เสียงพากย์ที่ไม่หายไป เมื่อ “ทุกที่คือโรงเรียน” ทำให้เด็กทำงานและเรียนไปพร้อมกัน

เสียงพากย์ที่ไม่หายไป เมื่อ “ทุกที่คือโรงเรียน” ทำให้เด็กทำงานและเรียนไปพร้อมกัน

การศึกษายืดหยุ่นที่ประคองชีวิตให้เดินต่อ
ระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” กลายเป็นกลไกรองรับชีวิตจริงของไพศาล เด็กหนุ่มที่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัว เขาเกือบต้องทิ้งการเรียน แต่โรงเรียนเปิดประตูให้เขากลับเข้าสู่การเรียนโดยไม่สูญเสียอาชีพนักพากย์ฯ ผ่านการศึกษายืดหยุ่นที่ตอบโจทย์ชีวิต
 
ไพศาล คือเด็กหนุ่มที่เกือบต้องเลือก “รายได้” เหนือ “การเรียน” แต่กลับมามีอนาคตจากการศึกษายืดหยุ่น
จากการหายไปช่วง ม.4 เพื่อพากย์บอลหาเลี้ยงครอบครัว ครูตามกลับมาและดึงเขาเข้าสู่ระบบยืดหยุ่น ประสบการณ์พากย์ถูกเทียบโอนเป็นการเรียนรู้จริง ทำให้เขาเห็นเส้นทางสู่ ม.6 และต่อยอดสู่อาชีพสื่อกีฬาได้ชัดขึ้น
 
ครูและโรงเรียนที่มองเด็กตามความจริงของชีวิต ไม่ตัดสินอดีต
โรงเรียนสร้างพื้นที่ปลอดภัยและติดตามรายบุคคล เชื่อว่าเด็กไม่ได้หลุดเพราะไร้ความสามารถแต่เพราะภาระชีวิต ระบบนี้ช่วยให้ไพศาลกลับมายืนในสังคมได้อย่างมั่นคง พร้อมทักษะและโอกาสที่เขาเลือกได้เอง

เสาร์บ่ายที่สนามฟุตบอลแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แสงแดดร้อนจัด ผู้คนเริ่มทยอยเข้าสนาม เด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะพากย์ ตรวจเช็กไมค์ ดูโน้ตรายชื่อนักเตะทั้งสองทีมอีกรอบ แล้วหายใจลึกๆ รอเวลานัดแข่ง

ไพศาล อำไพกูลย์ อายุ 17 ปี ชื่อเล่นชาร์ป เป็นนักพากย์ฟุตบอลเดินสายมืออาชีพ ทำงานจันทร์-พุธ-ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แม้จะอายุเท่านี้ แต่เขามีรายได้วันธรรมดา 500 บาท วันหยุดสัปดาห์ละ 1,000-2,000 บาท จากอาชีพนักพากย์ฟุตบอล

สนามที่เด็กหนุ่มเดินทางไปพากย์เสียง กระจายตั้งแต่สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี ไปจนถึงเมืองกาญจน์

หากมองแค่ภายนอก คนคงคิดว่านี่คือเด็กหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในอาชีพที่รัก แต่สิ่งที่ไม่มีใครเห็นคือราคาที่เขาต้องจ่าย

เขาเกือบต้องเลือกระหว่างการทำงานกับการเรียน และเกือบจะสูญเสียโอกาสในการมีวุฒิการศึกษา จนกระทั่งโรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์เปิดทางเลือกใหม่ให้เขา

วันที่ต้องเลือก

ไพศาลเติบโตมาในครอบครัวที่มีคุณตา คุณยาย และคุณแม่ที่ไม่มีรายได้ประจำ บ้านอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระยะทาง ปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะเลี้ยงครอบครัว

“ตอนแรกผมก็เรียนปกติครับ พยายามจนจบ ม.3 มาได้ แต่พอขึ้น ม.4 ผมเริ่มขาดเรียน” ไพศาลเล่าด้วยน้ำเสียงสงบ “เพราะที่บ้านไม่มีรายได้ ผมเลยต้องออกไปทำงาน”

งานที่เขาทำคืองานที่เขารัก นักพากย์ฟุตบอล

“ผมชอบฟุตบอลอยู่แล้วครับ ตอนแรกก็แค่ไปดูบอลเล่นๆ แล้วก็ชอบการพากย์ เลยลองฝึกฝน” เขาพูดแล้วยิ้มนิดๆ “มาเป็นทุกวันนี้ครับ”

แต่ทุกวันนี้ของเขามาพร้อมกับตารางงานที่หนาแน่น จันทร์-พุธ-ศุกร์ ทำตั้งแต่หกโมงเย็นถึงห้าทุ่มเป็นต้นไป เสาร์-อาทิตย์ บางงานเริ่มแปดโมงเช้า บางงานเริ่มเก้าโมง จบดึกที่ไหนไม่รู้ การเดินทางกินเวลา บางทีกลับถึงบ้านตีสอง ตีสาม

“ผมคิดตอนนั้นว่า คงไม่ได้เรียนต่อแล้วครับ” ไพศาลพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “เพราะมันเลือกไม่ได้ ครอบครัวต้องมีรายได้”

เขาหายไปจากโรงเรียนช่วง ม.4 ไม่มีใครบังคับให้เขาออก เขาเพียงแค่ไม่กลับมา และเขาคิดว่ามันคงจบแค่นั้น

จนกระทั่งอาจารย์แหม่มโทรมา

โทรศัพท์สายที่เปลี่ยนชีวิต

ณัฐฐศศิ จันทร์แย้ม หรือครูแหม่ม ครูสอนภาษาไทยที่เคยสอนไพศาลตอน ม.3 รู้ปัญหาของเขามานาน เธอเห็นเขามาโรงเรียนสายเพราะต้องไปเดินตามพระเก็บอาหารมาให้ตากับยายก่อน ครูแหม่มเห็นเขาเหนื่อย เห็นเขาพยายาม และเห็นเขาประคองตัวเองมาจนจบ ม.3

“พอเขาหายไปช่วง ม. 4 เราก็คุยกับเขาว่า ไพศาลจะไม่เรียนเหรอ” ครูแหม่มเล่า “เขาบอกว่า ‘ครับ ผมกลัวจะไม่ได้เรียนแล้ว เพราะครูก็รู้ปัญหาของผม ผมอยากทำงานครับ’”

ครูแหม่มฟังแล้วเสียดาย เพราะเธอรู้ว่าเขามีความสามารถ มีความตั้งใจ แค่ชีวิตไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาเลือก

“ครูถามเขาว่า ‘ไปทำงานที่ไหนล่ะ’ เขาบอก ‘พากย์บอลครับครู’” ครูแหม่มเล่าต่อ “ครูก็บอกว่า ลองเปลี่ยนมุมมองดูมั้ย โรงเรียนเรามีโครงการดีๆ ที่อาจจะช่วยให้ไพศาลทั้งทำงานและเรียนได้พร้อมกันนะ”

นั่นคือครั้งแรกที่ไพศาลได้ยินคำว่า “โครงการชนูปถัมภ์ให้โอกาส” หรือระบบการศึกษายืดหยุ่น “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ”

“ครูแหม่มบอกว่าระบบนี้ยืดหยุ่น ผมไม่ต้องมาโรงเรียนทุกวัน มารับงานสัปดาห์ละครั้ง เอากลับไปทำที่บ้าน วันไหนไม่ได้ทำงานก็บอกครู แล้วมาเจอครูได้” ไพศาลเล่าถึงสิ่งที่ครูแหม่มอธิบายให้ฟังวันนั้น

เขาฟังแล้วนิ่งไปสักพัก

“ผมเลยบอกครูไปว่า ‘งั้นผมจะลองดู’” เขาตอบ

ระบบที่เดินตามชีวิต

โครงการชนูปถัมภ์ให้โอกาสที่โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์เริ่มขึ้นภายใต้การนำของ ดร.นุชนาถ สอนสง ผู้อำนวยการโรงเรียน และ นจรส ศิริขรรแสง รองผู้อำนวยการ ที่เห็นเด็กจำนวนมากหลุดออกจากระบบเพราะปัญหาชีวิต

นุชนาถเล่าว่า “พอเข้ามาเป็นผู้อำนวยการ ก็เห็นว่ามีเด็กหลุดออกไปจากระบบเยอะ บางคนต้องทำงาน บางคนครอบครัวแยกทาง บางคนต้องดูแลผู้ป่วย เราคิดว่าถ้าปล่อยแบบนี้ เด็กพวกนี้จะไม่มีวันกลับมาอีกเลย”

โรงเรียนจึงนำระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” มาใช้ ให้เด็กเลือกได้ว่าจะเรียนแบบไหน

ออนไซต์: มาเรียนที่โรงเรียนแบบปกติ
ออนแฮนด์: รับใบงานกลับไปทำที่บ้าน
ออนไลน์: เรียนผ่านระบบออนไลน์

หรือจะผสมทั้งสามแบบก็ได้

สำหรับไพศาล เขาเลือก “ออนแฮนด์” เป็นหลัก มารับใบงานทุกวันพฤหัสบดี เอากลับไปทำที่บ้าน ค้นข้อมูลเองผ่านกูเกิล ถ้ามีข้อสงสัยก็คุยกับครูทางไลน์ วันไหนว่างก็มาเรียนออนไซต์

“มันแฟร์กับชีวิตผมที่สุดครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ผมไม่ต้องเลิกทำงาน แต่ก็ยังได้เรียนต่อ”

ครูแหม่มเสริมว่า “เราไม่ได้ลดมาตรฐานนะ แค่ปรับวิธี เด็กยังต้องทำงานครบ ยังต้องเรียนรู้ครบ แค่เวลาและสถานที่เปลี่ยนไป”

เมื่อชีวิตกลายเป็นห้องเรียน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้โครงการนี้ไม่ใช่แค่การ “ปล่อยให้เด็กทำงานแล้วเรียนไม่เต็มที่” คือการ “เทียบประสบการณ์ชีวิตจริงเป็นหน่วยการเรียนรู้”

งานนักพากย์ฟุตบอลของไพศาล ถูกวิเคราะห์โดยครูและจับคู่กับตัวชี้วัดรายวิชา

ภาษาไทย: การใช้ภาษา การเล่าเรื่อง การสื่อสาร คำศัพท์ การพูดในที่สาธารณะ
สังคมศึกษา: การเข้าใจบริบทพื้นที่ การทำงานร่วมกับทีม
คอมพิวเตอร์: การใช้โปรแกรมไลฟ์สด OBS การตัดต่อ การจัดกราฟิก
ศิลปะ : การออกแบบโปสเตอร์ ป้ายประชาสัมพันธ์
พลศึกษา: ความรู้เรื่องกีฬา กติกา ยุทธวิธี

“หลังจากที่ผมได้เริ่มโครงการนี้ มีวิชาภาษาไทยที่ตรงกับสายงานผมมาก” ไพศาลเล่า “ผมได้คำศัพท์ใหม่ๆ ที่เอาไปใช้ในการพากย์ได้ บางทีต้องพากย์งานพิธี ต้องใช้ภาษาที่เป็นทางการหน่อย ผมก็เอาสิ่งที่เรียนมาช่วยได้”

เขาพูดจบแล้วยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อว่า “วิชาคอมพิวเตอร์ก็ใช้ได้เยอะ ผมมีทีมงานมีเดียไลฟ์สด ต้องใช้โปรแกรมต่างๆ ต้องรู้เรื่องกล้อง เรื่องระบบ มันต้องใช้อยู่แล้ว”

นี่ไม่ใช่การลดมาตรฐานการศึกษา แต่เป็นการยอมรับว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดในห้องเรียนเสมอไป

ห้องที่ไม่มีการตัดสิน

โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์สร้าง “ห้องชนูปถัมภ์ให้โอกาส” แยกจากห้องเรียนทั่วไป ติดแอร์ มีไวไฟ มีทีวี มีคอมพิวเตอร์ จัดโต๊ะเรียนในบรรยากาศที่ไม่กดดัน

กาญจนา จันทร์ฤทธิ์ ครูผู้ประสานงานโครงการ อธิบายว่า “เด็กที่เคยหลุดออกไป ถ้าให้กลับมาเรียนกับเพื่อนปกติ บางคนอาจรู้สึกอึดอัด เราเลยจัดพื้นที่ให้เขาได้มีที่ปลอดภัย”

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าห้องเรียน คือทัศนคติของคนในโรงเรียน

“เด็กในโครงการนี้เกือบ 90% มาจากครอบครัวที่พ่อแม่แยกทาง” ครูกาญจนาเล่า “การสอนอย่างเดียวไม่พอ ครูต้องเป็นที่พึ่งของเขาด้วย เราต้องคุยกับเขา ให้กำลังใจเขา ติดตามเขา”

เสียงที่ชัดขึ้น

วันนี้ไพศาลอายุ 17 ปี กำลังเรียนชั้น ม.5 เทอม 1 เขายังพากย์บอลเหมือนเดิม รายได้ถือว่ามั่นคง แต่เขากำลังสะสมหน่วยกิตเพื่อจบ ม.6

“ถ้าไม่มีโครงการนี้ ผมคงไม่ได้เรียนต่อแล้วครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คงทำงานอย่างเดียว แล้วอนาคตก็คงไปได้แค่ทางนั้นทางเดียว”

แต่ตอนนี้เขามองเห็นอนาคตที่กว้างขึ้น

“ผมอยากทำช่องกีฬาของตัวเอง อยากพากย์ระดับประเทศ” เขาพูดแล้วยิ้ม “ถ้าผมมีวุฒิ ม.6 ผมจะได้มีโอกาสมากกว่านี้”

เขาหยุดแล้วพูดต่อ “ผมต้องขอบคุณ ผู้อำนวยการ นุชนาถ สอนสง และท่านรองผู้อำนวยการ นจรส ศิริขรรแสง  ที่นำโครงการนี้เข้ามา ต้องขอบคุณคุณครูแหม่ม และคุณครูกาญจนา ที่ดึงผมเข้ามา ถ้าไม่มีท่าน ผมไม่มีวันได้ยืนตรงนี้แน่นอน”

นอกจากการพากย์ฟุตบอล ไพศาลมีเพจของทีมงานชื่อ “บ้านนอกมีเดีย” ที่โพสต์ผลงาน ภาพถ่าย คลิปไลฟ์สด และงานพากย์ต่างๆ คนที่สนใจสามารถติดตามได้

เสียงของเขาชัดขึ้น มั่นใจขึ้น และที่สำคัญ ไม่หายไปจากห้องเรียนอีกต่อไป

การศึกษายืดหยุ่น กับบทบาทครูที่ต้องยืดหยุ่นและปรับตัว

ครูแหม่มบอกว่าการทำโครงการชนูปถัมภ์ให้โอกาส หรือระบบการศึกษายืดหยุ่นนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

“เราต้องออกแบบใบงานใหม่ ประเมินรายบุคคล เทียบประสบการณ์กับตัวชี้วัด ติดตามงานที่เด็กส่งมาไม่ตรงเวลา ต้องพร้อมตอบคำถามทางไลน์ตลอดเวลา” เธอเล่า

“แต่พอเห็นเด็กจบได้ มันคุ้มมาก” เธอพูดแล้วยิ้ม “เวลามีเด็กจบเพิ่มทีละคน เรารู้เลยว่ามันคุ้ม”

ส่วนครูกาญจนา ผู้ดูแลเคสการศึกษายืดหยุ่น ยังเสริมด้วยว่า “ปีการศึกษา 2567 ที่ผ่านมา เราตามเด็กกลับมาได้ 23 คน จบ 10 คน ปีนี้เรายังทำต่อ เพราะเชื่อว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับโอกาส”

ด้านนุชนาถ สอนสง ผู้อำนวยการ ให้มุมมองที่ทรงพลังว่า “เราไม่ได้ทำให้เด็กจบง่ายขึ้น แต่ทำให้โอกาสของเขาไม่ถูกปิดเพราะชีวิตที่เขาเลือกไม่ได้”

ความท้าทายที่ยังเหลืออยู่

แม้โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์จะประสบความสำเร็จ แต่ความท้าทายยังมีอยู่

“ความท้าทายคือทำอย่างไรให้ครูทุกคนร่วมมือกัน” นุชนาถอธิบาย “บางคนยังคิดว่าเด็กที่หลุดออกไปเป็นเด็กที่ยังไงก็ไม่จบ ทำไมต้องช่วย”

“เราต้องสลายความคิดนี้” เธอพูดต่อ “เราต้องให้ครูเห็นว่าเด็กที่หลุดออกไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่ดี แต่เพราะเขามีข้อจำกัด และถ้าเราช่วย เขาจะกลับมาได้”

การศึกษายืดหยุ่นไม่ใช่การลดมาตรฐาน แต่เป็นการยอมรับว่าชีวิตของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน และระบบการศึกษาต้องยืดหยุ่นให้ทันชีวิตจริง

(จากซ้าย) ครูณัฐฐศศิ จันทร์แย้ม / รอง ผอ.นจรส ศิริขรรแสง /
ไพศาล อำไพกูลย์ / ครูกาญจนา จันทร์ฤทธิ์

วันที่ฟ้าสดใสและอนาคตเปิดกว้างขึ้น

บ่ายวันหนึ่งที่สนามฟุตบอลแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส แสงแดดร้อนจ้า ไพศาลนั่งอยู่หน้าโต๊ะพากย์ ตรวจเช็กอุปกรณ์ก่อนเกมจะเริ่ม ผู้คนเริ่มทยอยเข้าสนาม

“ผมโชคดีครับ” เขาพูดระหว่างเตรียมตัว “ที่เจอครูที่ไม่ทิ้งผม เจอโรงเรียนที่ให้โอกาส”

เขาหยุดแล้วพูดต่อ “ผมอยากบอกเด็กที่เหมือนผมว่า ถ้าคิดว่าไม่ได้เรียนแล้ว ลองถามโรงเรียนดูนะครับ ว่ามีทางอื่นไหม บางทีอาจจะมีโอกาสที่เราไม่รู้”

นกบินผ่านท้องฟ้า เสียงผู้คนคุยกันดังขึ้นเรื่อยๆ เวลาใกล้ถึงแล้ว ไพศาลสวมหูฟัง ถือไมค์ หายใจลึกๆ แล้วเริ่มพูด

เสียงพากย์ของเขาดังกังวานไปทั่วสนาม มั่นใจ ชัดเจน และเต็มไปด้วยอนาคตที่เขาเลือกได้เอง

โรงเรียนพนมทวนชนูปถัมภ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่นำระบบ “1 โรงเรียน 3 รูปแบบ” มาใช้ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กที่มีข้อจำกัดทางชีวิตได้เข้าถึงการศึกษา หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษายืดหยุ่น ติดต่อได้ที่ LINE OA กสศ.การศึกษายืดหยุ่น คลิก