“เด็กไทยเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าง่าย” พฤติกรรมเสี่ยงไม่ใช่ความผิดของเด็กลำพัง แต่คือผลจากสภาพแวดล้อมที่ทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบ

“เด็กไทยเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าง่าย” พฤติกรรมเสี่ยงไม่ใช่ความผิดของเด็กลำพัง แต่คือผลจากสภาพแวดล้อมที่ทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบ

หนึ่งในเป้าหมายหลักของ SDGs ด้านการศึกษา คือการสร้างระบบการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เสมอภาค และช่วยปกป้องเด็กเยาวชนจากปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้หลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่ง “บุหรี่ไฟฟ้า” คือหนึ่งในความเสี่ยงเร่งด่วนที่ต้องเร่งรับมือในปัจจุบัน

ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่, มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่, สพฐ., สสส. และ ALTV Thai PBS ว่าพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กไม่ควรถูกมองว่าเป็นปัญหาส่วนตัว แต่เป็นผลสะท้อนจากสภาพแวดล้อมที่ยังไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในรั้วโรงเรียน ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่เด็กเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย

กสศ. จึงร่วมมือกับ สพฐ. พัฒนา “OBEC CARE” ระบบสารสนเทศเพื่อหลักประกันโอกาสทางการเรียนรู้ และการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบรายบุคคล ติดตามและคัดกรองความเสี่ยงผ่านแดชบอร์ดข้อมูลสุขภาวะแบบ Real Time ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ สวัสดิภาพ ความปลอดภัย พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้สารเสพติด บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น โดย OBEC CARE จะช่วยให้ครูและผู้บริหารสามารถวางแผนป้องกันและช่วยเหลือเด็กได้อย่างตรงจุด ครอบคลุมตั้งแต่ระดับโรงเรียนถึงระดับเขตพื้นที่

“อัตราการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วในโรงเรียน และในกลุ่มเด็กเยาวชนที่อายุยังน้อย”  —  ดร.ไกรยส กล่าว

ข้อมูลจาก OBEC CARE ปีการศึกษา 2567 ซึ่งครูสำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1–ม.6 จำนวน 124,606 คน จาก 1,699 โรงเรียนใน 30 เขตพื้นที่การศึกษานำร่อง พบว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน 

ข้อมูลเชิงลึกจากการคัดกรองนักเรียนทั้งหมดพบว่า ร้อยละ 24.77 เคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 22.04 คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 20.29 อาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ
ข้อมูลนี้ตอกย้ำว่า พฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งครอบครัว ชุมชน และเพื่อน ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจเร่งให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเร็วยิ่งขึ้น

“เราพบว่าเด็กที่เห็นคนในครอบครัว ชุมชน หรือเพื่อนสูบบุหรี่ มีแนวโน้มทำให้เขาตัดสินใจทดลองสูบและติดบุหรี่เร็วขึ้น”

ข้อมูลที่ดี + เครื่องมือที่ใช่ = การตัดสินใจที่ปลอดภัยของเด็ก

ดร.ไกรยส ชี้ให้เห็นว่า หากเด็กได้รับข้อมูลเพียงพอจากระบบการศึกษา พวกเขาจะสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อเผชิญพฤติกรรมเสี่ยง ปัจจุบัน OBEC CARE จึงพัฒนาเครื่องมือให้ครูสามารถคัดกรองความเสี่ยงเด็กรายคน พร้อมแสดงสถานะความเร่งด่วนด้วยระบบสี คือ สีเขียว = ปกติ, สีเหลือง = กลุ่มเสี่ยง และสีแดง = เคสเร่งด่วนที่ต้องการความช่วยเหลือทันที

“โอกาสทางการศึกษา” คือเกราะป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงระยะยาว

ดร.ไกรยสกล่าวถึงผลวิจัยจากนักเศรษฐศาสตร์ Harvard University และ Yale University ซึ่งเผยแพร่ในปี 2024 ที่ผ่านมา เพื่อยืนยันว่า “โอกาสทางการศึกษา” เป็นปัจจัยสำคัญในการลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ‘การสูบบุหรี่’ และ ‘โรคอ้วน’ โดย เกือบร้อยละ 60 ของกลุ่มประชากรที่ได้รับการศึกษา ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว และมีแนวโน้มไม่ทดลองสูบบุหรี่ หรือหากสูบ ก็มีแนวโน้มเลิกในช่วงอายุ 30–40 ปี ความแตกต่างเหล่านี้เกิดจาก ทัศนคติ บรรทัดฐานทางสังคม ความเข้มงวดด้านกฎหมาย การจำกัดพื้นที่สูบ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับโอกาสทางการศึกษาและสิ่งแวดล้อม

“โรงเรียนสีขาว” หมุดหมายของความร่วมมือเพื่อปกป้องเด็ก

ในปีการศึกษา 2568 นี้ กสศ. และ สพฐ. ได้ขยายการใช้งาน OBEC CARE ครอบคลุมทั้ง 245 เขตพื้นที่การศึกษา ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้โรงเรียนทั่วประเทศกลายเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่มีระบบดูแลสุขภาวะควบคู่กับการสร้างโอกาสทางการศึกษา

“การทำงานร่วมกันในครั้งนี้ เป็นหมุดหมายสำคัญของการสร้าง ‘โรงเรียนสีขาว’ หากสถาบันการศึกษา ครอบครัว และชุมชน ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โอกาสที่เด็กจะหลุดเข้าสู่วงจรบุหรี่หรือสารเสพติดก็จะลดลงได้” — ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ.