ปีกอีกข้างของระบบการศึกษา : หลักประกันโอกาสทางการศึกษา และเส้นทางที่เราเลือกจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ปีกอีกข้างของระบบการศึกษา : หลักประกันโอกาสทางการศึกษา และเส้นทางที่เราเลือกจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

บทนำ

เด็กบางคนเกิดมาพร้อมสองปีก 

และพร้อมจะบินไปสู่อนาคต 

ปีกข้างหนึ่งคือครอบครัวที่มั่นคง มีเวลานั่งทำการบ้านด้วยทุกเย็น และมีทรัพยากรพร้อมสนับสนุน อีกปีกอีกข้างคือโรงเรียนที่มีครูที่ใส่ใจ อุปกรณ์การเรียนครบถ้วน และระบบที่รองรับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน แต่ในประเทศไทย ยังมีเด็กอีกนับล้านคนที่ไม่มีแม้แต่ปีกข้างเดียว หรือหากมีก็เป็นปีกที่ขาดวิ่น เปราะบาง และเต็มไปด้วยร่องรอยของความยากจน ความพิการ ความรุนแรงในครอบครัว หรือแม้แต่ความเงียบเฉยของระบบ

ในโรงเรียนเดียวกัน เด็กบางคนมาโรงเรียนด้วยรองเท้าราคาแพง ขณะที่อีกคนไม่มีแม้แต่รองเท้าแตะ บางคนเปิดเทอมมาพร้อมกระเป๋าใหม่ หนังสือครบ ส่วนอีกคนยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้กลับมาเรียนอีกไหม 

ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ไม่ใช่ข่าวใหม่ 

แต่คำถามสำคัญคือเราจะอยู่กับมันแบบไหน 

เราจะปล่อยให้เด็กคนหนึ่งพยายามบินด้วยปีกข้างเดียวต่อไปหรือไม่ 

หรือเราจะร่วมกันติด “ปีกอีกข้าง” ที่เขาควรมีตั้งแต่ต้น

“การศึกษา” ควรเป็นสิทธิ ไม่ใช่ของขวัญ และ “โอกาส” ควรเป็นโครงสร้าง ไม่ใช่โชคชะตา หลักประกันโอกาสทางการศึกษา จึงไม่ใช่แค่สวัสดิการหรือโครงการช่วยเหลือ แต่คือคำตอบเชิงระบบต่อคำถามที่ว่า เด็กคนหนึ่งควรต้องดิ้นรนมากแค่ไหน จึงจะได้กลับเข้าสู่ห้องเรียน

บทความนี้คือการเดินทางย้อนกลับไปสำรวจว่า “ปีกอีกข้างของเด็ก” ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ผ่านกระบวนการที่เริ่มต้นจากคำถามเล็ก ๆ อย่าง “ทำไมเด็กบางคนถึงไม่มาโรงเรียน” ไปสู่การออกแบบระบบข้อมูลที่ไม่มองเด็กแค่เป็นตัวเลข และการเปลี่ยนผ่านจากการช่วยเหลือเฉพาะราย สู่การสร้างกลไกหลักประกันเชิงระบบ ที่เชื่อมโยงนโยบาย งบประมาณ และชีวิตจริงเข้าด้วยกัน

สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ ไม่ใช่เพียงรายงานผลของโครงการ หรือบทสรุปเชิงนโยบาย แต่คือภาพสะท้อนของ “การขยับปีก” ของครูคนหนึ่งที่เดินลุยฝนไปเยี่ยมบ้านเด็ก ครูอีกคนที่ใส่ชื่อเด็กลงระบบด้วยความหวังว่าข้อมูลจะแปรเปลี่ยนเป็นทุน หรือเจ้าหน้าที่ที่กล้าเขียนคำถามกลับไปยังนโยบายกลางว่า “เด็กคนนี้ควรได้รับการดูแลหรือไม่”

และเมื่อปีกเล็ก ๆ เหล่านี้ค่อย ๆ ขยับ ก็เกิดแรงกระเพื่อมที่สั่นสะเทือนไปทั้งระบบ นี่คือเรื่องราวของ “หลักประกันโอกาสทางการศึกษา” ซึ่งไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการจัดสรรงบประมาณ แต่คือกลไกที่ฟื้นฟูความเป็นธรรม คืนศักดิ์ศรี และยืนยันว่า

เด็กทุกคนควรมีสิทธิ์จะบิน

มีปีกเดียว…บินไม่ได้

“เรียนฟรี 15 ปี” คือหนึ่งในนโยบายที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนโฉมหน้าการศึกษาไทยให้เป็นของทุกคน แต่ในความจริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหนึ่ง ตำบลหนึ่ง หรือชุมชนริมทางรถไฟในเมืองใหญ่ การเรียนฟรีอาจไม่ตอบโจทย์สำหรับเด็กทุกคน เพราะยังมีเด็กอีกหลายคนยังต้องตื่นตีห้าเพื่อช่วยพ่อแม่ตักของขายที่ตลาดก่อนจะไปโรงเรียน ต้องเดินเท้าเปล่าฝ่าดินโคลน ต้องลางานกลางคันเพราะไม่มีค่ารถ ค่าชุดนักเรียน หรือค่าหนังสือที่รัฐไม่ได้จัดสรรให้ครบถ้วน

แม้ระบบจะบอกว่า “สิทธิการศึกษามีให้ทุกคนเท่าเทียม” แต่การเข้าถึงสิทธินั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ว่างเปล่า มันเกิดขึ้นภายใต้โครงสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยอุปสรรคทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เด็กบางคนมีความตั้งใจ มีศักยภาพ มีความฝันเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ แต่ไม่สามารถมาเรียนได้เพียงเพราะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีเอกสาร ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีใครขับรถไปส่ง หรือไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาหายไปจากห้องเรียนแล้ว

จากการศึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า มีอย่างน้อย 6 ปัจจัยหลัก ที่ทำให้เด็กจำนวนมาก “มีปีกเพียงข้างเดียว” หรือ “ไม่มีปีกเลย” ได้แก่

  1. ความยากจนรุนแรง (Extreme Poverty)  ไม่ใช่แค่ไม่มีเงินค่าขนม แต่หมายถึงครอบครัวที่ไม่สามารถจัดหาสิ่งพื้นฐานให้ลูกได้แม้แต่ชุดนักเรียน อาหารเช้า หรือค่าเดินทาง
  2. ภาระงานในครัวเรือนหรือแรงงานเด็ก (Child Labor & Household Burden)  เด็กบางคนต้องช่วยเลี้ยงน้อง ขายน้ำ หรือทำงานรับจ้าง เพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด
  3. สุขภาพกายและจิตที่เปราะบาง (Vulnerability & Disability) เด็กบางคนมีความต้องการพิเศษ หรือมีปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ทำให้ไม่สามารถเรียนในระบบปกติได้
  4. ขาดเอกสารสิทธิหรือสถานะทางทะเบียน (Statelessness & Legal Exclusion) เด็กไร้สัญชาติ เด็กที่ไม่มีเลข 13 หลัก หรือไม่มีทะเบียนบ้าน มักหลุดจากการจัดสรรงบประมาณโดยอัตโนมัติ
  5. ความรุนแรง ความขัดแย้ง และการเลือกปฏิบัติ (Violence & Discrimination) เด็กบางคนอยู่ในครอบครัวที่มีความรุนแรง อยู่ในชุมชนที่ถูกตีตรา หรือได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากระบบ
  6. อยู่ในพื้นที่ชายขอบหรือพื้นที่พิเศษ (Remote & Isolated Area)  ไม่ว่าจะเป็นดอยสูง ชายแดน หรือชุมชนแออัด เด็กจำนวนมากยังอยู่นอกสายตาของระบบ ด้วยเหตุผลเดียวคือ “ไกลเกินไป”

ปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้มาแยกกันเป็นข้อ ๆ อย่างในรายงานวิชาการ แต่มักซ้อนทับกันในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง เด็กที่ไม่มีบัตรประชาชน อาจจะยากจนด้วย เป็นลูกของแรงงานข้ามชาติด้วย และอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดที่ไม่มีเลขที่บ้านด้วยพร้อมกันทั้งหมด

การออกแบบนโยบายใด ๆ โดยไม่รับรู้ความซ้อนทับนี้ คือการทำให้ระบบกลายเป็นเพียง “กระดาษสวย” ที่ไม่สัมพันธ์กับโลกความจริง และนั่นคือเหตุผลที่ “การช่วยเหลือรายบุคคล” แบบเดิม ไม่สามารถสร้างความเสมอภาคได้อย่างแท้จริง

“มีปีกเดียว…บินไม่ได้” ไม่ใช่แค่ประโยคเปรียบเปรย แต่คือข้อเท็จจริงทางโครงสร้างที่ต้องเผชิญตรง ๆ ว่าระบบการศึกษาของไทยยังไม่พร้อมจะรับรองสิทธิของเด็กทุกคนโดยเท่าเทียมกันโดยอัตโนมัติ จำเป็นต้องมี “ปีกอีกข้าง” ที่ชื่อว่า หลักประกันโอกาสทางการศึกษา ซึ่งไม่ใช่แค่การเติมเงินเข้าไปในระบบ แต่คือการสร้างกลไกที่มองเห็นเด็กในบริบทจริง วางแผนจัดสรรทรัพยากรแบบตรงจุด และติดตามเด็กในฐานะ “มนุษย์ที่มีชีวิตจริง”

เมื่องานวิจัยกลายร่างเป็นปีก

ในระบบราชการไทย มีวาทกรรมหนึ่งที่ถูกใช้บ่อยในห้องประชุมและเอกสารนโยบาย: “ต้องมีข้อมูลก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ทว่าในความเป็นจริง ข้อมูลจำนวนมากที่ถูกรวบรวมไว้ในระบบ ไม่ได้สะท้อนความซับซ้อนของชีวิตเด็กเลยแม้แต่น้อย มันบอกได้ว่าเด็กคนไหนอยู่โรงเรียนไหน แต่ไม่เคยบอกว่า ทำไมเด็กบางคนถึงไม่ได้ไปโรงเรียน

นี่คือช่องว่างที่ใหญ่มากระหว่าง “ข้อมูล” และ “ความจริง” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “ปีกอีกข้าง”

ก่อนจะมี “ระบบทุนเสมอภาค”  กสศ. ได้ร่วมกับนักวิชาการจากหลายสถาบัน สร้างฐานข้อมูลที่ทำให้รัฐสามารถ “มองเห็น” ความเปราะบางของเด็กไทยในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน งานวิจัยสามชุดหลักที่วางรากฐานให้ระบบใหม่นี้ ได้แก่:

1. บัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ (National Education Account – NEA)
งานวิจัยนี้ตอบคำถามสำคัญ: “ค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของครอบครัวในการส่งเด็กไปเรียนคือเท่าไหร่?” ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นว่า แม้รัฐจะมีนโยบายเรียนฟรี แต่ภาระจริงตกอยู่กับครัวเรือนถึงกว่า 40–60% โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และมากกว่านั้นในพื้นที่ห่างไกล สิ่งที่เราคิดว่าเล็ก เช่น ค่ารถ ค่าชุดพละ หรือค่าอุปกรณ์เรียน กลับกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของครอบครัวที่มีรายได้น้อยกว่า 1,000 บาทต่อสัปดาห์

2. เกณฑ์การคัดกรองรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Test – PMT)
คำถามคือ “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือเด็กที่ยากจนจริง ๆ?” การใช้รายได้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะครอบครัวจำนวนมากไม่มีรายได้ประจำหรืออยู่ในระบบภาษี PMT คือเครื่องมือที่ออกแบบมาให้ถามคำถามง่าย ๆ เช่น บ้านมีไฟฟ้าหรือไม่ ผู้ปกครองมีการศึกษาระดับไหน มีรถยนต์หรือไม่ เป็นต้น แล้วนำไปวิเคราะห์เชิงสถิติเพื่อประเมินฐานะทางเศรษฐกิจ PMT จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การจัดสรรทรัพยากร “ตรงถึงตัวเด็ก” มากขึ้น

3. ระบบสารสนเทศเพื่อการคัดกรองนักเรียนยากจน
นี่คือกลไกที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กหลายล้านคน และกลายเป็น “กระดูกสันหลัง” ของระบบทุนเสมอภาค โดยระบบนี้พัฒนาร่วมกันระหว่าง กสศ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ ทั้ง สพฐ. อปท. สช. ตชด. พศ. และ กทม. ระบบนี้รวบรวมข้อมูลนักเรียนในระดับบุคคล รายโรงเรียน รายชั้นปี รายตำบล และเชื่อมโยงเข้ากับระบบคัดกรองของแต่ละสังกัด เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้ “ตามความจำเป็นจริง”

เมื่อ 3 กลไกนี้เชื่อมเข้าด้วยกัน จึงเกิด “ปีก” ที่ไม่ใช่แค่ให้เงินกับเด็ก แต่คือการขยับระดับโครงสร้างที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการคือ
(1) จากการจัดสรรแบบเหมารวม ไปสู่การจัดสรรแบบรายบุคคล
(2) จากนโยบายจากส่วนกลาง ไปสู่การออกแบบที่อิงบริบทของพื้นที่จริง
(3) จาก “การให้” ที่กระจายแบบกว้าง ไปสู่ “การคัดกรอง” ที่แม่นยำและตรงจุด

กระบวนการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของรัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะ “ข้อมูล” ที่มีคุณภาพ และเพราะ “คนในพื้นที่” ที่เห็นชีวิตของเด็กมากกว่าตัวเลข

เริ่มต้นจากการทดลองนำร่องในโรงเรียนเพียง 10 แห่ง ในปี 2561 โดยใช้วิธี “จัดสรรตรงถึงตัวเด็ก” ผ่านครูที่เยี่ยมบ้านจริง ใส่ข้อมูลจริง และตรวจสอบจริง เด็กหลายคนได้รับโอกาสกลับเข้าสู่ระบบในขณะที่ยังทันเวลา เด็กบางคนกลับมาเรียนต่อได้อีกครั้งแม้จะเคยหายไปจากห้องเรียนมาเกือบปี

นั่นคือช่วงเวลาที่ “ข้อมูล” กลายเป็น “ปีก”
และ “วิจัย” ไม่ใช่แค่สิ่งที่จบลงในเอกสาร แต่กลายเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนชีวิตจริงของเด็กคนหนึ่ง

ปีกที่ช่วงพยุงชีวิตให้ก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำ

ปีกที่ดี…ไม่ได้แค่บินได้ 

แต่ต้องกางได้กว้างพอจะพยุงชีวิตที่หลากหลาย นั่นคือหัวใจของระบบทุนเสมอภาคที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่โรงเรียนสังกัด สพฐ. เท่านั้น แต่ค่อยๆ ขยายออกไปอย่างมีเป้าหมาย ครอบคลุมกลุ่มเปราะบางหลากหลายรูปแบบ และค่อยๆ เปลี่ยน “ระบบที่เน้นความเสมอกัน” ให้กลายเป็น “ระบบที่เข้าใจความต่าง”

หากมองย้อนกลับไปจากวันนี้ เราจะเห็นเส้นทางของการขยายระบบที่ไม่ได้เติบโตด้วยจำนวน แต่เติบโตด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ และการยืนยันว่า “เด็กทุกคนสมควรได้รับโอกาส”

ปีการศึกษา 2562: จาก สพฐ. สู่ ตชด. และ อปท.
การเริ่มต้นของระบบ CCT ในปีแรกมุ่งเป้าไปที่โรงเรียนในสังกัด สพฐ. ซึ่งครอบคลุมนักเรียนจำนวนมากที่สุดในระบบ แต่ในปีถัดมา ระบบเริ่มกางปีกไปสู่โรงเรียน ตชด. ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุด และโรงเรียนของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มักถูกมองข้ามในเชิงทรัพยากร นี่คือปีที่ระบบเริ่มถามคำถามใหม่ว่า “เด็กที่หลุดออกจากระบบอยู่ที่ไหน” และใครคือคนที่รู้จักเด็กเหล่านั้นดีที่สุด

ปีการศึกษา 2563: สามเณรในวัด ก็มีสิทธิ์ในโอกาสทางการศึกษา
การขยายไปยังโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในสังกัด พศ. (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) คือการขยับอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเด็กสามเณรไม่เคยถูกมองเป็น “กลุ่มเป้าหมายหลัก” ของนโยบายการศึกษามาก่อน ทุนเสมอภาคจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “เงิน” แต่เป็นการยืนยันว่าความเชื่อ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเฉพาะทาง ไม่ควรถูกละเลยในการออกแบบนโยบาย

ปีการศึกษา 2564: เด็กเอกชนการกุศล ก็ยังต้องการความช่วยเหลือ
“เด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชน = เด็กมีฐานะดี” คือความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึก การขยายทุนเสมอภาคสู่โรงเรียนเอกชนประเภทการกุศลซึ่งไม่แสวงหากำไร จึงเป็นการรื้อทัศนคติเดิม และเปิดพื้นที่ให้สังคมได้เห็นว่า เด็กยากจนก็มีอยู่ในทุกสังกัด ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนรัฐ

ปีการศึกษา 2565: เด็กในเมือง ก็อาจยากจนได้
การเข้าสู่โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทำให้ระบบต้องยอมรับว่า “พื้นที่เมือง” ไม่ได้แปลว่ามีทรัพยากรเหลือเฟือ และความยากจนในเมืองใหญ่มีมิติที่ซับซ้อน เด็กบางคนอาศัยอยู่ในห้องเช่าราคาถูกใต้สะพาน ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว ไม่มีอาหารเช้า ไม่มีทุนเรียนพิเศษ ระบบของ กทม. จึงเริ่มตั้ง “ปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน” ขึ้นมาเอง เพื่อเติมเต็มส่วนที่ระบบทุนกลางเข้าไม่ถึง

ปีการศึกษา 2566: ท้องถิ่นไม่ได้แค่รู้ แต่เริ่มลงมือ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เริ่มมีบทบาทเชิงรุก โดยใช้งบประมาณของตัวเองมาช่วยเหลือเด็กยากจนในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับทุนเสมอภาคจากส่วนกลาง พื้นที่นำร่อง 13 จังหวัดแสดงให้เห็นว่า เมื่อท้องถิ่น “เข้าใจปัญหา” และ “เชื่อมั่นในข้อมูล” ก็สามารถออกแบบการช่วยเหลือที่แม่นยำ ตรงจุด และต่อเนื่องได้ด้วยตนเอง

ปีการศึกษา 2567: กลับสู่ชายแดน และกลับมามองเด็กสามเณรอีกครั้ง
หลังจากวางรากฐานสำเร็จในเขตหนึ่ง โรงเรียนพระปริยัติธรรมในอีก 4 เขตกำลังจะเข้าสู่ระบบการคัดกรองทุนเสมอภาคเพิ่มเติม ในขณะเดียวกัน โรงเรียน ตชด. ก็จะได้รับการยกระดับกลไกการช่วยเหลือ ด้วยโมเดลการคัดกรองที่ผ่านการทดสอบแล้วในพื้นที่เมืองและพื้นที่ท้องถิ่น เพราะไม่ว่าบ้านของเด็กจะตั้งอยู่บนดอยสูง กลางป่าลึก หรือริมขอบเมือง ความยากจนก็ไม่ควรเป็นข้อจำกัดของการเข้าถึงโอกาส

ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ทุนเสมอภาคขยายตัวจากโครงการทดลองเล็ก ๆ ไปสู่ระบบที่ครอบคลุมเด็กในทุกสังกัด ทุกรูปแบบการศึกษา ทุกศาสนา และทุกพื้นที่ นี่คือการขยับ “ปีกข้างเดียว” ให้กลายเป็นปีกที่กางเต็มแผ่นดิน ไม่ใช่เพราะระบบสมบูรณ์แบบในทันที แต่เพราะมันเติบโตบนความเข้าใจว่า การออกแบบใด ๆ ที่มองไม่เห็นเด็กบางกลุ่ม ย่อมไม่ใช่ระบบที่ยุติธรรม

และที่สำคัญคือ ระบบนี้ไม่ได้ขยับด้วยตัวมันเอง แต่มี “คนในพื้นที่” เป็นแรงขับทุกย่างก้าว

ข้อมูลคือเข็มทิศ แต่ครูคือคนเดินป่า

ในวันที่ประเทศไทยเริ่มมีระบบสารสนเทศเพื่อคัดกรองนักเรียนยากจนอย่างแม่นยำ ผู้คนจำนวนมากอาจเข้าใจว่า “ระบบ” คือคำตอบของปัญหา แต่ในความเป็นจริง ไม่มีฐานข้อมูลใดจะมีความหมายเลย หากไม่มีคนที่ “รู้ว่าเบื้องหลังข้อมูลคือชีวิตของใคร”

ครูคือคนที่รู้ว่า เด็กคนหนึ่งไม่ไปโรงเรียน 3 วัน เพราะไม่มีเงินเติมน้ำมันให้รถมอเตอร์ไซค์ของพ่อ
ครูคือคนที่รู้ว่า บ้านหลังที่กรอกว่า “มีไฟฟ้า” นั้น จริง ๆ คือการพ่วงสายไฟจากบ้านข้าง ๆ
ครูคือคนที่นั่งลงคุยกับแม่ของเด็ก ป้าของเด็ก หรือบางครั้งแม้แต่ “ความว่างเปล่า” ของเด็ก และตัดสินใจว่าจะใส่ข้อมูลแบบไหนลงระบบดี เพื่อให้ความช่วยเหลือ “ถึงจริง”

ในระบบทุนเสมอภาค ข้อมูลมาจากครู ไม่ใช่เพียงระบบราชการ
และเพราะข้อมูลมาจากครู จึงทำให้ระบบนี้ไม่เป็นเพียง “กลไกส่งเงิน”
แต่เป็นระบบที่อิงจากความจริงในพื้นที่ เป็นกลไกที่มีความไว้วางใจร่วมเป็นรากฐาน

ครูจำนวนหลายแสนคนทั่วประเทศทำหน้าที่เป็น “ตา” ของระบบ เป็น “หู” ของนโยบาย และเป็น “มือ” ที่ยื่นถึงเด็กก่อนใคร ในหมู่พวกเขา มีกลุ่มครูที่ทำมากกว่านั้น คือกลุ่ม “ครูแกนนำเสมอภาค”, “ครูส่องทางทุน”, และ “Kru Care”

ครูแกนนำเสมอภาค 

ครูกลุ่มนี้ไม่เพียงช่วยคัดกรองและกรอกข้อมูล แต่ทำหน้าที่เป็น “นักสื่อสารเชิงนโยบาย” ให้ครูคนอื่นเข้าใจทุนเสมอภาคในภาษาของตัวเอง พวกเขาแปลนโยบายให้เข้ากับวิธีทำงานของแต่ละพื้นที่ สร้างสื่อ เอกสาร คู่มือ และแม้แต่ทำหน้าที่ “ครูฮีลใจ” ให้กับเพื่อนครูคนอื่น ๆ ในพื้นที่เปราะบาง

ครูส่องทางทุน

ครูอีกกลุ่มที่ “ไม่หยุดอยู่แค่ทุนเดียว” แต่พยายามหาทุนทุกแหล่งที่มีให้เด็กในโรงเรียนของตัวเอง ทั้งจากภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น พวกเขาแลกเปลี่ยนกันในชุมชนออนไลน์ แชร์เทคนิค ขอคำปรึกษา และร่วมกันเปิดเส้นทางใหม่ให้เด็กที่อาจไม่มีทางเลือกอื่นได้ไปต่อ

Kru Care

กลุ่มครูที่ทำงานในพื้นที่เปราะบางที่สุด และเข้าใจดีว่า บางครั้งสิ่งที่ขาดไม่ใช่แค่ทุน แต่คือ “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ครูได้พัก ฟัง และพูดออกมาอย่างไม่ต้องแบกความเข้มแข็งไว้ตลอดเวลา Kru Care ทำหน้าที่คล้ายนักกระบวนการ ฟังเสียงลึก ๆ จากพื้นที่ และส่งต่อเข้าไปในระบบเพื่อปรับปรุงการออกแบบการสนับสนุนจากส่วนกลาง

เมื่อเราลองมองเส้นทางของ “ข้อมูลหนึ่งแถว” ที่เริ่มจากครูลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็ก
แล้วไล่ดูว่า แถวนั้นเดินทางอย่างไรบ้าง เข้าสู่ระบบคัดกรอง กระทบต่อการจัดสรรงบประมาณ ถูกประมวลผลใน dashboard ไปสู่การตัดสินใจของผู้บริหาร ไปถึงโต๊ะรัฐมนตรี
เราอาจเริ่มเห็นว่า…
ข้อมูลที่มาจากหัวใจของครูคนหนึ่ง กำลังขยับทั้งระบบ

สิ่งที่ทุนเสมอภาคทำสำเร็จอย่างเงียบ ๆ คือ “การยืนยันว่าเสียงของครูในพื้นที่ควรมีน้ำหนัก”
ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน แต่ในวงประชุมนโยบาย
และในวันที่ระบบราชการเริ่มหันกลับมาเชื่อครูอีกครั้ง
เด็กในระบบก็ค่อย ๆ ได้รับปีกที่มั่นคงขึ้นอีกข้างหนึ่ง

ระบบที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องไม่ลืมใครตั้งแต่ต้นทาง

ถ้าคุณถามว่า “ระบบการศึกษาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบหนึ่งที่สังคมมักนึกถึง คือการมีทุนการศึกษาให้เด็กทุกคนอย่างเพียงพอ และเท่าเทียม แต่ในมุมมองของคนที่ทำงานอยู่กับพื้นที่จริงตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ความเท่าเทียมที่แท้จริง ไม่ได้เริ่มต้นจากการ “แจกเท่ากัน” แต่มาจากการ “มองเห็นให้ครบก่อน”

การมองเห็นให้ครบ ไม่ได้แปลว่าแค่รู้ว่าเด็กยากจนอยู่ที่ไหน หรือมีจำนวนเท่าไร แต่หมายถึงการเข้าใจว่า เด็กแต่ละคนมีบริบทที่ต่างกัน และปัจจัยที่ทำให้เขาหลุดออกจากระบบการศึกษา ไม่ได้มีเพียงปัญหาด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมิติของสุขภาพ พฤติกรรม ความปลอดภัยทางจิตใจ และคุณภาพของสภาพแวดล้อมในโรงเรียน

นั่นคือเหตุผลที่ กสศ. เริ่มพัฒนา “ระบบสารสนเทศเพื่อการแนะแนวดูแลสุขภาพจิตนักเรียนและระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา” ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลขในแบบฟอร์มคัดกรองทุนเสมอภาค แต่พัฒนาไปสู่การเชื่อมโยงข้อมูลในมิติต่าง ๆ ของชีวิตเด็ก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสุขภาพจิต พฤติกรรมเสี่ยง สถานะทางครอบครัว ไปจนถึงการติดตามเด็กนอกระบบ ที่เคลื่อนตัวอยู่นอกสายตาของการศึกษาแบบเดิม

ระบบนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง กสศ., สพฐ., และกรมสุขภาพจิต ภายใต้แนวคิดว่า

เด็กคนหนึ่งอาจ “มาโรงเรียน” ก็จริง
แต่ไม่ได้แปลว่าเขากำลัง “เรียนรู้”
และไม่ได้แปลว่าเขา “อยู่ได้” อย่างมีคุณภาพในโรงเรียน

การมีหลักประกันโอกาสทางการศึกษา จึงไม่ใช่แค่การรับประกันว่าเด็กจะได้รับเงินทุน แต่คือการออกแบบระบบที่ “รับรู้ได้ว่าเด็กกำลังเผชิญอะไร” และ “ส่งต่อให้หน่วยงานที่ดูแลต่อได้ทัน” นี่คือจุดเปลี่ยนจาก “นโยบายบนกระดาษ” ไปสู่ “ระบบที่เรียนรู้จากข้อมูลจริง”

ขณะเดียวกัน ท้องถิ่นเองก็เริ่มมีบทบาทชัดเจนขึ้น จากเดิมที่เป็นเพียงผู้รับข้อมูลจากส่วนกลาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่ง เริ่มขยับบทบาทเป็น “เจ้าของปีกอีกข้าง” ของเด็กในพื้นที่ตัวเอง ไม่ใช่เพียงผู้ประสาน แต่เป็นผู้ออกแบบระบบสนับสนุน และจัดสรรงบประมาณเอง เพื่อดูแลนักเรียนยากจนทุกคนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

13 จังหวัดนำร่อง เช่น เชียงใหม่ น่าน กาฬสินธุ์ พัทลุง สตูล และปัตตานี เริ่มพิสูจน์แล้วว่า “ท้องถิ่นเข้าใจท้องถิ่น” ได้จริง และสามารถตั้งงบเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนตาม “ปัจจัยพื้นฐานที่ออกแบบเอง” ไม่ต้องรอจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว ทุนเสมอภาคในมือนายก อบต. หรือผู้บริหารเทศบาล ไม่ใช่เรื่องในอนาคตอีกต่อไป แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และกำลังขยายไปเรื่อย ๆ

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาคีอื่นก็เริ่มกางปีกเข้ามาร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดี), สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงแรงงาน, หรือแม้แต่ กสทช. ที่จับมือกับภาคเอกชนเพื่อปลดล็อกความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลผ่านโครงการ “ซิมพร้อมเรียน”

การมีระบบที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จึงต้องเริ่มจากการ “ไม่ลืมใครตั้งแต่ต้นทาง”
ต้องไม่ลืมเด็กไร้สัญชาติ
ไม่ลืมเด็กที่เรียนอยู่ในวัด
ไม่ลืมเด็กในเมืองใหญ่ที่ครอบครัวไม่มีเวลาให้
ไม่ลืมเด็กที่เกือบหลุด แต่ยังพอมีแรงจะคว้าปีกไว้ได้อีกข้าง

เพราะเมื่อเรามองเห็นครบ ระบบก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนจากกลไกกระจายเงิน เป็น “เครือข่ายการดูแล”
และเมื่อนโยบายเรียนรู้จากความจริง ไม่ใช่จากสมมติฐานบนโต๊ะประชุม
เราก็จะเริ่มเห็นว่า…

ระบบการศึกษา ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ
แต่มันควร “มีที่ว่าง” สำหรับทุกคนที่เคยถูกมองข้าม

หนึ่งปีกขยับ ระบบทั้งระบบสั่นสะเทือน

เราอาจนึกภาพนโยบายการศึกษาว่าเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบในห้องประชุมกลางเมือง มีรัฐมนตรีเป็นผู้ประกาศ และหน่วยงานราชการเป็นผู้ดำเนินการ แต่หากมองจากเส้นทางของทุนเสมอภาคตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นภาพที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง—ภาพของ “ปีกหลายหมื่นคู่” ที่ค่อย ๆ ขยับพร้อมกัน จนเกิดแรงสั่นสะเทือนที่เปลี่ยนทิศทางของทั้งระบบ

แรงสั่นสะเทือนแรกเริ่มต้นจากการจับมือกันระหว่าง ข้อมูลและความเชื่อใจ การที่ครูในพื้นที่พร้อมใส่ข้อมูลลงระบบ ไม่ใช่เพราะถูกสั่งมา แต่เพราะเขาเห็นว่า ข้อมูลนั้นจะกลายเป็นทุนที่ช่วยเด็กของเขาได้จริง ผู้บริหารโรงเรียนหลายพันแห่งเริ่มเรียนรู้การใช้ dashboard การประมวลผลข้อมูลเชิงบริบท และการติดตามนักเรียนแบบเชิงรุก ไม่ใช่เพื่อรายงานให้ต้นสังกัด แต่เพื่อ “ไม่ปล่อยให้เด็กหายไป”

ถัดจากครู คือการขยับของหน่วยงานภาครัฐระดับนโยบาย ในช่วงปี 2564–2567 กสศ. ได้ลงนามใน MOU กับหน่วยงานภาครัฐมากกว่า 20 แห่ง ครอบคลุมทั้งภาคการศึกษา สาธารณสุข ความมั่นคง สวัสดิการ ท้องถิ่น และเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น:

  • MOU กับ ทปอ. และกระทรวง อว. เพื่อส่งเสริมโอกาสการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้กับเด็กขาดแคลนทุนทรัพย์ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
  • ความร่วมมือ “พาน้องกลับมาเรียน” กับ 12 กระทรวงและหน่วยงานสำคัญ เพื่อติดตามเด็กที่หลุดจากระบบในช่วงโควิด-19 กลับเข้าสู่การเรียนรู้อีกครั้ง
  • โครงการ “ซิมพร้อมเรียน” กับ กสทช. และภาคเอกชน เพื่อแก้ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการเรียนออนไลน์ได้จริง
  • การร่วมมือกับกรมสุขภาพจิต เพื่อสร้างระบบข้อมูลที่ดูแลเด็กในมิติจิตใจ ไม่ใช่แค่สถานะทางเศรษฐกิจ

ในแต่ละปี เส้นทางของความร่วมมือเหล่านี้พาเรามองเห็นภาพใหม่ว่า “การเปลี่ยนระบบ” ไม่ได้หมายถึงการมีนโยบายใหม่เสมอไป แต่อาจหมายถึง การเชื่อมโยงของระบบที่เคยทำงานแยกกัน ให้หันหน้าหากัน และยอมรับว่าเด็กคนเดียวไม่ได้มีแค่ “ด้านการศึกษา” แต่มีทั้งด้านสุขภาพ ความปลอดภัย ความเป็นอยู่ และการเติบโตทางใจ

ขณะเดียวกัน การขยับในระดับ “ท้องถิ่น” ก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่การเข้าร่วมในระบบของส่วนกลาง แต่เป็นการตั้งคำถามของตัวเอง เช่น

“ในพื้นที่ของเรา ยังมีเด็กที่ไม่ได้รับความช่วยเหลืออีกกี่คน?”
“เราจะเอางบประมาณของเรามาเสริมตรงไหนได้บ้าง?”
“เราจะใช้ข้อมูลให้ตอบโจทย์ของชุมชนเราจริง ๆ ได้อย่างไร?”

ท้องถิ่นหลายแห่งไม่เพียงตั้งงบเอง แต่ยังเริ่มออกแบบกระบวนการคัดกรอง กำหนดปัจจัยพื้นฐาน และประเมินผลการช่วยเหลือด้วยตัวเอง ระบบทุนเสมอภาคจึงไม่ใช่ระบบของ “ส่วนกลาง” ที่กระจายสู่ “ส่วนภูมิภาค” อย่างเดียวอีกต่อไป แต่กลายเป็น “โครงสร้างร่วม” ที่ส่วนกลาง พื้นที่ และหน่วยงานต่าง ๆ พยายามเรียนรู้จากกันและกัน

ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนหลักการสำคัญของ The Butterfly Effect ที่บอกว่า

“การขยับปีกของผีเสื้อเพียงครั้งเดียว อาจสร้างพายุในอีกซีกโลกหนึ่งได้”

ในกรณีของทุนเสมอภาค การที่ครูคนหนึ่งเลือกเยี่ยมบ้านเด็กในวันฝนตก อาจเป็นจุดเริ่มของทุนที่ทำให้เด็กคนนั้นเรียนจบมัธยม การที่เจ้าหน้าที่ อปท. คนหนึ่งเลือกตั้งคำถามกับระบบ อาจนำไปสู่การปรับเกณฑ์คัดกรองให้ยืดหยุ่นขึ้นในปีถัดไป การที่กลุ่มครูส่องทางทุน แชร์วิธีการหาทุนต่อเนื่อง อาจกลายเป็นต้นแบบการบูรณาการทุนในระดับประเทศในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงระดับระบบ ไม่ได้เริ่มจากใครคนเดียว
แต่มาจาก “แรงขยับเล็ก ๆ” ของคนจำนวนมาก
ที่เลือกจะไม่ยอมรับว่า “ความเหลื่อมล้ำคือเรื่องธรรมดา”

ครู คือหัวใจของระบบทุนเสมอภาค

ทุกระบบต้องการคนขับเคลื่อน และในระบบทุนเสมอภาค ไม่มีใครมีบทบาทสำคัญไปกว่าครู  คนที่ไม่ได้ทำงานนี้ในฐานะหน้าที่ราชการ แต่ทำเพราะเห็นว่า “ถ้าไม่ทำ…เด็กคนนั้นอาจหล่นหายไปตลอดกาล”

ครูคือคนที่เริ่มต้นกระบวนการทุกอย่างในระบบทุนเสมอภาค ตั้งแต่ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ถามคำถามที่ไม่มีอยู่ในแบบฟอร์ม ฟังเงื่อนไขชีวิตของครอบครัวที่ซับซ้อน กรอกข้อมูลด้วยความหวังว่าจะไม่พลาดเด็กคนไหน
และในหลายครั้ง ยังต้องรับหน้าที่ “ฮีลใจ” ทั้งเด็กและเพื่อนครูด้วยกันเอง

ในระบบราชการแบบเดิม ครูมักถูกมองว่าเป็นผู้ปฏิบัติตาม แต่ในระบบทุนเสมอภาค ครูถูกยกระดับให้เป็น “เจ้าของข้อมูล” และ “ผู้ออกแบบการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่” นั่นเพราะไม่มีใครรู้จักชีวิตจริงของเด็กได้เท่าครูที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด

กว่า 300,000 คนที่ร่วมกรอกข้อมูลทุนเสมอภาคตลอด 6 ปี
ไม่ใช่เพียงผู้ใช้งานระบบ
แต่คือ “หัวใจ” ของระบบนี้
และในจำนวนนั้น มีครูบางกลุ่มที่ตัดสินใจขยับอีกนิด
เพื่อให้ระบบทั้งระบบไปได้ไกลขึ้น

ครูแกนนำเสมอภาค: นักสื่อสารในระบบราชการ

ในโลกที่นโยบายมักถูกถ่ายทอดผ่านภาษาทางเทคนิคและเอกสารทางการ ครูแกนนำเสมอภาค 49 คนทั่วประเทศ ทำหน้าที่เป็น “นักสื่อสาร” ที่ตีความนโยบายให้เข้าใจง่าย ผ่านภาษาและเครื่องมือของครูด้วยกันเอง
บางคนทำคู่มือ
บางคนจัดเวิร์กช็อป
บางคนตอบคำถามในกลุ่มครูทุกวัน
ไม่ใช่เพราะมีเบี้ยประชุม
แต่เพราะไม่อยากให้ครูอีกคนรู้สึกว่า “ตัวคนเดียวในระบบที่ซับซ้อน”

ครูส่องทางทุน: นักประสานทุนเพื่อชีวิตของเด็ก

160 คนในกลุ่ม “ครูส่องทางทุน” ไม่ได้หยุดอยู่ที่ทุนเสมอภาค แต่เดินหน้าหาทุนอื่น ๆ เพิ่มเติมให้เด็กในโรงเรียนของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทุนจากองค์กรท้องถิ่น CSR ของเอกชน วัดในชุมชน หรือแม้แต่ระดมทุนออนไลน์ พวกเขาเชื่อว่า เด็กคนหนึ่งไม่ควรถูกจำกัดแค่สิทธิขั้นต่ำ แต่ควรได้ไปไกลเท่าที่ศักยภาพของเขาจะพาไปได้ ขอแค่มีใครบางคน “ส่องทาง” ให้เขาเห็น

Kru Care: นักฟัง นักฮีล และเพื่อนร่วมทางในพื้นที่เปราะบาง

อีก 10 คนในกลุ่ม Kru Care ไม่ได้ทำงานกับแค่เด็ก แต่ทำงานกับครูด้วยกันเอง พวกเขารู้ว่า ในพื้นที่ห่างไกล การเป็นครูแปลว่าเป็นคนเดียวที่ต้อง “เข้มแข็ง” เสมอ แต่ใครจะฮีลใจครู? ใครจะฟังเสียงของคนที่ฟังเสียงคนอื่นมาตลอด?

Kru Care คือพื้นที่ปลอดภัยของครู ที่เปิดให้พูด พัก ฟัง และรู้สึกได้ ว่ายังมีคนเข้าใจ ว่ายังไม่ต้องเก่งทุกวัน
และว่าระบบที่ดี ไม่ใช่ระบบที่ไม่ผิดพลาด แต่คือระบบที่มีพื้นที่ให้ “คนในนั้น” ได้ฟื้นพลังและกลับไปลงมืออีกครั้ง

Butterfly Effect: จากเด็กหนึ่งคน สู่ระบบที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

ในธรรมชาติ การขยับปีกของผีเสื้อที่ดูไร้พลังที่สุด อาจเป็นต้นทางของพายุใหญ่ในอีกซีกโลก นี่คือที่มาของแนวคิด Butterfly Effect ที่ใช้เปรียบเปรยว่า การเปลี่ยนแปลงระดับระบบ อาจเริ่มจากจุดที่เล็กมาก ๆ ถ้ามีแรงส่งซ้อนกันอย่างถูกทิศทาง

ในกรณีของทุนเสมอภาค ผีเสื้อตัวนั้น อาจไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “เด็กหนึ่งคน” ที่เคยหล่นหายไปจากระบบ
เขาอาจเป็นเด็กที่ไม่มีเลขบัตรประชาชน เด็กที่อาศัยอยู่ในวัด เด็กที่อยู่ในเมืองแต่ไม่มีค่ารถ เด็กที่ใครหลายคนอาจคิดว่า “ช่วยไม่ได้”

แต่วันหนึ่ง เขามีชื่ออยู่ในระบบคัดกรองได้รับทุนช่วยเหลือ  ได้กลับไปเรียน และเริ่มเห็นเส้นทางของตัวเองที่ไม่เคยมีมาก่อน ปีกของเด็กคนนั้นเริ่มขยับ และจากปีกนั้น ทั้งระบบก็เริ่มเปลี่ยน

เราจึงบอกได้อย่างไม่ลังเลว่า ทุนเสมอภาคไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลือรายหัว แต่คือ หลักประกันที่ช่วยพยุงเด็กให้อยู่ในระบบ และพยุงระบบให้ยืนอยู่บนความเป็นธรรม

ในตลอดหกปีที่ผ่านมา ระบบนี้ได้ขยับจาก “โครงการนำร่อง” สู่ “โครงสร้างร่วม” จากเงินสนับสนุน ไปสู่ระบบข้อมูล จากทุนเฉพาะกิจ ไปสู่เครื่องมือในการออกแบบนโยบาย

มันไม่ใช่แค่การให้ “สิทธิ” กับเด็ก แต่มันคือการส่งสัญญาณให้กับทั้งระบบว่า ความเสมอภาคทางการศึกษาไม่ควรเป็นโอกาสพิเศษ แต่ควรเป็นโครงสร้างที่อยู่กับเด็กทุกคน ตั้งแต่วันแรก

และไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้  เมื่อฐานข้อมูลที่แม่นยำเกิดขึ้น ครูทำงานได้ง่ายขึ้น  ผู้บริหารโรงเรียนวางแผนได้ดีขึ้น
อปท. จัดงบได้ตรงจุดขึ้น
ผู้ปกครองรู้สึกว่ารัฐยังมองเห็นเขา
และนักเรียนก็เริ่มเชื่ออีกครั้งว่า

“เขาไม่ได้อยู่ลำพังในระบบที่ใหญ่เกินไปสำหรับเขา”

ระบบที่ดี ไม่ควรยืนอยู่ได้แค่กับคนที่แข็งแรงที่สุด
ต่มันต้องมีที่ว่างพอให้เด็กที่เปราะบางที่สุด
ลุกขึ้นยืนได้เช่นกัน

และการที่เด็กหนึ่งคนกลับมาเรียนได้
อาจไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่เปลี่ยนชีวิตของเขา
และอาจเปลี่ยนทิศทางของอีกหลายชีวิตที่อยู่ในระบบเดียวกันนั้น


ปีกที่เราทุกคนมีส่วนร่วม

“ถ้าคุณคือปีกอีกข้าง… คุณอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร?”

นั่นไม่ใช่คำถามสำหรับบทบาทใดบทบาทหนึ่ง แต่มันคือคำถามสำหรับสังคมไทยทั้งประเทศ

หากเราทุกคนมีปีกคนละข้าง
เราจะใช้มันเพื่อพยุงใคร?
เราจะยอมขยับพร้อมกันไหม?
และเราจะกล้าคิดไหมว่า ระบบการศึกษาแบบใหม่ ไม่ได้ต้องสมบูรณ์แบบ แต่อาจต้อง “มีกำลังใจ” มากพอ ที่จะกล้ากลับไปซ่อมสิ่งที่ไม่เคยถูกออกแบบมาเพื่อเด็กทุกคนจริง ๆ

เพราะสุดท้าย เราต่างก็เป็น “ปีกอีกข้าง” ของกันและกัน และเมื่อปีกเล็ก ๆ ขยับพร้อมกัน  มันก็อาจสร้างระบบที่ใหญ่พอ จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกต่อไป