สำหรับการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ประจำปี 2568 Thailand International Conference on Education Research (ThaiCER) 2025 โดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และมีเจ้าภาพร่วม ได้แก่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี SEAMEO STEM-ED และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 7-8 สิงหาคม 2568
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร 15 แห่ง จัดงานปีนี้ภายใต้แนวคิด “การศึกษาเพื่ออนาคต: The Education for the Future begins today” ซึ่งเป็นความท้าทายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชากรศาสตร์ และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ขยายวงกว้าง ระบบการศึกษาต้องมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการยกระดับคุณภาพและความเสมอภาคทางการศึกษาผ่านนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์ นวัตกรรมดิจิทัล และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างรอบด้าน โดยมีเป้าหมายคือการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นสังคมแห่งความรู้ มีความยืดหยุ่น สามารถแข่งขันได้ และพัฒนาอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
นักวิเคราะห์ด้านนโนบาย ฟรานซิส สตาร์ลิ่ง (Francois Staring) ตัวแทนจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development) หรือ OECD องค์กรที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยมีการพัฒนาด้านการศึกษาเป็นหนึงในภารกิจ OECD เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาไทยในหลายมิติ ด้วยความร่วมมือในโครงการต่างๆ และการให้คำแนะนำเชิงนโยบาย เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาของไทยให้ทัดเทียมกับนานาชาติ หนึ่งในนั้นก็คือการร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ของไทย เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในการทำวิจัยเฉพาะด้าน เช่น “PISA for Schools” เพื่อศึกษาและหาแนวทางพัฒนาเด็กด้อยโอกาสในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล
การบรรยายในหัวข้อ Evidence-Based Policy Formulation: Utilization of Educational Research Outputs ในงาน ThaiCER 2025 ประกอบด้วยหัวข้อการบรรยายย่อยที่สำคัญ 4 ประเด็นดังนี้
- แนะนำ OECD องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยการศึกษา
- สำรวจความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจจะช่วยสนับสนุนโครงสร้างความรู้เพื่อการศึกษาได้อย่างไร
- ทบทวนบทบาทของนักการศึกษา
- ชุดคำถามสำหรับงาน ThaiCER 2025
รู้จักกับ OECD องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development)
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 เป็นส่วนหนึ่งของแผนการมาร์แชลล์ (Marshall Plan) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณะฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมของยุโรป ปัจจุบันมีสมาชิก 38 ประเทศทั่วโลก ประเทศที่เข้าร่วมล่าสุดคือโคลอมเบียและคอสตาริกาในปี พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา อินโดนีเซียและไทยก็เป็นสองประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังจะเข้าร่วมเป็นประเทศผู้สมัคร OECD
OECD มีการร่วมมือกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ประเทศไทยได้เข้าร่วมการประเมินนักเรียนนานาชาติด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ หรือที่เรียกว่า PISA ( (Programme for International Student Assessment) และได้เข้าร่วมการสำรวจโรงเรียนด้านความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงวิพากษ์ที่จัดทำขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมา OECD ได้ให้การสนับสนุนประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านรายงานกลยุทธ์ด้านทักษะที่เพิ่งตีพิมพ์ ในฐานะที่ฟรานซิสเป็นตัวแทนจาก OECD เขามีความหวังว่าการเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการเรียนรู้ระบบการศึกษาของประเทศไทยและทำความเข้าใจ รับรู้ความท้าทายและความต้องการ เพื่อนำกลับไปหาแนวทางการพัฒนาต่อไป
OECD ยังทำงานร่วมกับรัฐบาลในหลายประเทศเพื่อออกแบบ ประเมินผล และสนับสนุนการดำเนินนโยบายการศึกษาระดับชาติ มีศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา เพื่อวิจัยและพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง ทำความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในการสอนและการเรียนรู้ สิ่งที่ OECD ทำคือการนำองค์ประกอบสามส่วน คือ นโยบาย การปฏิบัติ และการวิจัย เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างยั่งยืน
ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยการศึกษา
ฟรานซิสชี้ประเด็นให้เห็นเหตุผลว่าทำไม OECD ถึงมุ่งมั่นพัฒนางานวิจัยด้านการศึกษา หนึ่งในนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นเรื่องของเงินทุน แต่งบประมาณอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญเพียงพอต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน เขาจึงนำเสนอข้อมูลที่เป็นการพิสูจน์ข้อค้นพบนี้

จากภาพจะเห็นว่า สิงคโปร์ลงทุนด้านการศึกษาน้อยกว่าบรูไน แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีกว่ามาก เวียดนามมีอัตราการลงทุนใกล้เคียงกับชิลี แต่กลับมีผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีมากกว่า แสดงให้เห็นว่างบประมาณมีส่วนสำคัญ แต่ไม่ใช่ปัจจัยส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งหมด
เหตุผลประการที่สองที่ OECD ใส่ใจกับงานวิจัยทางการศึกษาก็คือ การพิสูจน์ว่าจำนวนเวลาที่ใช้ไปกับการเรียนรู้ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์ของนักเรียนจะดีขึ้นเสมอไป ในแผนภูมิจะเห็นแท่งกราฟที่นักเรียนอายุ 15 ปีทำการทดสอบ PISA รายงานว่าพวกเขาเรียนรู้อะไรในแต่ละสัปดาห์ แท่งกราฟสีน้ำเงินจะแสดงจำนวนเวลาที่พวกเขาใช้ไปกับการเรียนรู้ในโรงเรียน และแท่งกราฟสีเขียวจะแสดงจำนวนเวลาที่พวกเขาใช้ไปกับการเรียนรู้นอกโรงเรียน
ในประเทศอย่างฟินแลนด์หรือสวิตเซอร์แลนด์ นักเรียนใช้เวลาเรียนรู้น้อยกว่า แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านักเรียนในอิตาลี ชิลี หรือไทย สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่านักเรียนจะสามารถเรียนรู้ได้มากแค่ไหน แต่มีลักษณะการเรียนรู้อย่างไรหรือมีรูปแบบการสอนในห้องเรียนอย่างไรมากกว่า

OECD สนับสนุนประเทศต่างๆ ให้เชื่อมโยงนโยบายและการปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาได้ดีขึ้นอย่างไร?
ที่ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษาของ OECD มีทีมงานเฉพาะทางที่ดูแลเรื่องการเชื่อมโยงนโยบายและแนวปฏิบัติด้านการวิจัยทางการศึกษาโดยเฉพาะ
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา OECD เผยแพร่สิ่งพิมพ์สามฉบับที่ตีพิมพ์ในปี 2021 2023 2025 สิ่งพิมพ์เหล่านี้มาจากแหล่งข้อมูลหลักสองแหล่ง ฉบับแรกคือการสำรวจที่ทำร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านแบบสอบถามตัวแทนจากทุกประเทศใน OECD 29 ประเทศจาก 38 ประเทศสมาชิก และ 37 เขตอำนาจศาล เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัย อุปสรรค และกลไกในการนำการวิจัยทางการศึกษาไปใช้ในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ การสำรวจครั้งที่สองจัดทำในปี 2023 ได้สำรวจในพื้นที่จริง รวบรวมคำตอบจากหลักฐานหรือองค์กรประเภทต่างๆ ที่ผลิตงานวิจัยและเผยแพร่งานวิจัย OECD ได้รวบรวมคำตอบจากองค์กร 288 แห่ง จาก 34 ประเทศ
รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความรู้ทางการศึกษาได้อย่างไร

ฟรานซิสกล่าวว่าประเด็นหลักของการนำเสนอครั้งนี้คือชี้ให้เห็นศักยภาพและโอกาสที่รัฐบาลของแต่ละประเทศสามารถทำได้ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบนิเวศที่เอื้อต่อการใช้งานวิจัยในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติ ประกอบด้วย 3 ส่วนดังนี้
1. ผู้เล่นหลัก/ผู้มีบทบาทสำคัญ (Actors): ใครเป็นผู้สนับสนุนการผลิตและการเผยแพร่การวิจัยในระบบการศึกษา?

เมื่อ OECD เริ่มต้นทำงานกับประเทศสมาชิกใหม่ ภารกิจหลักคือจัดทำแผนที่และทำความเข้าใจว่าใครคือบุคคลหรือองค์กรที่มีบทบาทต่อระบบการศึกษา กระบวนการนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและใช้เวลายาวนาน เพราะมีองค์กรและบุคคลมากมายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สมาคมครู สมาคมผู้ปกครอง คณะกรรมการระดับรัฐ เทศบาลและหน่วยงานท้องถิ่น กระทรวงระดับชาติ และหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมาย เต็มไปด้วยเครือข่ายหรือระบบที่เฉพาะเจาะจงและซับซ้อนในแต่ละกรณี
ในบางประเทศอาจมีหน่วยงานเฉพาะภายในกระทรวงที่สนับสนุนการเผยแพร่หรือการนำงานวิจัยไปใช้ ในบางประเทศอาจมีหน่วยงานดังกล่าวอยู่นอกกระทรวง หรือแต่ละกระทรวงร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่งกับสถาบันวิจัยหรือมหาวิทยาลัย ปัจจัยด้านหน่วยงานเหล่านี้ขึ้นอยู่กับบริบททางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ การเมือง และประเพณีของแต่ละประเทศ
แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาคือ ระบบเริ่มสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ตัวกลางอย่างเป็นทางการ” หมายถึงองค์กรอิสระที่ทุ่มเท มีบทบาทและหน้าที่สนับสนุนการใช้งานวิจัยในระดับระบบทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ
2. รูปแบบกิจกรรม (Activities): ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบกำลังทำกิจกรรมอะไรบ้างเพื่อสร้างและเผยแพร่งานวิจัย?
ย้อนกลับไป 20 ปีก่อน กระบวนการเผยแพร่งานวิจัยส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเส้นตรง นึกภาพนักวิชาการที่นั่งเขียนงานวิจัยในมหาวิทยาลัย ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารวิชาการ และสุดท้ายคือการนำเสนองานวิจัย ซึ่งทั้งหมดเป็นลำดับขั้นตามตำราเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงการวิจัยเช่นนี้ไม่เพียงพอที่ผู้กำหนดนโยบาย ครู และผู้นำโรงเรียนจะนำผลการศึกษาไปใช้ได้จริง
สิ่งที่เป็นที่ต้องการจริงๆ คือการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและองค์กร เพื่อให้ระหว่างองค์กรสามารถร่วมกันออกแบบ (Co-design) งานวิจัยที่กำลังทำอยู่ ร่วมกันนำงานวิจัยไปปฏิบัติจริง (Co-implement) ได้อย่างมีหลักการมากขึ้น นอกจากการเชื่อมโยงและความสัมพันธ์เหล่านี้แล้ว ยังต้องการศักยภาพและทักษะเพื่อนำไปปรับใช้และมีส่วนร่วมกับงานวิจัยได้อย่างแท้จริง ความต้องการการฝึกอบรมครู ผู้นำโรงเรียน และผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับวิธีการนำงานวิจัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเกิดขึ้น ผสมผสานกับแรงจูงใจ จำเป็นต้องมีโครงสร้าง ทรัพยากร และเวลาที่บุคลากรจะทุ่มเทไปกับงานวิจัยอย่างจริงจัง
อุปสรรคที่พบอย่างหนึ่งคือ งานวิจัยจำนวนมากถูกมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายเฉพาะของแต่ละประเทศ และมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้กำหนดนโยบายหรือผู้ปฏิบัติ จำเป็นต้องทำให้เข้าถึงได้ในรูปแบบแนวทางปฏิบัติที่เข้าใจง่าย
ยังรวมถึงการขาดแคลนกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพและการฝึกอบรม ยกตัวอย่างเช่น การฝึกอบรมครูระยะเริ่มต้น OECD ไม่เห็นสถาบันฝึกอบรมครูให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัยของครูในอนาคตมากนัก ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง ครูจำเป็นต้องมีศักยภาพในการเข้าถึงงานวิจัยด้วยตนเอง จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพและทัศนคติที่ดี นั่นคือการมีความคิดริเริ่มแบบอัตโนมัติว่าจะค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตัวเอง เมื่อพบว่ามีบางอย่างของการสอนในห้องเรียนไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าใครเป็นผู้ผลิตและเผยแพร่งานวิจัย สิ่งต่อมาคือสร้างแผนที่การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งตามสีของการระดมความรู้ (Heat map of knowledge mobilisation) หรือโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาสำหรับการวิจัย นั่นคือสิ่งที่ OECD ทำในรายงานที่เผยแพร่ไปเมื่อปี 2000
ในแผนที่นี่จะมีทั้งตัวกลางอย่างเป็นทางการ ตัวกลางภาครัฐ หน่วยวิเคราะห์เหล่านี้อยู่ในกระทรวง สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษาครูเบื้องต้น บริษัทที่ปรึกษา และอื่นๆ ด้านซ้ายมือคือ กิจกรรมประเภทต่างๆ สำหรับแต่ละกิจกรรม เราขอให้องค์กรต่างๆ บอกกับ OECD ว่าดำเนินงานสิ่งนี้ที่ระดับใด และขอให้พวกเขาให้คะแนนกิจกรรมเหล่านี้ในระดับ 1 ถึง 5 โดยระดับ 1 คือไม่ค่อยกระตือรือร้น และ 5 คือกระตือรือร้นมาก
จะเห็นได้ว่ากล่องทั้งหมดที่เป็นสีน้ำเงินหรือสีน้ำเงินเข้มคือกล่องที่เย็น หมายความว่าไม่ได้ทำกิจกรรมประเภทนี้มากนัก หากเป็นสีแดง หมายความว่ากล่องเหล่านั้นมีกิจกรรมมาก
สิ่งสำคัญคือ OECD ไม่ต้องการให้แผนที่ทั้งหมดเป็นสีแดง เราไม่ต้องการให้บุคลากรด้านการศึกษาทุกคนกระตือรือร้นทำทุกอย่างพร้อมกัน นั่นจะเป็นการใช้ทรัพยากรซ้ำซ้อนและก่อให้เกิดการแข่งขัน ซึ่งไม่จำเป็น แนวปฏิบัติที่ควรเกิดขึ้นคือ เฉพาะคนที่มีบทบาทเจาะจงในระบบหรือคนที่เชี่ยวชาญในการดำเนินการเท่านั้นที่ควรจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการกิจกรรม เราอาจต้องการให้สถาบันการศึกษาครูเป็นผู้สอนครูในอนาคตถึงวิธีการมีส่วนร่วมกับงานวิจัย
สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นคือ จริงๆ แล้วมีองค์กรเพียงไม่กี่แห่งที่มีบทบาทในการประสานงานระบบนิเวศการเผยแพร่งานวิจัย ตลอดจนรัฐบาล หน่วยงานกลางอย่างเป็นทางการ และหน่วยงานกลางที่ฝังตัวอยู่ในที่สาธารณะก็มีบทบาทเช่นกัน
3. เชื่อมประสานงานวิจัยและนโยบาย (Research-policy link): เราจะสร้างกลไกและโครงสร้าง (ใหม่) หรือเสริมความแข็งแกร่ง (ที่มีอยู่เดิม) เพื่อสนับสนุนการใช้การวิจัยในนโยบายได้อย่างไร
ฟรานซิสยกตัวอย่าง เริ่มจากจากนอร์เวย์ รัฐบาลมีธรรมเนียมการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเอกราชหรือคณะกรรมการที่ปรึกษา ซึ่งพวกเขาเรียกว่า ‘คณะกรรมการสาธารณะ’ เป็นคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาเพื่อทำงานเกี่ยวกับการวิจัย หลักฐานที่ได้รับข้อมูล และการดำเนินนโยบาย คณะกรรมการเหล่านี้จะได้รับทรัพยากร สิ่งอำนวยความสะดวก และดำเนินนโยบายสาขาต่างๆ มาแล้วมากมาย
ในเนเธอร์แลนด์ มีสำนักงานเฉพาะที่เรียกว่า ‘สำนักงานเพื่อความรู้’ ซึ่งตั้งอยู่ภายในกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ และสำนักงานดังกล่าวให้การสนับสนุนหน่วยงานอื่นๆ ทั้งหมดภายในสำนักงานโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากงานวิจัยด้านการศึกษา
ทบทวนบทบาทของนักการศึกษา
OECD ได้สำรวจร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ องค์กรต่างๆ สถาบันวิจัย และตัวกลางอย่างเป็นทางการ เพื่อทำความเข้าใจว่าใครทำอะไร และในขั้นตอนต่อไปของการทำงานจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กรประเภทต่างๆ ในแง่ของวิธีการผลิตและเผยแพร่งานวิจัยทางการศึกษา

ในรูปจะเห็นว่า จากนิยามเดิมคือ นักการศึกษา = อาชีพเชี่ยวชาญหลายด้าน ครอบคลุมหลายบทบาท ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนเป็น นักการศึกษา = อาชีพเชี่ยวชาญหลายด้านด้วยการยอมรับผลงานอย่างเฉพาะเจาะจง
ฟรานซิสขยายความเพิ่มเติม ถ้าคุณเป็นนักวิชาการที่ทำงานในมหาวิทยาลัย มักจะมีหน้าที่หลักอยู่สองอย่าง คือสอนหนังสือและทำวิจัย หน้าที่ที่สามของนักวิชาการและองค์กรวิจัยก็คือการมีส่วนร่วมหรือรับบทบาทผู้นำ การบริการและร่วมมือกับองค์กรภายนอก สิ่งนี้กำลังบอกว่า บทบาทนักการศึกษานั้นเป็นอาชีพที่ซับซ้อนและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ส่วนบทบาทของนักวิชาการแล้ว จริงๆ แล้วมีข้อจำกัดน้อยมาก นักวิชาการมักได้รับการประเมินจากจำนวนบทความที่เขียน วารสารที่ตีพิมพ์ และจำนวนโครงการวิจัยที่ส่งเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้ และหากสถาบันมีความก้าวหน้า คุณภาพการสอนของพวกเขาก็อาจมีความสำคัญต่อการเลื่อนตำแหน่ง แต่บ่อยครั้งที่การมีส่วนร่วมกับสังคมหรือการร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกมักไม่ได้รับการนำมาพิจารณาอย่างจริงจังเมื่อถูกประเมินหรือประเมินผลงานของนักวิชาการ
และนั่นคือช่องว่างที่สำคัญและมีนัยยะอย่างมาก องค์กรหลายแห่งตระหนักรู้เรื่องนี้มาเป็นเวลานาน เริ่มเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมนี้ในวงการวิชาการอย่างช้าๆ ดังที่เห็นได้จากคำถามเรื่องแรงจูงใจ เช่น การเข้าร่วมประชุม ร่วมมือกับสมาชิกในชุมชน หรือร่วมมือกับอาจารย์ หมายความว่าแรงจูงใจเหล่านี้ควรมาจากความปรารถนาหรือความเชื่อส่วนตัวของนักวิจัยว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือช่วยสร้างผลกระทบต่อสังคมได้ แต่แรงจูงใจหรือสิ่งจูงใจภายนอกนั้นมีข้อจำกัดมากกว่า แรงจูงใจภายนอกอื่นๆ เช่น เพิ่มเงินเดือนหากเผยแพร่งานวิจัยได้ดี หรือเกณฑ์การประเมินผลงาน 1 ใน 3 ของสถาบันอาจมีนโยบายด้านแรงจูงใจภายนอก นำไปสู่ข้อสรุปว่า จริงๆ แล้ว นักการศึกษาต้องมีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยของครูในอนาคต
คำถามที่น่าสนใจสำหรับ ThaiCER 2025
ฟรานซิสทิ้งท้ายการบรรยายด้วยการนำเสนอชุดคำถามที่น่าสนใจ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้นำไปต่อยอด คำถามแรกคือ ลองคิดถึงผู้ที่มีบทบาทหลักและกิจกรรมต่างๆ อย่างเช่นในบริบทของไทย หรือในบริบทของประเทศหรือระบบอื่นๆ ใครคือบุคคลและองค์กรที่ทำการเผยแพร่งานวิจัย และทำกันอย่างไร? ระบบนี้ยังมีช่องว่างที่จะพัฒนาต่อได้หรือไม่? บุคลากรหรือหน่วยงานจะเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นได้อย่างไร?
คำถามที่สองคือ ลองคิดถึงความเชื่อมโยงของนโยบายการวิจัยนี้ มีกลไกและโครงสร้างอะไรที่มีอยู่เดิม? มีหน่วยงานที่ปรึกษาเฉพาะทางหรือไม่? มีคนในกระทรวงที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้วหรือไม่? แล้วเราจะต่อยอดความเชี่ยวชาญและศักยภาพที่มีอยู่นั้นได้อย่างไร?
แล้วคำถามที่สามก็คือ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทุกสิ่งที่เราพูดคุยและแบ่งปันกันที่นี่ในอีกสองวันข้างหน้า (ระยะเวลาจัดกิจกรรม) จะไม่สูญหายไป เราจะต่อยอดจากสิ่งนี้ได้อย่างไร จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคำแนะนำทั้งหมดที่นำเสนอที่นี่จะถูกนำไปพิจารณาโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา รัฐบาลไทยอย่างแท้จริง