“ผมรู้จักบ้านเด็กทุกหลัง” 1 ปีที่ได้กลับไปเป็นครูบ้านเกิด ของ “ครูโย” ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่น 1

“ผมรู้จักบ้านเด็กทุกหลัง” 1 ปีที่ได้กลับไปเป็นครูบ้านเกิด ของ “ครูโย” ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่น 1

“เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไป อาจจะยังมีสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้อีกมากมาย แต่สิ่งที่ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง คือการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน จนค้นพบแนวทางที่ทำให้เด็กในห้อง รักการเรียนและอยากมาโรงเรียนทุกวัน”

‘ครูโย’ หรือ ธีร์ธวัช นภาคีรีรมย์ ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 1 จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ปัจจุบันสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านห้วยข้าวลีบ ต.แม่วิน อ.วาง จ.เชียงใหม่ เคยเล่าว่า ตัวเขา คือเด็กคนหนึ่งที่เคยเติบโตมาจากพื้นที่ที่ได้เห็นเด็กมากมายขาดโอกาสทางการศึกษา ได้อยู่ในห้องเรียนที่มองเห็นเพื่อนรวมชั้นค่อย ๆ เดินออกจากจากห้องเรียน หลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะมีฐานะทางบ้านยากจน  

 ‘ครูโย’ หรือ ธีร์ธวัช นภาคีรีรมย์ ครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 1 จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สำหรับครูโย ความเหลื่อมล้ำการศึกษาบนพื้นที่สูงที่พบมาตั้งแต่เด็ก ถือเป็นแรงบันดาลใจและเป้าหมายสำคัญที่ทำให้อยากมีส่วนในการแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้

ครูโย เคยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นครูตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 และตัวเองว่าจะต้องเป็นครูที่กลับมาสอนในพื้นที่บ้านเกิดให้ได้ ความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ ทำให้เขาพยายามมองหาโอกาสและมองเห็นโอกาสนั้นจากโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น กสศ. และได้รับทุนนี้จนกระทั่งเรียนจบและบรรจุเป็นครู ชีวิตการทำงานรับราชการก้าวเข้ามาเป็นครูเต็มตัว กำลังจะครบรอบหนึ่งปีในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ปี

ผ่านไปหนึ่งปี ครูโย สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ มากมาย ความรู้ที่เรียนมา อาจจะครอบคลุมการทำงานในชีวิตจริงในหลายเรื่อง แต่ก็มีอีกหลายเรื่อง ที่จะต้องเรียนรู้ และ อาศัยประสบการณ์ที่ได้จากห้องเรียน ชุมชน นักเรียน และผู้ปกครอง

“ตอนยังเป็นนักศึกษาครูรัก(ษ์) ถิ่นได้เรียนรู้ด้านทฤษฎีและปฏิบัติมากมาย แต่มีหลายเรื่องก็ไม่เคยรู้ บางอย่าง ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด ต้องมาปรับใหม่ให้มีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับโรงเรียน ห้องเรียน บริบทของชุมชน ความต้องการของผู้ปกครองและ ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องยืดหยุ่นพอที่จะเข้าใจปัจเจกบุคคลของเด็กแต่ละคนให้ได้มากที่สุด”

“มหาวิทยาลัยสอนหลากหลายทฤษฎี หลากหลายกระบวนการ สำหรับใช้รับมือกับปัญหาการเรียนรู้ของเด็ก เก็บข้อมูลจากชุมชน หรือแก้ปัญหาต่างๆ  แต่การหยิบมาใช้อย่างเหมาะสมเป็นเรื่องที่ต้องพลิกแพลงและใช้ไหวพริบหลายด้านประกอบกัน สิ่งที่เคยประสบมากับตัวเอง คือ ตอนเป็นครูใหม่ๆ ต้องลงไปเก็บข้อมูลกับชุมชน ผมพบว่า หากถือแฟ้ม ถือเอกสาร แล้วเดินทางไปพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กที่บ้าน อาจจะไม่ได้ความร่วมมือ หรือได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เพราะผู้ปกครองเด็กกลัวการเข้ามาพบอย่างเป็นทางการ และพยายามสร้างระยะห่างกับคนที่พวกท่านยังไม่คุ้นเคย ผมต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ และคิดว่าทำอย่างไรถึงจะให้ผู้ปกครองไว้ใจ และยอมพูดคุยกับเรา”

“แล้วผมก็พบว่า จะเข้าถึงเด็กแต่ละคนได้ จะต้องสร้างความสัมพันธ์ ทั้งกับนักเรียนและผู้ปกครอง พร้อมเปลี่ยนวิธี ในการเข้าถึงผู้ปกครองและเด็กใหม่ โดยใช้วิธี ให้เด็กนักเรียนพาไปที่บ้านตอนหลังเลิกเรียน เข้าไปพูดคุยซักถามสารทุกข์สุกดิบ กับผู้ปกครองด้วยภาษาถิ่น ซึ่งก็คือภาษากะเหรี่ยง จนทำให้ผู้ปกครองแต่ละบ้านไว้ใจและเห็นว่า เราไม่ได้ต้องการเพียงแค่ข้อมูล แต่เราเป็นครูที่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอย่างใส่ใจและใกล้ชิด พอผู้ปกครองเห็นว่า เรามาพบปะพูดคุยแบบเป็นกันเอง แต่ละบ้านก็เริ่มเปิดใจ และกล้าพูดคุยกับเรามากขึ้น”

ครูโยบอกว่า การสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กและผู้ปกครอง คือ ประตูบานสำคัญบานแรกๆ ที่จะช่วยให้ครูสามารถเข้าไปพบเจอ ข้อมูลจริงๆ ว่าเด็กแต่ละคน กำลังประสบปัญหาอะไรอยู่

“ตอนนี้ ผมเป็นครูประจำชั้น ป. 3 เด็กนักเรียนในห้องผม มี 22 คน ผมรู้จักและคุ้นเคยกับเด็กและผู้ปกครองทุกคน รู้จักบ้านทุกหลัง รู้สภาพปัญหาของทุกบ้าน และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับใช้ในการเรียนการสอนของตัวเอง ความคุ้นเคยกับบ้านเด็ก ทำให้ผมพบและเข้าใจว่า ทำไมเด็กคนหนึ่ง ถึงมีทักษะชีวิตสูงมาก แต่ทักษะในการเรียนกลับค่อนข้างอ่อน เพราะเมื่อไปที่บ้านเด็ก แล้วได้เห็น ว่า น้องไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แต่อาศัยอยู่กับตากับยาย ทักษะชีวิตของน้องที่สูงกว่าคนอื่น เกิดขึ้นจากการที่ต้องช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง ช่วยทำเกษตร แต่ไม่มีคนช่วยสอนทำการบ้านหรือแนะนำเรื่องการเรียนเลย ผมก็เลยเอาข้อมูลที่พบจากบ้านน้อง กลับมาหาแนวทาง หาวิธีที่ทำให้น้องมีทักษะการเรียนเพิ่มขึ้น ด้วยการเรียนการสอนไม่ให้ยากเกินไป เปิดโอกาสให้น้องเรียนรู้ทีละนิด จนทำให้เขาเห็นว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุก ”

“เด็กๆ บนพื้นที่ดอย มักจะประสบปัญหาหลุดจากระบบการศึกษา หลายคนจบเพียงแค่ ป. 6 ก็ตัดสินใจไม่ไปต่อไม่เรียนต่อจนจบกระทั่งการศึกษาภาคบังคับ เพราะต้องออกไปทำงาน เป็นแรงงานให้กับที่บ้าน ผมอยากช่วยให้เด็กๆ ที่นี่ รู้สึกรักการเรียนไม่มองว่า การเรียนเป็นส่วนเกินของชีวิต การเรียนคือโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขา เดินไปหาทางเลือกใหม่ๆ ให้ตัวเองได้ ทักษะที่ได้จากชุมชน อาจจะยังไม่พอที่จะใช้รับมือกับโลกที่กว้างขึ้นซึ่งพวกเขาจะพบเจอในอนาคต”

“เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไป อาจจะยังมีสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้อีกมากมาย แต่สิ่งที่ถือว่า ประสบความสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง คือการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน จนค้นพบแนวทางที่ทำให้เด็กในห้อง รักการเรียนและอยากมาโรงเรียนทุกวัน ความตั้งใจที่ผมยังมีอยู่เสมอ คือ พยายามช่วยให้เด็กๆ มีเป้าหมายในชีวิต มีความฝันและลุกขึ้นมาทำความฝันนั้นให้เป็นจริงโดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือ ผมยังบอกพวกเขาว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญอะไรอยู่ในปัจจุบัน แต่ในที่สุด การศึกษา ความมุ่งมั่นและตั้งใจเรียนจะช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างโอกาสให้กับตัวเอง สร้างโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกับดักความยากจนได้”