ทุกร่องรอยคือการเรียนรู้ : ‘ห้องเรียนระบบสอง’ กับวิธีประเมินผลของเด็กด้วย ‘การบันทึกร่องรอย’ ที่สร้างความยืดหยุ่น และไม่ทำให้เด็กท้อจนไม่อยากเรียนรู้ต่อ

ทุกร่องรอยคือการเรียนรู้ : ‘ห้องเรียนระบบสอง’ กับวิธีประเมินผลของเด็กด้วย ‘การบันทึกร่องรอย’ ที่สร้างความยืดหยุ่น และไม่ทำให้เด็กท้อจนไม่อยากเรียนรู้ต่อ

ห้องเรียนระบบสอง โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ. เชียงราย คือ หนึ่งในพื้นที่ต้นแบบของ “โครงการห้องเรียนข้ามขอบ” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

เป้าหมายสำคัญ คือ การขับเคลื่อนการสร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น โดยพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ผสมผสานทั้งการเรียนรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน สร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่หลากหลายและปลอดภัย ช่วยเชื่อมรอยต่อต่างๆ ในระบบการศึกษา โดยอาศัยการสร้างความร่วมมือกับชุมชน องค์กรท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการร่วมกันการออกแบบสร้าง “ต้นแบบนวัตกรรมการจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่น” โดยมุ่งหวังว่าระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นนี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค สร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายและตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองมากขึ้น

โดยห้องเรียนระบบสองของโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จะมีความยืดหยุ่น มีการปรับวิธีการสอน รูปแบบการเรียน และการประเมินผลที่สอดคล้องกับตัวนักเรียน ที่เรียกว่า ‘บันทึกร่องรอยการเรียนรู้’ 

“เด็กบางคนต้องออกโรงเรียนมาช่วยยาย บางคนเจอปัญหารอบตัวแบบหนักหนาสาหัส เขาเลยมาเรียนแบบปกติไม่ได้ แต่เขาก็ควรได้รับการศึกษาเพราะโรงเรียนไม่ควรผลักเขาออก ระบบสองเลยออกมารองรับเด็กเหล่านี้ และก็ต้องมองว่าการให้เกรดแบบเรียนปกติอาจจะไม่เหมาะกับพวกเขา บางคนทำนา ทำงานเซเว่นเกรดไม่จำเป็น แต่เขาอยากได้วุฒิเพราะอย่างน้อยก็การันตีได้ว่าไปทำงานแล้วจะได้มากกว่าค่าแรงแรงงานนอกระบบ” ศุภชัย อุ่นแก้ว รองผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยซ้อ กล่าวถึงภาพรวมของห้องเรียนระบบสอง เช่นเดียวกับที่ พิเศษ ถาแหล่ง  ผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยซ้อ กล่าวว่า การเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน และทักษะชีวิตอยู่นอกตำราได้เช่นกัน 

“เด็กห้องเรียนระบบสองไม่ต้องเข้าห้องเรียนไปเรียนแบบปกติ เขาก็ทำงานหาเลี้ยงชีพของตัวเองไป แต่ต้องมีบันทึกร่องรอยที่สามารถวัดผลประเมินการเรียนรู้ที่จับต้องได้ แต่เด็กๆ ไม่ต้องยุ่งยาก ก็เอางานของเขาที่ทำนี่แหละมาทำเป็นบันทึกร่องรอย แล้วก็จะมีครูเข้าไปสอบถาม ประเมินอย่างการทำนา ต้องใช้ปุ๋ยกี่กระสอบ ถ้าเขาตอบได้ นี่ก็คือการเรียนรู้ของเขาแล้ว เขาก็สามารถเรียนจบได้เหมือนคนอื่นๆ” ผอ.พิเศษ กล่าว 

หน้าตาของบันทึกร่องรอยที่รร.ห้วยซ้อฯ ใช้กับเด็กระบบสองส่วนใหญ่ มี 2 แบบหลักๆ คือแบบแรกจะคล้ายๆ กับสมุดรายงานหน้าปกสีชมพู โดยให้นักเรียนเขียนลงสมุดบันทึก สรุปรายสัปดาห์ รายเดือน เช่น สัปดาห์ที่ 8 : 1-7 ธันวาคม 2567 มีการทำกิจกรรมอะไรบ้าง ปัญหาที่พบ และวิธีแก้ปัญหา สมุดนี้ต้องส่งเมื่อเรียนครบเทอม แล้วมีครูประเมิน พร้อมช่วยตรวจคำผิด และรูปแบบการเขียนที่ถูกหลักไวยากรณ์ เช่น เอ็มเจ เด็กระบบสองทำงานในไร่ส้ม เขียนบันทึกการเรียนรู้จากงานที่ทำ เช่น วันนี้ฉีดพ่นยาตาดอกลำไย ปัญหาที่พบคือความเหนื่อย วิธีแก้ปัญหาคือพักแล้วไปทำต่อ

อีกส่วนหนึ่งคือการโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย หรือไลน์กรุ๊ปถึงกิจกรรมที่ทำ โดยจะมีครูเป็นผู้ดูแลในการสอบถาม เช่น เด็กชายซันไปทำนา จะโพสต์ภาพกำลังใส่ปุ๋ยข้าว แล้วจะมีครูผู้ดูแลเข้ามาสอบถามเพื่อประเมินทักษะวิชาการ เช่น นา 6 ไร่ ต้องใส่ปุ๋ยกี่กระสอบคำนวณอย่างไร แล้วให้เด็๋กชายซันตอบกลับมา 

ผอ.พิเศษ กล่าวว่าบันทึกร่องรอยสามารถปรับเปลี่ยนไปตามบริบทของแต่ละคนได้ และมีความยืดหยุ่นสูง ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เด็กๆ ไม่ย่อท้อต่อการเรียนรู้ และทำให้เห็นว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องง่ายที่แม้เข้าสวนไปตัดยางก็นำมาเป็นทักษะได้ 

“บันทึกร่องรอยของเด็กแต่ละคนจะมีครูผู้ดูแล ติดตาม และรวบรวมคําตอบของเด็กๆ มาวัดผลตามหลักสูตรตามตัวชี้วัดแล้วแปรเป็นผลการเรียนให้เขา ดังนั้นเด็กๆ ไม่ต้องกลัว ถ้าเขามั่นใจในสิ่งที่ทำ เขาก็ได้รับวุฒิเหมือนคนเรียนปกติได้”

ส่วนสำคัญของการประเมินบันทึกร่องรอยการเรียนรู้ หรือการแปลงกิจกรรมในชีวิตมาเป็นผลทางการเรียนที่คณะครูห้วยซ้อฯ ต้องระลึกเสมอคือทําอย่างไรให้เด็กยังรู้สึกและเห็นว่ายังมีความหวังในเรื่องการเรียนอยู่ แทนที่จะทําให้เป็นการประเมินผลที่ทําให้รู้สึกถึงความยากลําบาก ท้อถอย จนไม่ต้องการที่จะเรียนรู้ต่อ


เรื่อง : มยุรา ยะทา 
ภาพ : ธาตรี แสงมีอานุภาพ 

ดาวน์โหลดเพิ่มเติม