พ่อแม่สหรัฐฯ ยังคงนิยมโฮมสคูล แม้โรงเรียนเปิดตามปกติแล้ว
โดย : Carolyn Thompson, Associated Press - PBS
แปลและเรียบเรียง : นงลักษณ์ อัจนปัญญา

พ่อแม่สหรัฐฯ ยังคงนิยมโฮมสคูล แม้โรงเรียนเปิดตามปกติแล้ว

สำนักข่าวเอพีเปิดเผยรายงานพิเศษแสดงผลการสำรวจที่พบว่า บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองในสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งยังคงจัดการศึกษาแบบโฮมสคูล ซึ่งเป็นแนวทางให้การศึกษา โดยที่พ่อแม่รับบทบาทสอนหนังสือให้ลูก ๆ ที่บ้านด้วยตนเองในปีนี้ โดยถือเป็นสัดส่วนที่ยังสูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาดและอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะลดลงจากระดับสูงสุดตลอดกาลเมื่อปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม

รายงานระบุว่า หลายครอบครัวที่หันไปใช้แนวทางโฮมสคูลเป็นทางเลือกแทนการเรียนออนไลน์หรือการเรียนทางไกล ต่างมีเหตุผลที่ต่างกันออกไป รวมถึง ความกังวลเรื่องสุขภาพ ความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของโรงเรียน และความปรารถนาที่จะรักษาสิ่งที่ได้ผลสำหรับบุตรหลานของตน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากรัฐบาลท้องถิ่นใน 18 รัฐของสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมการสำรวจและแบ่งปันข้อมูลในครั้งนี้พบว่า มีจำนวนนักเรียนที่เรียนโฮมสคูลเพิ่มขึ้น 63% ในปีการศึกษา 2020 – 2021 แต่ปรับลดลงเพียง 17% ในปีการศึกษา 2021 – 2022

ขณะเดียวกัน ทางสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่า ก่อนที่ไวรัสโควิด-19 จะระบาด มีนักเรียนในสหรัฐฯ เพียงประมาณ 3% ที่ได้รับการศึกษาแบบโฮมสคูล ซึ่งทิศทางการเรียนโฮมสคูลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นนี้ ทำให้การลงทะเบียนในโรงเรียนของรัฐน้อยลง จนถึงขั้นมีโอกาสที่จะกระทบต่องบประมาณของโรงเรียนในอนาคต โดยยังไม่รวมถึงประเด็นที่ถกเถียงกันมานานในเรื่องแนวทางการควบคุมการศึกษาแบบโฮมสคูลให้ได้มาตรฐานอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังไม่อาจฟันธงได้แน่ชัดก็คือ การที่สัดส่วนการเรียนแบบโฮมสคูลลดลลงในปีนี้จะเป็นการส่งสัญญาณการกลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อนวิกฤตการระบาดของโควิดหรืออาจเป็นสัญญาณว่าการเรียนแบบโฮมสคูลจะกลายเป็นรูปแบบการศึกษาหลักมากขึ้นหรือไม่

Linda McCarthy คุณแม่ชาวสหรัฐฯ ซึ่งอาศัยอยู่ในย่านชานเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ผู้เลือกการเรียนแบบโฮมสคูล ยอมรับว่า ลูกๆ ทั้งสองของตนจะไม่กลับไปเรียนที่โรงเรียนอีกแล้ว โดย Linda ได้เริ่มแนวทางการเรียนแบบโฮมสคูล หลังไม่ชอบบทเรียนออนไลน์ที่ลูกต้องเข้าเรียนเพราะโรงเรียนต้องปิดตัวลงอย่างกะทันหันในฤดูใบไม้ผลิปี 2020 

ในฐานะผู้ช่วยครู Linda เชื่อว่า ตนเองสามารถสอนหนังสือลูกๆ ได้ดีกว่า และผลลัพธ์ความก้าวหน้าด้วยบทเรียนที่ปรับให้เข้ากับความสนใจ รูปแบบการเรียนรู้ และตารางเวลาของลูก ๆ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การตัดสินใจของ Linda เป็นสิ่งที่ถูกต้อง อีกทั้งลูกๆ ยังมีความสุขกับการเรียน เพราะได้เรียนในรูปแบบที่ถูกจริต ไม่ต้องมีการบ้าน และไม่ต้องเสียน้ำตาร้องไห้ในเวลาที่ทำงานไม่เสร็จ

ทั้งนี้ การเรียนแบบโฮมสคูลได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังจากช่วงราวปี 2000 ก่อนที่จะลดระดับลงที่ประมาณ 3.3% หรือนักเรียนประมาณ 2 ล้านคน กระนั้น การเรียนแบบโฮมสคูลก็ฟื้นกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด โดยจาการสำรวจความเห็น พบว่าสาเหตุที่ทำให้การเรียนแบบโฮมสคูลกลับมา มีหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งรวมถึง ความไม่พอใจกับโรงเรียนในละแวกบ้าน ความกังวลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียน และการไม่เห็นด้วยกับการปฎิรูปหลักสูตรการศึกษา

ในส่วนของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียนแบบโฮมสคูลแย้งว่า การเรียนดังกล่าวมีจุดอ่อนตรงที่ไม่มีแนวทางมาตรฐานที่เป็นส่วนกลาง เช่น ในบางรัฐอย่าง คอนเนตทิคัตและเนวาดา ไม่มีข้อกำหนดให้ผู้ปกครองต้องรายงานแผนโฮมสคูลกับทางการ ในขณะที่นิวยอร์ก แมสซาชูเซตส์ และบางรัฐกำหนดให้ผู้ปกครองส่งแผนการสอนและปฏิบัติตามกฎการประเมินอย่างเคร่งครัด 

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การที่แนวทางการศึกษาแบบโฮมสคูลที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นี้ นำไปสู่การที่ทางสภานิติบัญญัติของรัฐทั่วประเทศเร่งพิจารณาหามาตรการต่างๆ เพื่อลดกฎระเบียบเกี่ยวกับครอบครัวที่ทำโฮมสคูล หรือกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่อย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากที่มีการหารือในเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยผู้สนับสนุนให้มีมาตรการดูแลเพิ่มขึ้นนั้น เน้นย้ำไปที่ปัญหาการละเลยหรือล่วงละเมิดเด็ก ขณะที่ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนการเพิ่มมาตรการกวดขันการเรียนแบบโฮมสคูล มองว่าเป็นสิทธิของผู้ปกครองในการจัดการด้านการศึกษาให้แก่ลูกหลานของตนเอง

ทั้งนี้ หน่วยงานการศึกษาของรัฐทั้ง 28 แห่งในสหรัฐฯ ที่ให้ข้อมูลการเรียนแบบโฮมสคูลแก่สำนักข่าวเอพี รายงานว่า การศึกษาแบบโฮมสคูลเพิ่มขึ้นในปี 2020 – 2021 เพราะพ่อแม่หวาดวิตกเกี่ยวกับเรื่องการระบาดของไวรัสโควิดจนทำให้ต้องปิดโรงเรียนเพื่อสกัดกั้นการติดเชื้อ ขณะที่ใน 18 รัฐที่ให้ข้อมูลการลงทะเบียนเรียนปีการศึกษาปัจจุบัน พบว่ามี 17 รัฐ ที่มีรายงานการศึกษาแบบโฮมสคูลลดลงจากเมื่อปีที่แล้ว กระนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตไวรัสโควิด-19 ระบาด 

ยกตัวอย่างเช่น ในรัฐมินเนสโซตา มีรายงานว่า ขณะนี้มีนักเรียน 27,801 คนเรียนหนังสือที่บ้าน เทียบกับ 30,955 คนในปีการศึกษาก่อนหน้า โดยก่อนเกิดวิกฤตการระบาด ตัวเลขโฮมสคูลอยู่ที่ประมาณ 20,000 คนหรือน้อยกว่า

ขณะเดียวกัน ข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ ยังพบว่า ครอบครัวชาวอเมริกันผิวสีเปลี่ยนมาใช้การศึกษาแบบโฮมสคูลมากที่สุด โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าจากระดับ 3.3% เป็น 16.1% ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2020 จนถึงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ประชากรกลุ่มอื่นๆ ในสหรัฐฯ มีการหันมาพึ่งพาการศึกษาแบบโฮมสคูล เพิ่มขึ้นเพียง 2 เท่า

Laine Bradley คุณแม่ชาวสหรัฐฯในนอร์ธ แคโรไลนา กล่าวว่า ข้อบกพร่องของระบบโรงเรียนเริ่มปรากฏชัดเมื่อการเรียนรู้ทางไกลเริ่มขึ้น โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวชาวอเมริกันผิวสีเช่นตนเอง ที่เริ่มตระหนักว่า สิ่งที่โรงเรียนสอนไม่มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์กับลูก ๆ เลย อีกทั้งการเรียนทางไกลยังทำให้ลูก ๆ กลับมาตั้งคำถามมากขึ้นและทำให้แม่อย่างตนต้องมานั่งสอนหลายๆ เรื่องที่โรงเรียนควรสอนแต่ไม่ได้สอนให้กับลูกใหม่ 

งานนี้ Bradley จึงตัดสินใจเปลี่ยนห้องรับประทานอาหารเป็นห้องเรียน และจัดตารางการทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่บริการทางการเงินของตนใหม่เพื่อกำกับการศึกษาของลูกๆ  พร้อมเพิ่มบทเรียนเกี่ยวกับความรู้ทางการเงิน ประวัติศาสตร์ผิวดำ และประวัติศาสตร์แคริบเบียนที่มีความสำคัญต่อเชื้อชาติชาวอเมริกันแอฟริกันเข้าไปแทน

อย่างไรก็ตาม Andrew Bacher-Hicks นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ชี้ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่าขณะที่สัดส่วนการเรียนแบบโฮมสคูลเพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐฯ ในช่วงปีการศึกษาที่แล้ว การเพิ่มขึ้นของการเรียนแบบโฮมสคูลจะมีมากกว่าในเขตพื้นที่การศึกษาที่เปลี่ยนกลับไปเรียนที่โรงเรียน ซึ่งบางทีอาจจะเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ปกครองบางคนจะพร้อมที่จะส่งลูกๆ กลับไปเรียนที่โรงเรียนก็เป็นได้

ยิ่งไปกว่านั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบอสตันรายนี้ กล่าวเสริมอีกว่า นอกจากประเด็นเรื่องความกังวลในเรื่องของสุขภาพจะเป็นปัจจัยผลักดันให้สัดส่วนการเรียนแบบโฮมสคูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองยังมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนที่ต้องพึ่งพาครูทดแทนอย่างมาก เพราะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรครูที่เกิดจากไวรัสโควิดระบาด โดยยังไม่นับรวมปัญหาความวุ่นวายในระบบการศึกษาในโรงเรียน ที่บรรดาผู้ปกครองและผู้กำหนดนโยบายในสถานศึกษายังมีการถกเถียงในประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ เพศ และหนังสือที่ควรจะอยู่ในห้องสมุด

“มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะคลี่คลายปัญหาสองสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้ ซึ่งโดยส่วนตัว ผมเห็นว่าการตัดสินใจออกจากระบบการศึกษาของรัฐส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประเด็นโควิด มากกว่าปัญหาทางการเมือง เพราะปัญหาการเมืองเกิดขึ้นบ่อยและเกิดขึ้นมานานแล้ว และที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นอัตราการเรียนที่บ้านเพิ่มขึ้นแบบนี้มาก่อน” Andrew Bacher-Hicks กล่าว 

ที่มา : As U.S. schools reopen, many families continue to opt for homeschooling