กสศ. เปิดเวทีระดมข้อเสนอ เดินหน้า “ครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 2” ปี 2569 ยกระดับการผลิตครูระบบปิด สร้างครูคุณภาพคืนสู่บ้านเกิด ครอบคลุมโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล

กสศ. เปิดเวทีระดมข้อเสนอ เดินหน้า “ครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 2” ปี 2569 ยกระดับการผลิตครูระบบปิด สร้างครูคุณภาพคืนสู่บ้านเกิด ครอบคลุมโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา จัดเวทีเสวนาวิชาการ “จากภาคปฏิบัติการสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย: มาตรการการผลิตและพัฒนาครู เพื่อสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนและระดมข้อเสนอในการขับเคลื่อนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีการศึกษา 2569 โดยความร่วมมือกับ 7 หน่วยงานเชิงระบบ และ 20 สถาบันผลิตครูทั่วประเทศ มุ่งยกระดับมาตรฐานการผลิตครูระบบปิด สร้างครูคุณภาพกลับไปประจำการในโรงเรียนบ้านเกิด แก้ปัญหาการขาดแคลนครูและครูโยกย้ายในพื้นที่ห่างไกลอย่างยั่งยืน

เวทีครั้งนี้มีผู้แทนจาก 7 หน่วยงานความร่วมมือเชิงระบบ เข้าร่วม ประกอบด้วย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.), สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา, สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) พร้อมด้วยอธิการบดี คณบดี และคณาจารย์จากคณะศึกษาศาสตร์และครุศาสตร์จาก 20 สถาบันอุดมศึกษา ในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น และโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อเสนอเชิงนโยบาย ณ โรงแรมรามาการเดนส์ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 27–28 สิงหาคม 2568

รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ

รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ คณะกรรมการบริหาร กสศ. และประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบการผลิต พัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล และพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการผลิตครูในระบบปิด ภายใต้โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น คือการ ‘ค้นหาตัวจริง’ ที่มีความตั้งใจอยากเป็นครู ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มข้นและรอบด้าน ทำให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการได้รับการบรรจุเข้าสู่ตำแหน่งครูประจำการในโรงเรียนปลายทาง ครบ 100% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของกระบวนการคัดเลือกและการทำงานของสถาบันผลิตครูที่เข้าร่วมโครงการ

รศ.ดร.ดารณี กล่าวต่อว่า ในระหว่างกระบวนการคัดเลือก สถาบันต่าง ๆ ได้ลงพื้นที่ไปพบกับนักเรียน ครอบครัว และชุมชน ทำให้เห็น ‘บริบทจริง’ ของแต่ละพื้นที่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำกลับมาใช้ในการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม และความต้องการของท้องถิ่นอย่างแท้จริง นี่คือเป้าหมายสำคัญของโครงการในการผลิตครูให้ตอบโจทย์โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีข้อจำกัดหลายด้าน

“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นพิสูจน์ให้เห็นว่า เด็ก ๆ ที่ได้รับโอกาส แม้อยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลน ก็สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม” รศ.ดร.ดารณี กล่าว

ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับการตอบรับในระดับนโยบายจากภาครัฐ ซึ่งเกิดจากความตั้งใจในการยกระดับคุณภาพการผลิตและพัฒนาครูระบบปิด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา 

ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา โครงการได้ขับเคลื่อนการทำงานอย่างต่อเนื่อง 5 รุ่น ให้เกิดการขยายผลครอบคลุมโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล บนภูเขา บนเกาะ พื้นที่เสี่ยงภัย ชายแดน พื้นที่ทุรกันดาร พื้นที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ โรงเรียนที่มีการโยกย้ายบ่อย รวมกว่า 1,500 โรงเรียน และสร้างครูรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบเฉลี่ยปีละกว่า 300 คน ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และพิสูจน์ให้เห็นว่า นวัตกรรมทางการศึกษา และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คือกุญแจสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ได้จริง

ดร.ไกรยส กล่าวว่า ความสำเร็จของโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มาจากการเชื่อมโยง เครือข่ายภาคีการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ที่ร่วมกันทำให้เกิด ‘จุดคานงัด’ ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเป็นระบบ

“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นเป็นอีกหนึ่งโครงการของ กสศ. ที่สร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ให้กับเด็กเยาวชนที่มีศักยภาพและมีความตั้งใจจริงที่เป็นครู ให้สามารถพัฒนาตัวเองจนสำเร็จการศึกษาด้านครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และกลับไปสอนในโรงเรียนบ้านเกิดที่ภูมิลำเนาของตัวเอง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปัญหาการขาดแคลนครูในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ ฝึกฝนการเป็นครูที่เข้าใจบริบทชุมชนของตนเองอย่างแท้จริง”

นอกจากนี้ ดร.ไกรยสยังกล่าวว่า จากบทเรียนและความสำเร็จที่เกิดขึ้น กสศ. จึงได้หารือกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมขยายผลโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 2 ให้ครอบคลุมมากกว่า 5 รุ่นที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว โดยวางแผนพัฒนา ‘การผลิตครูในระบบปิด’ ให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของโรงเรียน โดยเตรียมข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สนับสนุนทั้งในมิติปริมาณ และ คุณภาพ ของครูระบบปิดที่ประเทศต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 หมุดหมายที่ 9 ที่มุ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

“ประสบการณ์จากโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การสร้างครูคุณภาพให้เติบโตในระบบการศึกษาไทย ไม่สามารถทำได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจาก ชุมชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานท้องถิ่น ในการร่วมพัฒนา 

“ทั้งนี้ การปฏิรูปการผลิตครูจำเป็นต้องสร้างกลไกความร่วมมือ และนวัตกรรมเชิงพื้นที่ ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาโรงเรียนในชุมชน ซึ่งไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพครูและโรงเรียน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุ่น และสร้างความยั่งยืนให้กับระบบการศึกษาไทยในระยะยาว” ดร.ไกรยส กล่าว

รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์

รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า แนวโน้มของโลกในการพัฒนาวิชาชีพครูกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยข้อมูลจากการประชุมระดมความคิดเห็นของประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD พบว่า ในช่วงปี 2025–2027 ‘ปัญหาการขาดแคลนครู’ และ ‘ความท้าทายในการดึงดูดคนเก่งเข้าสู่วิชาชีพครู’ เป็นประเด็นสำคัญอันดับแรกใน 7 ประเด็นหลัก ที่ผู้กำหนดนโยบายด้านการศึกษาทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะถือเป็นคานงัดที่จะพลิกโฉมการศึกษาในอนาคต

รศ.ดร.ประวิต กล่าวต่อว่า การผลิตและพัฒนาครูเป็นโจทย์ท้าทายที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ เพราะต้องหาวิธีฝึกหัดครูที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาการศึกษาในยุคปัจจุบันและอนาคต องค์การ OECD กำหนดว่า ภายในปี ค.ศ. 2030–2040 ระบบการศึกษาควรมุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) ที่ทำให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะได้รอบด้าน ซึ่งหัวใจสำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ คือ การสร้างครูที่มีคุณภาพ ทั้งด้านวิชาการ ความเชี่ยวชาญ และสุขภาวะที่ดี เพื่อให้ครูมีอิสรภาพทางวิชาการ และสามารถเจริญเติบโตในวิชาชีพได้อย่างเต็มศักยภาพ

“ถ้าลดภาระงานที่ไม่ใช่การสอน และให้ครูมีเวลาในการพัฒนาศักยภาพของตนเองมากขึ้น ครูจะสามารถส่งผลโดยตรงถึงผู้เรียน และกลายเป็นจุดคานงัดสำคัญของระบบการศึกษา ครูที่มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองจะสามารถสร้างเครือข่ายวิจัยที่เข้มแข็ง และผลักดันการยกระดับคุณภาพการศึกษาได้ในหลายมิติ ปัจจุบันการผลิตและพัฒนาครู จึงยังเป็นความท้าทายอย่างยิ่งกับการพัฒนาประชากรสู่โลกยุคใหม่”

สำหรับประเทศไทย รศ.ดร.ประวิต ชี้ว่า การผลิตครูใน ‘ระบบปิด’ ถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดแคลนครูในพื้นที่เปราะบางและโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ยังไม่สามารถทำได้เต็มรูปแบบ 100% เนื่องจากระบบการศึกษาของไทยมีความหลากหลายและซับซ้อน โดยปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าต้องการครูในแต่ละสาขาและแต่ละสังกัดจำนวนเท่าใด แม้กระทรวงศึกษาธิการสามารถระบุได้ว่ามีความต้องการครูในระบบอยู่ประมาณหมื่นกว่าคนต่อปี แต่ตัวเลขนี้ยังไม่ครอบคลุมครูเอกชน ครูสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ครูของกรุงเทพมหานคร รวมถึงครูในสังกัดอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ประวิตเสนอว่า ประเทศไทยควร เพิ่มสัดส่วนการผลิตครูระบบปิดเป็น 50% จากปัจจุบันที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดไว้ที่ 25% เพื่อให้สามารถวางแผนกำลังคนด้านการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ข้อมูลการบรรจุและแต่งตั้งครูในแต่ละปีเป็นตัวกำหนดจำนวนการผลิตครูระบบปิดที่ชัดเจน และกำหนดเงื่อนไขการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับความต้องการจริงในพื้นที่

“หากเราสามารถผลิตครูระบบปิดให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของโรงเรียน และกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมได้ จะช่วยให้หน่วยงานต้นสังกัด เช่น สพฐ., อปท., สอศ., สกร. หรือ กทม. สามารถวางแผนสร้างครูเฉพาะด้านเพื่อตอบโจทย์พื้นที่ได้จริง โดยเฉพาะในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล โรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่สามารถควบรวมหรือยุบได้ รวมถึงศูนย์การศึกษาพิเศษและศูนย์การเรียนรู้เฉพาะกลุ่ม ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญสู่การยกระดับระบบการผลิตครูทั้งเชิงคุณภาพและความเสมอภาคอย่างยั่งยืน” รศ.ดร.ประวิต กล่าว

ดร.อุดม วงษ์สิงห์

ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา กสศ. กล่าวว่า การแลกเปลี่ยนบทเรียน ข้อค้นพบ และข้อเสนอในเวทีนี้ กสศ. จะประมวลเพื่อออกแบบแนวทางพัฒนาการผลิตครูระบบปิดภายใต้โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ระยะที่ 2 ซึ่งจะเริ่มสนับสนุนทุนในปีการศึกษา 2569 โดยมุ่งสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ และเครือข่ายชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพครูและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

ดร.อุดมกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นระยะที่ 1 (ปีการศึกษา 2563-2567) ได้สร้างกลไกการทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การค้นหา คัดเลือก และคัดกรองนักเรียนที่มีศักยภาพเข้าสู่โครงการให้ตรงกับความต้องการของโรงเรียนปลายทาง พัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ และติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 1 จำนวน 327 คน ได้รับการบรรจุเป็นครูประจำการใน 285 โรงเรียน จากการติดตามพบว่า โรงเรียนปลายทางมีพัฒนาการด้านคุณภาพการสอนและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“จุดแข็งสำคัญของโครงการ คือการเปิดโอกาสให้โรงเรียนปลายทางมีส่วนร่วม ในการคัดเลือกนักศึกษาครูตั้งแต่ต้น ทำให้ได้บุคลากรที่ตอบโจทย์ความต้องการจริง และสามารถกลับมาประจำการในโรงเรียนบ้านเกิดของตนเอง สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาการโยกย้ายครู แต่ยังสร้างครูที่เข้าใจบริบทของพื้นที่ โรงเรียน และชุมชน ทำให้สามารถออกแบบการสอนและแผนพัฒนาการศึกษาที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง” ดร.อุดม กล่าว

การประชุมครั้งนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญในการระดมความคิดเห็นจาก 20 สถาบันผลิตครูต้นแบบในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น และโครงการพัฒนาครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน รวมถึงผู้แทนจากโครงการผลิตครูที่สำคัญของประเทศ อาทิ โครงการคุรุทายาท, โครงการเพชรในตม, โครงการครูผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และ โครงการครูพันธุ์ใหม่/ครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางและประสบการณ์การทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับการพัฒนาโครงการผลิตครูระบบปิดขอประเทศในภาพ