เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาแนวทางการดำเนินงานกับสถาบันต้นแบบการผลิตและพัฒนาครู 10 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี
ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นระยะที่ 2 ให้เกิดความต่อเนื่องสู่รุ่นที่ 6 ในปีการศึกษา 2569 จากความร่วมมือระหว่าง กสศ. และหน่วยงานหลักด้านการศึกษาของประเทศ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เพื่อยกระดับระบบการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร แก้ปัญหาครูขาดแคลนและโยกย้ายบ่อย พร้อมกับสร้างครูรุ่นใหม่กลับไปพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่บ้านเกิด

รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ คณะกรรมการบริหาร กสศ. และประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบการผลิตพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ได้ดำเนินการครบ 5 รุ่นเมื่อปีการศึกษา 2567 ที่ผ่านมา โดยในระยะที่ 2 รุ่นที่ 6 นี้ ยังคงเป็นการดำเนินงานภายใต้ความเชื่อมั่นในพลังของสถาบันผลิตและพัฒนาครูทั้ง 10 แห่ง ที่มุ่งมั่นทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนยากจนด้อยโอกาสที่มีศักยภาพและมีใจรักอยากเป็นครู ได้รับโอกาสทางการศึกษาจนสำเร็จการศึกษาและบรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ซึ่งเป็นชุมชนบ้านเกิด เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนครูและการโยกย้ายออกจากพื้นที่

รศ.ดร.ดารณี กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้ยังมุ่งหวังให้นักศึกษาผู้รับทุนได้รับการบ่มเพาะจิตวิญญาณความเป็นครู ควบคู่กับการเป็นนักพัฒนาชุมชนที่เข้าใจบริบทท้องถิ่นอย่างแท้จริง โดยเชื่อมั่นว่าด้วยพลังความร่วมมือจากทั้ง 10 สถาบันการศึกษา จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ เป็นโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการในพื้นที่จริงที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในการผลิตและพัฒนาครู ซึ่งส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพโรงเรียน ชุมชน และท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนายพิเชษฐ โพธิ์ภักดี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นนวัตกรรมที่ดำเนินการภายใต้แนวคิดสำคัญ “พัฒนาชุมชนด้วยคนในชุมชนเอง” โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีความมุ่งมั่นและมีใจรักในวิชาชีพครู ได้เข้ารับการเรียนรู้และฝึกฝนกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในท้องถิ่น เพื่อกลับไปทำงานและพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่บ้านเกิดของตน ปัจจุบัน สพฐ. มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 29,005 แห่ง โดยในจำนวนนี้มีโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น โรงเรียนตามแนวชายแดน โรงเรียน Stand Alone และโรงเรียนบนเกาะแก่งต่าง ๆ ซึ่งจำนวนไม่น้อยยังประสบปัญหาขาดแคลนครู หรือมีการโยกย้ายบ่อย โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นจะเป็นคำตอบสำคัญในการแก้ปัญหานี้ได้
“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นเปิดโอกาสให้เด็กที่อยู่ในท้องถิ่นได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี แล้วกลับไปเป็นครูในพื้นที่บ้านเกิดของตัวเอง โดยมีสถาบันการศึกษาช่วยให้ความรู้และสร้างทักษะในการที่เป็นครูที่ดี สร้างเจตคติที่ดีในการเป็นครู นอกจากได้เรียนในห้องเรียนแล้ว ยังต้องมีภาคปฏิบัติ มีกิจกรรมจิตอาสา ต้องมีการร่วมมือร่วมใจกันในหลายภาคส่วนเพื่อหล่อหลอมให้นักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่นเป็นครูที่ดีมีคุณภาพ และเพื่อเป็นนวัตกรด้านการเรียนการสอน และเป็นพลังสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างแท้จริง” เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าว

ขณะที่ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากขาดความร่วมมือจากหน่วยงานหลัก ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา โดยในปีนี้ได้มีอีกหนึ่งหน่วยงานร่วมขับเคลื่อนเพิ่มเติม คือ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.)
โดยทุกหน่วยงานมีเป้าหมายร่วมกันในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “ครู” ที่มีจิตวิญญาณในการทำเพื่อศิษย์ และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของประเทศได้อย่างเสมอภาคไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศไทย

ดร.ไกรยส กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ กสศ. พบว่า ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด สพฐ. มีโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถยุบหรือควบรวมได้ราวหนึ่งพันแห่ง ส่วนใหญ่ประสบปัญหาครูไม่ครบชั้น และขาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ซึ่งการสร้างครูรุ่นใหม่จากชุมชนจึงเป็นแนวทางสำคัญในการเติมเต็มความต้องการของโรงเรียนกลุ่มนี้ให้มีครูที่พร้อมพัฒนาท้องถิ่นบ้านเกิดของตนเอง
ทั้งนี้ โครงการ “ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 6” ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างนวัตกรรมการผลิตและพัฒนาครูเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดย 10 สถาบันการศึกษาได้รับการคัดเลือกเพื่อร่วมกันพัฒนาครูรุ่นใหม่ให้มีความรู้ความสามารถสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียนที่หลากหลาย และมุ่งแก้ปัญหาการอ่านออกเขียนได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยในรุ่นนี้จะมีการผลิตและพัฒนาครูภายใต้หลักสูตรทั้งแบบ เอกเดี่ยว ได้แก่ สาขาประถมศึกษาและการศึกษาปฐมวัย และแบบ เอกคู่ ได้แก่ สาขาประถมศึกษา–การศึกษาพิเศษ และประถมศึกษา–ภาษาไทย เพื่อเสริมสมรรถนะครูรุ่นใหม่ให้มีความเข้าใจเชิงลึกทั้งด้านการเรียนรู้ของเด็กทั่วไป เด็กที่มีความต้องการพิเศษ และการสอนภาษาไทย ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต