ทำไมถึงท้อง : ปัญหาใต้พรมที่มากกว่า ‘คึกคะนอง’ ซับซ้อนกว่า ‘ไม่ป้องกัน’ ทำพ่อแม่วัยรุ่น (ยอม) หลุดระบบ

ทำไมถึงท้อง : ปัญหาใต้พรมที่มากกว่า ‘คึกคะนอง’ ซับซ้อนกว่า ‘ไม่ป้องกัน’ ทำพ่อแม่วัยรุ่น (ยอม) หลุดระบบ

“ตอนนี้หนูฝันแค่อยากเรียนต่อให้จบ มีงานทำ มีอะไรเป็นของตัวเอง” แยม กลุ่มฅนวัยใสกล่าว

การท้องในวัยเรียนเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ‘พ่อแม่วัยรุ่น’ หลายราย (ยอม) ออกจากระบบการศึกษาแม้ว่าจะยังคงมีความต้องการที่จะเรียนต่อก็ตาม ทำให้พวกเขาขาดทักษะในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและลูก สูญเสียเป้าหมายในชีวิต และถูกสังคมตีตรา

ซึ่งคำว่า ‘พ่อแม่วัยรุ่น’ เป็นคำศัพท์สากลในการเรียกกลุ่มเยาวชนที่เผชิญหน้ากับปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนแทนคำว่า ‘พ่อแม่วัยใส’ ที่มักพบเจอในวงสนทนาทั่วไป

รายงานสถิติการคลอดของแม่วัยรุ่นประเทศไทย จากสํานักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย‬ ระบุว่า ตัวเลขอัตราคลอดของวัยรุ่นหญิงอายุ 15 – 19 ปีนั้น ลดลงจาก 53.4 ต่อประชากรหญิง 1,000 คน (ปี 2555) เหลือ 21.1 ต่อ 1,000 คน ในปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมของจำนวนเคสคุณแม่วัยรุ่นในประเทศไทยยังคงน่ากังวล เพราะมีจำนวนเคสจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขรวมกันกว่า 40,888 คน

ปัญหาพ่อแม่วัยรุ่นเกิดได้จากปัจจัยที่หลากหลายและซับซ้อนมากกว่าความคึกคะนองอย่างที่คนในสังคมเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ทำให้เยาวชนมีความต้องการที่จะมีครอบครัวใหม่ของตัวเอง ปัญหายาเสพติดในชุมชน ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาความยากจน ตลอดจนพ่อแม่ของพ่อแม่วัยรุ่นเคยเป็นพ่อแม่วัยรุ่นมาก่อน ทำให้ไม่สามารถเป็นตัวอย่างหรือให้คำแนะนำกับลูกของตนได้

“ในกรณีที่ครอบครัวมีการใช้ความรุนแรง การมีคนรัก มีลูก แต่งงาน เป็นวิธีการที่จะพาเขาออกจากครอบครัวเดิมได้” จิตติมา ภาณุเตชะ นายกสมาคมเพศวิถีศึกษา อธิบาย

มิหนำซ้ำ แบบเรียนเพศศึกษาในรั้วโรงเรียนของไทยยังไม่สามารถให้ความรู้กับเยาวชนได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน เพราะบางสถานศึกษาแม้จะสอนให้นักเรียนรู้จักการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกัน แต่ไม่ได้แนะนำวิธีการใช้ที่ถูกต้อง และเมื่อเกิดการท้องในวัยเรียนขึ้น แม่วัยรุ่นไม่สามารถดูแลตัวเองให้ดีได้ เพราะแบบเรียนไม่มีการสอนถึงวิธีปฏิบัติเบื้องต้นตลอดจนสิทธิที่ตัวเองควรได้รับ

“โรงเรียนไม่สอนอะไรเลย ไม่มีถุงยางหรืออะไรให้ มีแต่ให้อนามัยเข้ามาแนะนำ” ข้าวปุ้น จากกลุ่มฅนวัยใสกล่าว

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการบังคับใช้ ‘พ.ร.บ. การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ปี 2559’ เพื่อคุ้มครองสิทธิในการเรียนต่อของพ่อแม่วัยรุ่นที่ทำให้ตัวเลขการหลุดจากระบบการศึกษาของเยาวชนลดลง แต่พ่อแม่วัยรุ่นยังคงเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัวจากการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นการตีตราของสังคมที่มีต่อพ่อแม่วัยรุ่น ทำให้พวกเขาไม่กล้าไปเรียนและต้องการที่จะเก็บตัว หรือปัญหาด้านเศรษฐกิจของครอบครัวที่ทำให้พ่อแม่วัยรุ่นต้องการลาออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองและลูก

“ตอนที่ออกจากโรงเรียน แยมออกมาเลย ไม่ไปโรงเรียน ไม่ได้ลาออก ตอนเรียนกศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ก็ใช้วุฒิ ป.6 เข้า” แยมอธิบาย

ข้อมูลจากสมาคมเพศวิถีศึกษาระบุว่า เมื่อพ่อแม่วัยรุ่นรู้ว่าตัวเองตั้งท้องและตัดสินใจที่จะท้องต่อ ส่วนมากจะตัดสินใจลาออกกลางคัน ทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่ว่าจะเป็นการค้างค่าเทอม เอกสารเกี่ยวกับการศึกษาขาดหาย ส่งผลให้การกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้งเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัครเข้าเรียน

เหตุผลที่ทำให้แม่วัยรุ่นเลือกที่จะท้องต่อ คือ การไม่ได้รับคำแนะนำให้ยุติการตั้งครรภ์ และกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถเข้าถึงแม่วัยรุ่นได้ ก็พ้นช่วงระยะเวลาที่สามารถทำแท้งได้ไปแล้ว เช่น กรณีของข้าวปุ้นที่ดรอปเรียนหลังจากเพิ่งทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน ซึ่งจิตติมาชี้ว่า นี่คือการท้องด้วย ‘ความจำยอม’ เพราะไม่มีทางออกอื่นแล้ว

นอกจากนี้ หลังจากคลอดลูก แม่วัยรุ่นมักไม่มีความคิดที่จะเรียนต่อหากไม่มีคนช่วยเลี้ยงดูลูกของตนให้ เพราะแม่วัยรุ่นไม่มีเป้าหมายในชีวิตอื่นใดนอกจากการเอาตัวเองและลูกให้รอด พ่อแม่วัยรุ่นจึงเลือกไปทำงานที่มีรายได้ต่ำ หรือมีลักษณะของเนื้องานที่ไม่เหมาะสมกับวัยแทนการกลับสู่ระบบการศึกษา 

ไม่ว่าจะสมัครใจหรือไม่ก็ตาม แต่การออกจากระบบการศึกษาทำให้เหล่าพ่อแม่วัยรุ่นขาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง นำไปสู่การขาดความพร้อมในการดำเนินชีวิต ขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ กลายเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพและมีรายได้ต่ำเพราะไม่มีวุฒิการศึกษา และอาจส่งต่อวัฏจักรนี้ให้กับลูกของตัวเองต่อไปอย่างไม่รู้จบ

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานนอกระบบ และที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า การตัดวงจรความยากจนข้ามรุ่น และการส่งต่อของปัญหาพ่อแม่วัยรุ่น ต้องมีกระบวนการการสนับสนุนและความร่วมมือจากครอบครัวและภาคประชาสังคมในการประคับประคองเยาวชนกลุ่มนี้ 

พ่อแม่วัยรุ่นจึงต้องมีพื้นที่ปลอดภัยในการลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ที่ผลักพวกเขาเข้าสู่ระบบการศึกษาทั่วไปโดยไม่ช่วยแก้ปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรม เพราะจะทำให้การผลักดันนั้นไม่ยั่งยืน สร้างบาดแผลซ้ำเติมให้กับพ่อแม่วัยรุ่น 

แต่พื้นที่ปลอดภัยในความหมายนี้คือพื้นที่ที่เข้าใจปัญหาที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา ที่ดำเนินการโดยคนที่เข้าใจพวกเขา อาทิ ‘หน่วยการเรียนรู้กลุ่มฅนวัยใส จังหวัดเชียงใหม่’ 1 ใน 40 หน่วยการเรียนรู้ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ทำงานใกล้ชิดกับกลุ่มแม่วัยรุ่นอย่างเข้าใจ

ซึ่งหน่วยการเรียนรู้กลุ่มฅนวัยใสเป็นพื้นที่โครงการที่ให้คำปรึกษาและส่งเสริมทักษะอาชีพให้กับพ่อแม่วัยรุ่น ภายใต้แนวคิดที่ว่า หากพ่อแม่วัยรุ่นสามารถพัฒนาตัวเองได้จากทักษะวิชาชีพ สร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ พวกเขาจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ชุมชนจะมองเห็นตัวตนและช่วยเหลือพวกเขา ทำให้มีโอกาสทำตามความฝัน และทำให้ลูกของพวกเขาสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างสำเร็จ ไม่เกิดวัฏจักรการหลุดจากระบบซ้ำอีกครั้ง

อ้างอิง

ดาวน์โหลดเพิ่มเติม