกว่าผู้ให้ความรู้ แต่ต้องเป็นผู้เรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กด้วย โดยเฉพาะการเรียนรู้เงื่อนไขชีวิต การตั้งคำถามกับสิ่งที่สอน และการเข้าใจว่า ทุกครอบครัวมีระบบเหตุผลและความจำเป็นที่ซับซ้อนกว่าที่ตำราจะอธิบายได้

มันคือจุดเริ่มต้นของครูที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่สอนให้เด็กเข้าใจโลก แต่พยายามเข้าใจโลกของเด็กให้มากขึ้นก่อน

ตื่นมาทุกวันคือคำถามอีกครั้ง: เด็กคนนี้จะยังมาเรียนไหม หรือหลุดไปเงียบ ๆ

บทบาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในบางพื้นที่ ไม่ได้มีแต่ตำแหน่งหน้าห้องประชุม แต่คือการตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมคำถามที่ไม่มีคำตอบล่วงหน้า  เด็กคนนี้จะยังมาเรียนไหม หรือเขาจะหลุดออกไปจากระบบเงียบ ๆ โดยไม่มีใครทันสังเกต

ผอ.ภูเบศร์เปรียบตัวเองว่าเป็น “ผู้พิพากษาในตอนเช้า” ที่ต้องตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้า และเป็น “นักประสานงานในตอนบ่าย” ที่ต้องสวมบทบาทหลากหลายเพื่อตามแก้ปัญหาที่โยงใยกันมาอย่างซับซ้อน

บางวันต้องช่วยเคลียร์ปัญหาเด็กทะเลาะกัน บางวันต้องแอบสังเกตเด็กที่ดูซึม ๆ และไม่พูดกับใคร หรือโทรหาผู้ปกครองเพื่อคุยกันดี ๆ ว่าเด็กคนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่

บางเคสก็หนักกว่านั้น เด็กมีพฤติกรรมเสี่ยง เริ่มติดโทรศัพท์อย่างหนัก หรือใช้ความรุนแรงกับเพื่อน การรับมือกับปัญหาเหล่านี้ไม่ได้มีคู่มือ แต่มีหัวใจที่ไม่ยอมปล่อยให้เด็กคนหนึ่งหายไปเฉย ๆ

โรงเรียนบ้านน้ำพ่นจึงให้ความสำคัญกับระบบคุ้มครองเด็กอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ในเชิงเอกสาร แต่ในเชิงวิธีคิด โดยย้ำกับครูและผู้ปกครองทุกคนว่า ทุกครั้งที่เชิญผู้ปกครองมาโรงเรียน “ไม่ใช่เพื่อฟังข้อหา แต่เพื่อหาทางออกร่วมกัน”

เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเด็กเองว่าเขากำลังเจอกับอะไร และหน้าที่ของโรงเรียนก็ไม่ใช่การพิพากษา แต่คือการอยู่ข้าง ๆ เด็กคนนั้นให้นานพอ จนเขากลับมาเชื่อได้อีกครั้งว่า โลกนี้ยังมีคนที่รอฟังเขาอยู่

ความเสมอภาคไม่ได้อยู่ที่ทุกคนเรียนเหมือนกัน แต่ทุกคนต้อง ‘อยาก’ มาเรียนได้อีกครั้ง

โรงเรียนบ้านน้ำพ่นเข้าใจดีว่า ความเสมอภาคทางการศึกษา ไม่ได้แปลว่าเด็กทุกคนต้องเรียนแบบเดียวกัน หรือเดินในเส้นทางเดียวกัน แต่คือการทำให้เด็กทุกคน “อยาก” มาโรงเรียนได้อีกครั้งในแบบของตัวเอง

สิ่งที่โรงเรียนพยายามทำจึงไม่ใช่เพียงแค่เติมโอกาสให้เด็กเรียนทัน แต่คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กไม่กลัวการมาโรงเรียน ไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกตัดสิน เปรียบเทียบ หรือต้องแข่งขันอยู่ตลอดเวลา

พวกเขาพยายามจะสร้างพื้นที่ที่เด็กแต่ละคนสามารถค้นพบจังหวะของตัวเอง — จะช้าหรือเร็วก็ได้ จะเรียนแบบปกติหรือทางเลือกก็ได้ ตราบใดที่ยังมีพื้นที่ให้เขาได้รู้สึกว่า “เขายังเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตัวเองได้”

“โรงเรียนคือบ้านหลังที่สอง ไม่ใช่เพราะเราสวยงามที่สุด แต่เพราะเราพยายามเข้าใจว่าแต่ละคนกำลังต้องการอะไร” ผอ.ภูเบศร์บอก

และเมื่อบ้านคือสถานที่ที่คนไม่สมบูรณ์แบบสามารถเติบโตได้อย่างไม่ต้องกลัวผิดพลาด — โรงเรียนบ้านน้ำพ่นจึงพยายามจะเป็นแบบนั้นให้เด็กได้รู้สึกว่า โลกนี้ยังมีที่ให้เขาอยู่ โดยไม่ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนใคร

เด็กบางคนไม่ได้ขออะไรจากโรงเรียนมากไปกว่า “อย่าลืมเขาไป”

ไม่มีใครลืมเสียงหัวเราะของเด็กในช่วงพักเที่ยง หรือแววตาที่เปล่งประกายเวลาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่เรากลับลืมได้ง่ายเหลือเกินว่า เด็กคนเดิมที่เคยยิ้มให้เรา อาจจะหายไปจากห้องเรียนวันไหนก็ได้ โดยไม่ทันมีใครรู้สึกตัว

เด็กบางคนไม่ได้ต้องการห้องเรียนใหม่ โต๊ะใหม่ หรือหลักสูตรล้ำสมัย เขาแค่ต้องการพื้นที่ที่ไม่ทำให้เขารู้สึกหายไป พื้นที่ที่ครูยังจำชื่อเขาได้ เพื่อนยังมีคำทักทายให้บ้าง และไม่มีใครรีบเร่งจะตัดสินว่าเขาคือใครจากผลสอบหรือความเงียบในชั้นเรียน

โรงเรียนบ้านน้ำพ่นอาจไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่พวกเขากำลังทำให้โลกใบเล็ก ๆ ของเด็กคนหนึ่งไม่พังลงไปง่าย ๆ ท่ามกลางโครงสร้างที่ใหญ่เกินจะเปลี่ยนทัน

เพราะสุดท้ายแล้ว ความหวังของเด็กไม่ได้แขวนอยู่กับนโยบาย หรืองบประมาณเสมอไป แต่มันแขวนอยู่กับสายตา น้ำเสียง และการไม่ยอมปล่อยมือกันง่าย ๆ ของผู้ใหญ่ตรงหน้า

เด็กบางคนไม่ได้ต้องการให้เราทำอะไรพิเศษไปกว่านี้ เขาแค่ขอว่า  อย่ามองข้ามเขาไป