“เพราะทุกที่คือโรงเรียน” : ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

“เพราะทุกที่คือโรงเรียน” : ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

“ต่อไปนี้ ‘โรงเรียน’ จะหมายถึง ‘พื้นที่การเรียนรู้’ ที่ใครก็สามารถจัดการศึกษาได้ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป โดยสามารถเปลี่ยนพื้นที่หลากหลายให้รองรับการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ชีวิตของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงวุฒิการศึกษา และสามารถพัฒนาตนเองต่อยอดสู่เส้นทางอาชีพได้ ด้วยมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับว่าเด็กทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้จากทุกที่ โดยไม่มีเส้นแบ่งอีกต่อไปว่าเป็นเด็กในระบบหรือเด็กนอกระบบ”

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวในการเสวนาเรื่อง ‘การขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาของประเทศ’ ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 โดยกล่าวถึงภาพของระบบการศึกษาในปัจจุบันและทิศทางในอนาคต พร้อมเน้นย้ำว่า หากระบบการศึกษาไม่สามารถปรับตัวให้รองรับความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่วันนี้ “เราจะไม่สามารถบรรลุปลายทางที่แท้จริงของการศึกษา ที่ ‘เด็กทุกคน’ ควรได้ค้นพบศักยภาพภายในของตัวเอง และมีเส้นทางเรียนรู้เติบโตเฉพาะบุคคล เพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิตที่แตกต่างหลากหลายได้ในท้ายที่สุด” 

ดร.ไกรยส กล่าวถึงผลสำรวจ Gen Z & Millennial Survey: 2025 ของบริษัท Deloitte ซึ่งเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายทั่วโลกในช่วงวัย Gen Z (เกิดระหว่าง พ.ศ. 2541–2565 หรือ ค.ศ. 1998–2024) และ Gen Y หรือ Millennial (เกิดระหว่าง พ.ศ. 2523–2540 หรือ ค.ศ. 1981–1996) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษ พบว่า “ประตูมหาวิทยาลัย” ไม่ใช่เป้าหมายหลักของการเรียนรู้สำหรับคนรุ่นใหม่อีกต่อไป

เหตุผลสำคัญคือ ปัจจุบันผู้เรียนต้องการการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ หรือสอดรับกับความฝันที่ไม่จำเป็นต้องการันตีด้วยใบปริญญาเหมือนในศตวรรษที่ผ่านมา ขณะที่เมื่อหันกลับมามองระบบการศึกษาไทย จะพบว่าโดยภาพรวม การจัดการเรียนรู้กระแสหลักยังคงมุ่งเน้นการผลักดันเด็กเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ทั้งในด้านหลักสูตร กระบวนการพัฒนา วิธีการวัดและประเมินผล รวมถึงความคาดหวังทางสังคมจากทั้งผู้เรียนและผู้จัดการศึกษา ที่ยังเชื่อว่าใบปริญญาคือใบเบิกทางสู่การมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง

“เป้าหมายการศึกษาไทยที่สวนทางกับผลสำรวจดังกล่าว กำลังบอกเราว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการศึกษาทางเลือก ให้ตอบโจทย์ชีวิตของผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น”  ดร.ไกรยสกล่าว พร้อมระบุว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างราว 40% ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา คือปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับภาระในการดูแลครอบครัว คนกลุ่มนี้มองว่าการใช้เวลา 4–5 ปีในมหาวิทยาลัยไม่สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นของอาชีพใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขององค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการทำงาน (Disruption)

นอกจากนี้ ยังมีมุมมองว่าต่อให้เรียนจบและมีงานทำ รายได้ที่ได้รับก็อาจไม่คุ้มค่ากับต้นทุนการศึกษา หรือในบางกรณี ผู้เรียนมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการเติบโตในเส้นทางผู้ประกอบการ จึงมองว่าการเรียนรู้ที่เฉพาะทางในสายงานนั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องผ่านระบบอุดมศึกษาแบบเดิม

ประเด็นเหล่านี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า “หากประเทศไทยต้องการจัดการศึกษาที่เสมอภาคและเท่าเทียม ให้สอดรับกับบริบทปัจจุบันและอนาคต หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงจะต้องอยู่ที่ ‘ความยืดหยุ่นของระบบการศึกษา’ ซึ่งต้องเอื้อต่อความแตกต่างหลากหลาย เพื่อให้เด็กทุกคนค้นพบตัวเอง และไปสู่เป้าหมายของการเรียนรู้ได้ตามศักยภาพ”

‘รู้หนังสือ – ใช้เครื่องมือดิจิทัล – มีวุฒิภาวะทางอารมณ์และสังคม’ 3 ทักษะสำคัญที่ตลาดแรงงานต้องการในวันนี้และอนาคต

ดร.ไกรยสได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ “ทักษะพื้นฐานที่ตลาดแรงงานต้องการในโลกยุคใหม่” โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของธนาคารโลก (World Bank) และภาคี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการในปัจจุบันมองหาในตัวบุคลากรนั้น ประกอบด้วย 3 ทักษะหลัก ได้แก่

1.ทักษะการรู้หนังสือ (Literacy) ซึ่งครอบคลุมทั้งการอ่าน เขียน และความสามารถในการทำความเข้าใจข้อมูล
2.ทักษะดิจิทัล (Digital Literacy) หรือความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสารออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ทักษะด้านอารมณ์และสังคม (Social-Emotional Skills) ซึ่งหมายถึงการเข้าใจรู้เท่าทัน และสามารถจัดการอารมณ์ของตนเอง รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อทำงานร่วมกับผู้อื่น

“สิ่งสำคัญประการแรกคือต้องเข้าใจว่า ‘การรู้หนังสือ’ ในยุคนี้ ไม่ได้หมายถึงเพียงการอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการนำความรู้มาใช้ประยุกต์แก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนทักษะดิจิทัลนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับทั้งการดำเนินชีวิตและการทำงานในโลกยุคใหม่ ส่งผลต่อโอกาสในการมีรายได้ที่สูงขึ้นและการเติบโตในสายอาชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ขณะเดียวกัน ทักษะด้านอารมณ์และสังคม ซึ่งเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในตลาดแรงงาน คือความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากบทเรียนช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้โรงเรียนต้องปิดยาวนานหลายปี ส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อทักษะด้านนี้ของเด็กและเยาวชนจำนวนมาก” 

ดร.ไกรยสอธิบายเพิ่มเติมว่า “เด็กจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาด้านสุขภาพจิต มีภาวะเปราะบางทางอารมณ์ เผชิญกับความเครียดจากการเรียน ความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงอุปสรรคหลากหลายที่เกิดขึ้นในช่วงวัยของการเติบโต” ซึ่งประเด็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจที่ระบุว่า สถานประกอบการจำนวนมากได้เริ่มให้ความสำคัญกับคุณลักษณะของบุคลากรที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ สามารถรับมือกับแรงกดดันและความท้าทายในการทำงานได้

“บุคลากรที่สามารถบริหารจัดการอารมณ์ได้ดี มักเป็นผู้ที่องค์กรเล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตในบทบาทผู้นำ หรือเป็น ‘แกนหลัก’ ในการประสานงานและขับเคลื่อนทีมสู่ความสำเร็จในการแข่งขันในตลาดแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ไกรยสกล่าวสรุป   

880,463 คน = จำนวนเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา

ดร.ไกรยสรายงานข้อมูลจากการดำเนินงานภายใต้นโยบาย Thailand Zero Dropout ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรัฐบาล โดยระบุว่า ในช่วงระดับปฐมวัยถึงการศึกษาภาคบังคับ ประเทศไทยยังมีเด็กและเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาอยู่ถึง 880,463 คน โดยชี้ให้เห็นว่า หากต้องการสร้างระบบการศึกษาที่เสมอภาคและเท่าเทียม การจัดการศึกษาจะต้องครอบคลุมทั้งกลุ่มที่อยู่ในระบบและนอกระบบ โดยจุดเริ่มต้นสำคัญคือต้อง “ตามหาเด็กทุกคนในวัยเรียนให้พบ” เพื่อนำกลับเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสม ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจเด็กและเยาวชนที่ไม่มีรายชื่ออยู่ในระบบการศึกษา พบว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเด็กพ้นจากการศึกษาภาคบังคับ ตัวเลขของผู้ที่ไม่ได้เรียนต่อในระบบก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“มีเยาวชนจำนวนมากที่ต้องการเรียนพร้อมกับทำงานไปด้วย แต่ระบบการศึกษาที่มีอยู่ยังไม่อาจตอบโจทย์วิถีชีวิต” ดร.ไกรยสกล่าว พร้อมเสนอว่า หากต้องการให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ไม่ต้องยุติเส้นทางการศึกษาก่อนเวลาอันควร ระบบจำเป็นต้อง “ปรับให้ยืดหยุ่น” โดยยึดบริบทชีวิตของผู้เรียนแต่ละคนเป็นตัวตั้ง และออกแบบการเรียนรู้ให้เข้าถึงผู้เรียน ไม่ใช่รอให้ผู้เรียนเข้าถึงการศึกษา 

ผู้จัดการ กสศ. ยกตัวอย่างการติดตามข้อมูลเยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (ต่ำกว่า 3,000 บาทต่อคน/เดือน) ซึ่งอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เมื่อปี 2563 และจบการศึกษาขั้นพื้นฐานในปี 2567 ทั้งหมด 165,585 คน โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลนักเรียนทุกสังกัด พบว่า มีเยาวชนจำนวน 32,984 คน หรือ ร้อยละ 20 ที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบ ม.3

การติดตามต่อเนื่องยังพบว่า ในช่วงรอยต่อระหว่างมัธยมปลาย/ปวช. ไปสู่ระดับอุดมศึกษา หรือ ปวส. เยาวชนกลุ่มเปราะบางที่ “หายไป” จากระบบการศึกษามีจำนวนถึง 132,601 คน เท่ากับว่า จากเยาวชนกลุ่มนี้ทั้งรุ่น มีเพียง 22,345 คน หรือ ร้อยละ 13.49 เท่านั้น ที่สามารถก้าวต่อไปสู่การศึกษาระดับสูงกว่าขั้นพื้นฐาน

“ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า งบประมาณระดับแสนล้านบาทที่รัฐจัดสรรเพื่อการศึกษาระดับอุดมศึกษาในแต่ละปี แทบไม่ส่งถึงเยาวชนจากครัวเรือนเปราะบางเลย และนี่คือภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่แม้จะมีงบประมาณและมาตรการต่าง ๆ รองรับ แต่ท้ายที่สุด เด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ก็ยังเข้าไม่ถึงโอกาสในการเรียนต่อระดับสูงได้”  ดร.ไกรยสกล่าว

Thailand Zero Dropout: วาระสำคัญในการขับเคลื่อน ‘การจัดการศึกษาเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น’

ในปี 2567 ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการติดตามและนำเยาวชนกลับเข้าสู่เส้นทางการศึกษาได้ถูกจัดส่งถึงคณะรัฐมนตรี และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินงานตามมาตรการ Thailand Zero Dropout ซึ่งประกอบด้วย 4 แนวทางหลัก ได้แก่

1.มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ผ่านการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ
2.มาตรการติดตาม-ช่วยเหลือ-ส่งต่อ โดยประสานการทำงานระหว่างหน่วยงาน เพื่อออกแบบการดูแลรายบุคคล ครอบคลุมด้านการศึกษา สุขภาวะ พัฒนาการ ความเป็นอยู่ และบริบททางสังคม 
3.มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ
4.มาตรการส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn เพื่อให้เยาวชนอายุ 15–18 ปี ได้เรียนรู้ทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน และมีรายได้เสริมระหว่างเรียน

“ถึงวันนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ ครม. มีมติสนุบสนุนมาตรการทั้งสี่ จนเกิดเป็นการทำงานตามแนวทาง Thailand Zero Dropout โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันค้นหา ติดตาม ช่วยเหลือ และดูแลเยาวชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา” ดร.ไกรยสกล่าว พร้อมชี้ว่าหัวใจของการดำเนินงานคือ “การปรับระบบการศึกษาให้มีความยืดหยุ่น” โดยใช้บทบัญญัติตามมาตรา 15 ของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเปิดทางให้สถานศึกษาจัดการเรียนรู้ได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.การศึกษาระบบตามหลักสูตรแกนกลาง 1.การจัดการศึกษาในระบบตามหลักสูตรแกนกลาง 2.การศึกษานอกระบบ ที่ปรับวิธีการเรียนรู้ให้สอดคล้องต่อสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม 3.การศึกษาตามอัธยาศัย ที่เปิดกว้างให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามศักยภาพและความสนใจ 

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างอิง มาตรา 12 ซึ่งระบุว่า นอกจากรัฐแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันทางสังคมอื่น ๆ ก็มีสิทธิเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ เพื่อขยายฐานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ดร.ไกรยส อธิบายเพิ่มเติมว่า หลังการขับเคลื่อน Thailand Zero Dropout แนวคิด “การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น” ได้กลายเป็นประเด็นหลัก และเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนที่ดำเนินการอยู่แล้วตามมาตรา 12 เช่น ศูนย์การเรียน หรือองค์กรภาคเอกชนที่ทำงานด้านการศึกษามาโดยตลอด ได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการนำเยาวชนกลับสู่ระบบการเรียนรู้

พร้อมกันนี้ ยังมีการขยายรูปแบบการศึกษาทางเลือกเพิ่มเติม อาทิ โรงเรียนมือถือ (Mobile School) การจัดการเรียนรู้ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ การเรียนรู้เพื่อหารายได้ (Learn to Earn) นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าในการพัฒนา ระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) โดยสภาการศึกษา ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงการเรียนรู้ทุกรูปแบบ จากทุกหน่วยจัดการศึกษา ให้สามารถนำไปเทียบโอนเป็นวุฒิการศึกษาในทุกระดับได้  

“รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายไม่ใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาใหม่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่คือสิ่งที่หน่วยจัดการศึกษาหลายแห่งพยายามทำกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ถ้าระบบธนาคารหน่วยกิตพัฒนาจนเต็มรูปแบบ อนาคตอันใกล้นี้เราจะสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ในโรงเรียน ศูนย์การเรียน โรงเรียนมือถือ สกร. และการเรียนรู้ทุกรูปแบบ จนเป็นเส้นทางการเรียนรู้ขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์ผู้เรียนได้ทุกความต้องการ และเมื่อนั้นเด็กจะมีเพียง Portfolio ชุดเดียวที่ใช้สะสมหน่วยกิตจากทุกที่ทุกเวลาที่ใช้ไปกับการเรียนรู้ แล้วนำไปใช้ศึกษาต่อและสมัครงานได้เลย” ดร.ไกรยส กล่าว