พาชาติก้าวพ้นประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยอาชีวศึกษา

พาชาติก้าวพ้นประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยอาชีวศึกษา

แรงงานจากภาคอาชีวศึกษานับเป็นบุคลากรที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และจะเป็นอีกำลังสำคัญที่จะประเทศเพื่อก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง แต่ปัจจุบันยังมีคนที่เรียนในสายอาชีวศึกษาค่อนข้างน้อย  จำเป็นที่ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนส่งเสริม  ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาเรียนในสายอาชีวศึกษาเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งให้การสนับสนุนพัฒนาการเรียนการสอนในสายอาชีวศึกษาให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งแต่ละประเทศทั่วโลกมีแนวทางการสนับสนุนส่งเสริมอาชีวศึกษาด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งหลายแนวทางที่ตอบโจทย์บริบทของประเทศตัวเอง

ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนจากการเกษตรสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น  ทำให้เราต้องปรับทิศทางเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนให้มีศักยภาพสูงขึ้นในแต่ละเซ็คเตอร์ ทั้ง การท่องเที่ยว แพทย์ ดิจิทัล โลจิสติกส์ แต่ที่ผ่านมาโอกาสทางการศึกษาในระดับสูงยังมีข้อจำกัด  ดังนั้นจึงถึงเวลาทที่ต้องพัฒนากำลังคนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการจะก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางจะต้องสร้างกำลังคน ซึ่งส่วนที่สำคัญคือระดับอาชีวศึกษาเพื่อให้ไปเชื่อมต่อระหว่างฝ่ายบริหารระดับสูงกับคนทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าบุคลากรทางอาชีวศึกษายังมีน้อย ​คนที่จบ ปวช.เพียงประมาณ 6 แสนกว่าคน  จบปวส. 3.6 แสนคน และจบปริญญาตรีประมาณ  1 หมื่นคน ดังนั้นภาครัฐจะต้องมีกลไกสนับสนุนส่งเสริม ยิ่งในวันที่มีนักศึกษาออกกลางคัน 8 หมื่นคน ต่อปี  รัฐจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจทำให้เขามีทางเลือก เพราะในวันที่เขาเลือกมาเรียนในวันที่จบมัธยมแทนที่จะออกไปทำงาน ย่อมทำให้เขาขาดรายได้  ดังนั้นต้องพยายามทำให้เขามีรายได้ระหว่างเรียน เพื่อให้เขาเข้าสู่ระบบตรงนี้มากขึ้น  อีกทั้ง สถานศึกษาสายอาชีวะมีอยู่ 429 แห่งซึ่งถือว่าไม่น้อย และมีความหลากหลายพร้อมที่จะพัฒนาคนอยู่ที่เราจะดึงดูดคนเข้ามาได้อย่างไร

ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“การที่เขามีการศึกษาสูงขึ้นย่อมทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มากขึ้นในอนาคต เราจึงต้องส่งเสริมให้คนมีศักยภาพ เดินต่อไปเพื่อให้มีโอกาสในอนาคตสูงขึ้น เงื่อนไขอยู่ที่ประเทศจะตัดสินใจเลือกลงทุนสร้างคนแบบนี้อย่างไร รูปแบบจากต่างประเทศมีหลายแบบ ทั้งการให้แบบเหวี่ยงแหที่จะไม่ทำให้ไม่ได้เด็กที่มีคุณภาพ ผลประโยชน์ก็จะลดลง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเลือกคนที่มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่มีความผสมผสาน และทำให้ความเสมอภาคมากขึ้นตรงตามวัตถุประสงค์ของกสศ.”​

ผศ.ดร.ศุภชัย กล่าวว่า  ในต่างประทศมีตัวอย่างเช่น ทุน PROGRESA   ของแมกซิโก และ บราซิล  ที่ให้แบบเหวี่ยงแห ทำให้เกิดการใช้เงินแบบไม่เหมาะสม สุรุ่ยสุร่าย ผลสัมฤทธิ์ทางสุขภาพไม่ดีจนต้องมีการปรับรูปแบบกองทุน มีระบบกำกับติดตามทำให้ผ่านไป 18 เดือน สถานการณ์ดีขึ้น รวมทั้งมีการสร้างแซนด์บอกซ์เตรียมความพร้อมก่อนเข้าโครงการ ขณะที่ The Roma Education Fund   ที่มีความหลากหลาย ทั้งทุนภาคประชาสังคม ทุนให้สถานศึกษา ขยายโอกาส ยกระดับผลการเรียน เพิ่มโอกาสจ้างงาน มอบทุน ปริญญาตรี โท  ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ กสศ. ทำเราเริ่มเห็นผลคือการขยายโอกาส ยกระดับการศึกษา

เปลี่ยนภาพลักษณ์  “อาชีวศึกษา” ดึงภาคธุรกิจร่วมสนับสนุนการพัฒนา

นอกจากนี้  กสศ. ยังมีทุนอื่นเช่นทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงที่ลงทุนเพื่อจะทำให้เด็กได้เรียนต่อสายอาชีพในระดับที่สูงขึ้นเพื่อ ให้เขามีโอกาสมีอนาคต มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และผลที่ได้ไม่ใช่เกิดกับเด็กแต่ยังเกิดกับประเทศ ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ลดอัตราการเกิดอาชญากรรม ครอบครัวชีวิตดีขึ้น ซึ่งจากการคำนวณแล้วทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงปีแรกจะช่วยให้ผลตอบแทนหลายร้อยล้าน​สำหรับสิ่งที่ต้อง ต่อไปก็คือ การเพิ่มปริมาณคุณภาพ และขยายผล การออกแบบทุนการศึกษาเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ซึ่งนวัตกรรมที่ กสศ.ทำมาทั้งหมดนั้นช่วยได้  และ สุดท้ายคือขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

“สิ่งที่ กสศ. ทำถือว่ามาถูกแล้ว ​ที่ต้องทำให้เกิดความตระหนักให้เห็นความสำคัญของอาชีวศึกษา วันนี้ภาพอาชีวะ​คนยังหวาดกลัวอาจต้องสร้างภาพใหม่ให้สายอาชีพ เป็นกระบวนการสำคัญ​ไปจนถึงการ​นำภาคเอกชนเข้ามา ตลอดจนการทำความร่วมมือ  นำองค์ความรู้ไปต่อยอดเชิงธุรกิจ เพิ่มมูลค่า  หรืออีกหน่อยอาจจะพัฒนารูปแบบทุนไปเป็นฮิวแมนคอนแทรคท์ ที่ให้ภาคธุรกิจมาร่วมกับกสศ. ให้ทุน ฟูมฟักนักศึกษา เหมือนให้เขามาซื้อตัวเด็กตั้งแต่ยังอยู่ในสถาบันการศึกษา  เด็กก็จะมีความภักดีต่อองค์กร เกิดการต่อยอดทำงานร่วมกันกับองค์กรตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ซึ่งทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และช่วยให้เด็กมีความฝันตอบโจทย์ของตัวเอง”​  ผศ.ดร.ศุภชัยกล่าว