19 มิถุนายน 2568 เครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และ ALTV Thai PBS สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เปิดเวทีรายงานสถานการณ์ “แนวโน้มความเสี่ยงของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนวัยเรียน” ผู้จัดการ กสศ. เผยข้อมูล OBEC CARE ปีการศึกษา 2567 พบว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน เป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนต้องรู้เท่าทันและต้องร่วมมือกันแก้ไข


ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคยาสูบแบบมีควันของประชากรไทย ปี 2534-2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประเทศไทยสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่จากร้อยละ 32 ในปี 2534 เหลือเพียงร้อยละ 16.5 ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการลดลงสูงถึงร้อยละ 48.4 แต่เราก็ยังมีคนสูบบุหรี่อยู่ 10 ล้านคน เนื่องจากคนที่พยายามเลิกก็ยากที่จะเลิกได้ เพราะฤทธิ์เสพติดที่รุนแรงของนิโคติน ดังนั้นต้องป้องกันไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งมีนิโคตินที่ยิ่งเสพง่ายกว่าบุหรี่มวน มาทำให้เยาวชนไทยเข้าไปเสพติดเพิ่ม ซึ่งจะทำให้ไทยยากที่จะบรรลุเป้าหมายสังคมปลอดบุหรี่ ปลอดการเสพติดนิโคติน
ศ.นพ.ประกิต กล่าวเพิ่มเติมว่า การเชิญชวนคุณครูให้ร่วมรณรงค์เพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า เริ่มจากกรอบคิดที่ว่า ถ้าเด็กเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดบุหรี่ จะช่วยลดโอกาสที่เขาจะติดบุหรี่ ทั้งนี้การสูบบุหรี่ของครู แสดงถึงความชอบธรรมของพฤติกรรมผู้ใหญ่ในสายตาของเด็กนักเรียน รวมถึงครูที่ไม่สูบบุหรี่ และนโยบายโรงเรียนปลอดบุหรี่ที่เข้มงวด จะช่วยลดการใช้ยาสูบของนักเรียน ทั้งขณะอยู่ในโรงเรียน และหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนั้นแล้ว


ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยลในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่า “ระดับการศึกษา” มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมด้านสุขภาพสูงถึงร้อยละ 60 โดยชุมชนที่มีระดับการศึกษาสูงขึ้นจะมีแนวโน้มการสูบบุหรี่และภาวะโรคอ้วนลดลง ส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“ผลวิจัยนี้เปรียบเทียบข้อมูลในช่วงเวลา 30 ปี พบว่า ชุมชนที่ประชากรมีการศึกษาสูงขึ้น จะตระหนักเรื่องปัญหาสุขภาพ เคารพกติกาสังคม เช่น การงดสูบบุหรี่ และมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาวะมากขึ้น หากเราต้องการเห็นคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา เพื่อหยุดวงจรความเสี่ยงเหล่านี้ตั้งแต่ต้นทาง” ดร.ไกรยส กล่าว

ในประเทศไทย ปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนกำลังเป็นประเด็นที่น่าห่วง ล่าสุด กสศ. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พัฒนาระบบ OBEC CARE ซึ่งเป็นต้นแบบระบบสารสนเทศเพื่อหลักประกันโอกาสทางการเรียนรู้ และการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. ครอบคลุมการคัดกรองความเสี่ยงหลากหลายมิติ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สุขภาพกายใจ สวัสดิภาพ ความปลอดภัย รวมถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด
ข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปีการศึกษา 2567 ซึ่งครูได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1–ม.6 รวม 124,606 คน ใน 1,699 โรงเรียนจาก 30 เขตพื้นที่การศึกษานำร่อง พบว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีแนวโน้มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวนแล้ว โดยข้อมูลเชิงลึกจากการคัดกรองนักเรียนทั้งหมดระบุว่า ร้อยละ 24.77 เคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 22.04 คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า ร้อยละ 20.29 อาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ก็อาจเร่งให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเร็วยิ่งขึ้น โดยได้เชิญชวนผู้บริหารสถานศึกษาและครูนำข้อมูลจาก OBEC CARE วางมาตรการป้องกันที่ตอบโจทย์บริบทแต่ละพื้นที่


“ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา มีความซับซ้อนมากกว่าปัจจัยด้านความยากจนเพียงอย่างเดียว ในปีการศึกษา 2568 นี้ กสศ. และ สพฐ. ได้ขยายการใช้งานระบบ OBEC CARE ไปยังทั้ง 245 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาเครื่องมือให้ครูใช้ได้สะดวก ลดภาระในการกรอกข้อมูล และสามารถเข้าถึงข้อมูลเด็กแต่ละรายได้รวดเร็วขึ้น การเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลา จะช่วยให้ครูและโรงเรียนเฝ้าระวัง จัดการ และช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ไกรยส กล่าว




ขณะที่ ดร.ธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ ตระหนักถึงความสำคัญของการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งนับเป็นปัญหาระดับชาติเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงอันตรายของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเยาวชนที่อยู่ในช่วงวัยที่ควรได้รับการพัฒนาให้รอบด้าน ทักษะด้านการศึกษาและสังคม ดังนั้น การจัดให้เด็กอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และสถานศึกษาควรเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่จะปลูกฝังค่านิยมให้เยาวชนปลอดภัยจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

ทั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ที่ลงนามโดย ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่กำหนดมาตรการไว้ 4 ข้อ ดังนี้
1) สร้างความตระหนักรู้เท่าทันพิษภัยและโทษของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งต่อสุขภาพร่างกายและโทษทางอาญาให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหารทุกระดับ และเจ้าหน้าที่ อาทิ สอดแทรกเนื้อหาหรือหลักสูตรการเรียนการสอน กิจกรรม สื่อประซาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ
2) ให้ผู้รับผิดชอบสถานศึกษาหรือสถานที่ทำงาน จัดให้มีเครื่องหมายแสดงไว้ให้เห็นได้โดยชัดเจนว่าเป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
3) ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นสอดส่องดูแลหรือป้องกันมิให้นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และเจ้าหน้าที่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าทั้งการสูบ จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง หรือสนับสนุนอย่างหนึ่งอย่างใด
4) หากมีกรณีตรวจพบ หรือมีการร้องเรียนกล่าวหา หรือกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยตามอำนาจหน้าที่ทันที


ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาในประเทศไทย โดยอ้างอิงกรอบแนวคิดนิเวศวิทยาทางสังคม (Social-Ecological Model) ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว สถานศึกษา ไปจนถึงบริบททางสังคมโดยรวม
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ในระดับบุคคลการมีระดับการรับรู้อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าในระดับสูงสัมพันธ์กับโอกาสการทดลองใช้น้อยลงถึงร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการรับรู้ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม กลับพบว่านักเรียนถึงร้อยละ 46 ยังมีการรับรู้เกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินมาตรการส่งเสริมการรับรู้ที่ถูกต้องและเข้าถึงได้ในกลุ่มเยาวชน
ในระดับครอบครัวพบว่านักเรียนร้อยละ 10 อาศัยอยู่ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า และมีผู้ปกครองร้อยละ 28 ที่ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าในระดับต่ำ นอกจากนี้ ผู้ปกครองร้อยละ 43 ไม่ได้มีบทบาทในการควบคุมหรือกำกับดูแลพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของบุตรหลานอย่างสม่ำเสมอ ปัจจัยเหล่านี้มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อโอกาสในการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวของนักเรียน

ในระดับสถานศึกษา ซึ่งควรทำหน้าที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย พบว่านักเรียนร้อยละ 37 รายงานว่าพบเห็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าภายในโรงเรียน โดยกลุ่มนี้มีโอกาสทดลองใช้เพิ่มขึ้นถึง 1.2 เท่า ในทางกลับกัน โรงเรียนที่มีการดำเนินกิจกรรมให้ความรู้และรณรงค์เกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ช่วยลดโอกาสการทดลองใช้บุหรี่ไฟฟ้าลงได้ร้อยละ 20 และลดอัตราการใช้จริงลงได้ถึงร้อยละ 40 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทเชิงบวกของโรงเรียน ในฐานะกลไกสำคัญในการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มนักเรียน และ ในระดับสังคมโดยรวมพบว่าช่องทางการเข้าถึงผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าผ่านสื่อออนไลน์และการตลาดดิจิทัลเป็นปัจจัยกระตุ้นที่มีนัยสำคัญ โดยนักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าร้อยละ 66.7 รายงานว่าสั่งซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ต และร้อยละ 58.3 เคยพบเห็นโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการทดลองใช้บุหรี่ไฟฟ้าขึ้นถึง 1.6 เท่า นอกจากนี้ ยังพบว่านักเรียนร้อยละ 14.1 สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากร้านค้าในชุมชน เช่น ตลาดนัดหรือร้านค้าปลีกทั่วไป ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ควรได้รับการควบคุมอย่างเร่งด่วน