“จากโควิดถึงน้ำท่วม: หลักฐานชี้ชัดว่า ไทยต้องมี ระบบเรียนรู้ฉุกเฉินและสวัสดิการดิจิตัลเพื่อการเรียนรู้”

“จากโควิดถึงน้ำท่วม: หลักฐานชี้ชัดว่า ไทยต้องมี ระบบเรียนรู้ฉุกเฉินและสวัสดิการดิจิตัลเพื่อการเรียนรู้”

สามปีของโควิด-19 ทำให้โลกได้เห็นชัดว่า “โรงเรียนปิด = การเรียนรู้หยุดทันที” ในหลายพื้นที่ของไทย เด็กต้องหยุดเรียนในห้องเรียนต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 – 60 สัปดาห์ ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในโลก เด็กหลายล้านคนไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีอินเทอร์เน็ต และไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้จริง ส่งผลให้เกิด Learning Loss, ภาวะซึมเศร้า และการหลุดออกนอกระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก

วิกฤตครั้งนั้นคือสัญญาณชัดเจนว่า “ระบบเรียนรู้ฉุกเฉิน” เป็นเรื่องจำเป็น

เราเจอสัญญาณเตือนและรุนแรงอีกหลายครั้ง เช่น จากอุทกภัย  ล่าสุดโรงเรียนจำนวนมากใน อยุธยา อ่างทอง ชัยนาท ปทุมธานี นนทบุรี ถูกน้ำท่วม อาคารเรียนเสียหาย เส้นทางถูกตัดขาด หนังสือและอุปกรณ์จำนวนมากไม่สามารถใช้งานได้ เด็กจำนวนมาก “หยุดเรียนโดยไม่ตั้งใจ” เพราะเดินทางไม่ได้ และไม่มีอุปกรณ์สำหรับเรียนจากที่บ้าน  บางพื้นที่ปิดเรียนมากกว่า 4 เดือนแล้ว

นี่คือ “บทเรียนซ้ำ” ที่บอกเราว่า หากไม่มีระบบรองรับ เด็กกลุ่มเดิมจะเป็นผู้เสียโอกาสซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปวรินทร์ พันธุ์ติเวช

มือถือหนึ่งเครื่อง = ห้องเรียนฉุกเฉินของเด็กกลุ่มเปราะบาง

นายปวรินทร์ พันธุ์ติเวช หัวหน้าฝ่ายข้อมูลและติดตามสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ กสศ. อธิบายว่า
ในพื้นที่วิกฤต “โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต” คืออุปกรณ์สาธารณะขั้นพื้นฐานที่ช่วยให้เด็ก

  • รับข้อมูลเตือนภัย
  • ติดต่อครู
  • เข้าถึงแบบฝึก–บทเรียน  ส่งงาน และเรียนออนไลน์ได้แม้อยู่กลางวิกฤต

“ช่วงโควิดพิสูจน์แล้วว่า มือถือช่วยให้เด็กจำนวนมากเรียนต่อได้จริง
และในสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ มือถือมีบทบาทสำคัญในการแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ผ่านแอปฯ อย่าง THAI DISASTER ALERT / PhonPhai / Thai Water / RainViewer รวมถึง Cell Broadcast ที่ส่งข้อความเตือนภัยไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แม้ในขณะที่เครือข่ายโทรศัพท์มีปัญหา ซึ่งนิยมใช้ในการแจ้งเตือนภัยพิบัติสำคัญ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ หรือน้ำท่วมใหญ่

และที่สำคัญเด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยกับปู่ย่าตายาย กลายเป็น “ผู้ใช้เทคโนโลยีที่คล่องตัวที่สุดในบ้าน” และสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ช่วยชีวิตครอบครัวได้จริง

แต่ความจริงที่น่ากังวลคือ…เด็กที่เสี่ยงที่สุดกลับเป็นเด็กที่ ‘ไม่มีอุปกรณ์’

ข้อมูลจากโครงการ SIM การเรียนรู้ของกสศ. ระบุว่า เด็กนอกเมือง 50 – 80% ไม่มีโทรศัพท์มือถือ แม้จะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติรุนแรง นี่ทำให้เด็กกลุ่มนี้ “ตัดขาดทั้งการเรียนรู้และข้อมูลเตือนภัย” ไปพร้อมกัน

และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมประเทศไทยต้องลงทุนใน “Digital Welfare” สำหรับเด็กยากจน

ระบบเรียนรู้ฉุกเฉินของประเทศ ต้องมี 5 เสาหลัก

นายปวรินทร์เสนอว่า หากต้องการให้เด็กไทยไม่หลุดเรียนอีกในทุกวิกฤต ประเทศไทยต้องสร้างระบบเรียนรู้ฉุกเฉินบน 5 องค์ประกอบดังนี้

  1. โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทั่วถึง–เสถียร
    ให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลสามารถเรียนออนไลน์ได้จริง
  2. อุปกรณ์ดิจิทัลสำหรับเด็กทุกคน
    แบบประเทศสิงคโปร์ที่จัด Personal Learning Device ให้เด็กทุกคน โดยรัฐสนับสนุนเด็กยากจนเต็มรูปแบบ
  3. อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ราคาย่อมเยาหรือใช้ฟรี
    รวมถึงจุด Wi-Fi สาธารณะในโรงเรียนและพื้นที่ชุมชน
  4. แพลตฟอร์มเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ทุกสถานการณ์
    เช่น Mobile School ที่ใช้ได้ทั้งออฟไลน์–ออนไลน์ และไม่ทำให้การเรียนสะดุดเมื่อเด็กเดินทางไม่ได้
  5. ทักษะดิจิทัลและทักษะ AI สำหรับเด็กและครอบครัว
    เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นโอกาส ไม่ใช่กำแพงใหม่ของความเหลื่อมล้ำ

การลงทุนที่ต้นทุนน้อย แต่ผลลัพธ์สูงมาก

ระบบเรียนรู้ฉุกเฉินช่วยให้

  • เด็กไม่ Dropout
  • ไม่เกิด Learning Loss
  • การเตือนภัยเข้าถึงทุกครัวเรือน
  • เด็กเข้าถึงสิทธิรัฐได้ง่ายขึ้น
  • และทำให้ครอบครัวพร้อมรับมือ Climate Change ที่รุนแรงขึ้นทุกปี

นี่คือการลงทุน “คุ้มค่าที่สุด” สำหรับอนาคตของเด็กไทยและสังคมไทยในระยะยาว