200 กม. จากห้วยซ้อวิทยาคม ถึง ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา : การเดินทางทุกวันศุกร์ของคณะครู เพื่อมอบการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นให้เด็กๆ ในห้องเรียนระบบสองแบบข้ามจังหวัด

200 กม. จากห้วยซ้อวิทยาคม ถึง ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา : การเดินทางทุกวันศุกร์ของคณะครู เพื่อมอบการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นให้เด็กๆ ในห้องเรียนระบบสองแบบข้ามจังหวัด

200 กิโลเมตร คือระยะทางที่รถตู้ประจำโรงเรียนต้องเดินทางจากโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จังหวัดเชียงราย ในทุกวันศุกร์ เพื่อนำคณะครูกว่า 5 ชีวิตไปจัดการเรียนรู้ ‘ห้องเรียนระบบสอง’ ให้แก่นักเรียนที่ ‘ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา’ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ในวันเสาร์อาทิตย์ และคณะครูก็เดินทางกลับมาที่โรงเรียนห้วยซ้อฯ อีกครั้งในวันอาทิตย์บ่าย เพื่อเตรียมตัวสอนนักเรียนระบบปกติในวันจันทร์เปิดเรียนที่กำลังจะถึง

ห้องเรียนระบบสอง เป็นการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่น ที่ ‘ผอ.พิเศษ ถาแหล่ง’ ผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก นำมาใช้ในโรงเรียนเพื่อป้องกันปัญหานักเรียนเสี่ยงหลุดระบบการศึกษา หรือหากหลุดระบบการศึกษาไปแล้วก็สามารถกลับเข้าระบบการศึกษาตามความยืดหยุ่นของปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมของเด็กคนนั้นๆ ได้

“เด็กห้องเรียนระบบสองไม่ต้องเข้าห้องเรียนไปเรียนแบบปกติ เพราะบางคนเขาต้องทำงานหาเงิน บางคนต้องดูแลพ่อแม่ ขอแค่เขาอยากเรียนจบ อยากมีวุฒิก็มาเรียนห้องเรียนระบบสองกับเรา ทำงานของตัวเองไปแล้วก็จะมีครูเข้ามาถามทักษะอาชีพ อย่างการทำนา ต้องใช้ปุ๋ยกี่กระสอบ ถ้าเขาตอบได้ นี่ก็คือการเรียนรู้ของเขาแล้ว เขาก็สามารถเรียนจบได้เหมือนคนอื่นๆ ” ผอ.พิเศษ กล่าวถึงรูปแบบห้องเรียนระบบสองคร่าวๆ 

ห้องเรียนระบบสอง นอกจากจะถูกปรับใช้กับเด็กนักเรียน หรือเด็กในพื้นที่ห้วยซ้อแล้ว โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ ยังทำความร่วมมือกับ ‘ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา’ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กๆ ให้ได้รับการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นเช่นเดียวกับเด็กๆ ในห้วยซ้อ แม้ว่าคณะครูจะต้องเดินทางไปสอน หรือทำกิจกรรมการเรียนรู้ข้ามจังหวัดทุกอาทิตย์ก็ตาม 

“ส่วนใหญ่ครูจะไปกัน 5-6 คน วันศุกร์ใกล้เลิกเรียนคาดสุดท้าย 15.30 ครูที่จะไปรอบนี้ก็ไปเตรียมสัมภาระถึงเชียงใหม่ก็ค่ำพอดี กินข้าว เข้าที่พัก เสาร์ก็ไปสอน ทำกิจกรรมจนถึงวันอาทิตย์อีกครึ่งวัน หรืออาจจะเลยไปบ่ายนิดๆ แล้วก็เดินทางกลับ ถึงเชียงรายราว 4-5 โมง ครูก็มีเวลาซักเสื้อผ้าช่วงค่ำๆ วันอาทิตย์” ข้อมูลจาก ผอ.พิเศษ

รวมระยะเวลาจากเชียงรายไปเชียงใหม่ไปกลับเกือบ 6 ชั่วโมง และการเสียสละเวลาวันหยุด 2 วันของคุณครู ไม่ได้ทำให้รถโรงเรียนห้วยซ้อฯ ที่ต้องเดินทางไปศูนย์การเรียนไร่ส้มฯ มีที่ว่างเพิ่มขึ้น แต่บางอาทิตย์กลับมีจำนวนผู้คนเกินกว่าจำนวนที่นั่งภายในรถด้วยซ้ำ 

“ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครูต้องมาทำอะไรแบบนี้ จนมาเจอเด็กๆ ที่ไร่ส้มฯ เขากระตือรือร้นที่อยากจะเรียน ถามอะไรก็ตอบ พยายามมีส่วนร่วมทุกกิจกรรม มันทำให้เราตื้นตันว่าเด็กๆ เขาอยากจะเรียนขนาดนี้ ครูอย่างเราก็อยากมาสอน อยากมามอบทักษะวิชาบางอย่างให้เขาได้ไปต่อยอดชีวิต ครั้งต่อมาก็เลยขอมาเองบ้างแม้ว่าจะไม่ได้รับมอบหมายก็ตาม” ครูแม็ก ภูวนัย หม่องพิไชย หนึ่งในคณะครูที่สอนวิชาการงานอาชีพ ไอที กล่าวถึงความรู้สึกในการสอนเด็กๆ ห้องเรียนระบบสอง 

ความยืดหยุ่น คือหัวใจหลักของห้องเรียนระบบสอง โดยที่คณะครูห้วยซ้อฯ ออกแบบการเรียนรู้เชิงกิจกรรมในแต่ละครั้งไม่ซ้ำกัน และมีการประเมินผลที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่การตัดเกรด หรือนับจำนวนการเข้าเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะเด็กๆ เสี่ยงหลุดระบบการศึกษาบางคนมีปัจจัยบางอย่างที่ไม่เอื้อให้เขาได้ใส่ชุดนักเรียนพร้อมเข้าแถวตอน 8 โมงเช้า แต่เด็กบางคนต้องสวมเสื้อแขนยาว รองเท้าบูทเข้าสวนยางตั้งแต่ตี 3 หรือบางคนต้องใช้ชีวิตในไร่ส้มตั้งแต่ฟ้าสางเพื่อทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว

ปัจจัยหลักๆ ที่ผอ.พิเศษ เห็นระหว่างการทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กเสี่ยงหลุดระบบหรือเด็กที่หลุดระบบการศึกษาไปแล้ว คือข้อจำกัดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเด็ก โดยเฉพาะปัจจัยทางเศรษฐกิจ และความไม่ยืดหยุ่นของระบบที่ไม่สามารถเข้ากับสภาพแวดล้อมของเด็กแต่ละคนได้

“เด็กอยากมาโรงเรียน แต่ปัญหาคือเขาไม่มีรายได้ ประกอบกับมาโรงเรียนแล้วขาดรายได้ บางคนต้องไปช่วยครอบครัวหารายได้ ถ้าเขามาโรงเรียนไม่มีใครไปช่วย ข้อนี้ทำให้เด็กอยู่ในภาวะที่เสี่ยงหลุดระบบ อีกอย่างผมมองว่าเป็นระบบของการศึกษาที่อาจจะไม่ตอบสนอง หรือเด็กอาจจะไม่เหมาะกับระบบวิธีการเรียนที่ต้องมา 8 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น เพราะอะไรต่างๆ มันเปลี่ยน ถ้าเรายังอยู่ในระบบหรือวิธีคิดเดิมๆ ผมว่ามันแข็งตัวเกินไป หมายถึงระบบการจัดการศึกษาในขณะนี้ทำให้เด็กหลายคนรู้สึกไม่เหมาะกับระบบนี้เลยออกดีกว่า”

ส่วนที่ยากที่สุดของการทำห้องเรียนระบบสองคือการปรับทัศนคติของครู เนื่องจากการทำงานห้องเรียนระบบสองต้องมีการวัดผล หรือติดตามผลงานต่างจากเด็กห้องเรียนปกติ ทำให้ครูมีภาระเพิ่มเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ 


“ตอนทำห้องเรียนระบบสองแรกๆ มีแรงเสียดทานจากคณะครูว่าเด็กบางคนไม่เข้าเรียนแต่ยังต้องมีเกรดให้ แต่ก็พยายามบอกครูๆ เขาว่าอย่าคิดว่าวิชา หรือเกรดเป็นของตัวเอง อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง หรือพยายามสลัดความคิดเรื่องภาระออกไปให้เขา ถ้าครูคนไหนเต็มใจทำก็ทำ ถ้าไม่ทำเราก็ไม่บังคับ”

ปัจจุบันโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคมฯ จัดตั้งคณะครูทำงานเกี่ยวกับห้องเรียนระบบสองขึ้นซึ่งมี ครูกิ๊ก พรรณภา ชิมโพธิ์ครัง และ ครูนุ้ย จารุณี ทายะ เป็นหัวหน้าผู้ดูแลเป็นหลัก โดยทุกครั้งก่อนที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในห้วยซ้อเอง หรือไปที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มฯ จะมีการประชุมคณะครูและถามความสมัครใจ 

“แรกๆ ก็มีครูไปไม่กี่คนก็เอาครูที่พร้อมและคิดว่าไปได้ หลังๆ มีการเรียกร้องว่า ‘หนูอยากไปไร่ส้ม’ หมายถึงครูนะ เพราะทีมที่ไปแล้วกลับมาก็จะมาคุยกันว่ารู้สึกมีพลังแทนที่จะไปเหนื่อยกับการทำงาน เพราะเด็กไร่ส้มเป็นเด็กที่โหยหาการเรียนรู้ ให้ทำอะไรก็ทำ ให้ความร่วมมือหมด ผมก็ต้องเลือกครูไป บางทีเราก็ต้องดูว่าไปแล้วเข้ากับทีมได้มั้ย ดูเป็นรายกรณี”

ในแต่ละครั้งก่อนเดินทางไปศูนย์การเรียนไร่ส้มฯ คณะครูจะมีประชุมจัดการเรียนการสอนว่าครั้งนี้จะเน้นทักษะอะไรที่สามารถเชื่อมโยงสู่ข้อเรียนรู้ด้านวิชาการได้

“การไปสอน หรือไปจัดกิจกรรมให้เด็ก ครูต้องเตรียมพร้อมก่อน ซึ่งโจทย์ที่ได้รับจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามเด็กๆ แต่ละครั้งที่เราไปสอนแล้วถอดออกมาเป็นบทเรียน เช่น เดือนที่แล้วครูที่ไปสอนแจ้งว่าเด็กมีความสนใจอยากเรียนภาษาอังกฤษนะ เดือนนี้ครูก็จะมีประชุมกันเพื่อจัดการเรียนรู้ เราก็จะมาเซ็ตทีมที่พอจะไปได้ บางทีก็ไม่ใช่ครูภาษาอังกฤษหรอก อาจจะเป็นครูที่มีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ ครูทั้งหมด 5-6 คนก็จะต้องมาออกแบบกิจกรรม เหมือนไปเป็นวิทยากร พอไปถึงต้องเช็กอินยังไง กิจกรรมที่หนึ่ง สอง สาม ต้องคุยกัน คนนี้รับผิดชอบเซคชันนี้ คนนี้เตรียมสื่อ เตรียมข้อมูล เตรียมวัสดุอุปกรณ์อะไร” ผอ.พิเศษกล่าว

เมื่อไปถึงที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มฯ คณะครูจะเช็คอินเด็กๆ เพื่อสร้างความผ่อนคลายก่อนการเรียนรู้ รวมถึงการพูดคุยจุดประสงค์ของการเรียนให้เข้าใจโดยทั่วกัน แล้วค่อยเข้าสู่เซคชันการเรียนรู้ถัดไป

ปี 2568 หรือถ้านับเป็นภาคการศึกษา 2564 ห้องเรียนระบบสองมีนักเรียนในโครงการทั้งหมดกว่า 70 คน แบ่งเป็นที่ห้วยซ้อฯ 50 คน และที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา 21 คน โดยมีการจัดการเรียนรู้ที่ไม่ได้พบกันเท่านั้น แต่มีความยืดหยุ่นด้วยการออกแบบแบบ 6 Ons คือ Online การเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ ที่จะเปิดการเรียนการสอนโดยครูทุกวันพุธ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 18.00 -19.00 น. On-site พบปะกันที่โรงเรียนเพื่อชี้แจงรายละเอียดการเรียน ทั้งหมดแค่ 3 ครั้ง คือต้นเทอม กลางเทอม และปลายเทอม On-demand เรียนรู้ด้วยตัวเองพร้อมเก็บภาพ/ วิดีโอ เพื่อเก็บเป็นบันทึกร่องรอยการเรียนรู้ On-Hand เรียนรู้ผ่านวิดิโอและแบบฝึกหัด เน้นการทำแบบฝึกหัดจากคลิปการสอนที่ครูจัดทำขึ้น  On-Home ทำกิจกรรมร่วมกับที่บ้าน การมีส่วนร่วมกิจกรรมกับที่บ้าน  On-Community เรียนรู้จากชุมชน เน้นการเข้าไปมีส่วนร่วมต่างๆ กับชุมชน

“เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องเรียนทั้ง 6 Ons เอาที่เขาพร้อมและสะดวก เพราะเขามีข้อจำกัดอยู่แล้ว ถ้าไปยกว่าเธอต้อง 6 Ons มาเป็นเงื่อนไขในชีวิตเขาอีกมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เรามีข้อเสนอเพิ่มด้วย ถ้านอกเหนือจาก 6 Ons แล้วเธอมีอะไรดีๆ ให้ครูแทน แล้วโรงเรียนรับได้ก็เอามาหนึ่งในการเรียนรู้เทียบจบ”

“วันนี้จะได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับทักษะไอที การหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต มีทักษะวิชาการงานอาชีพก็คือหาข้อมูลมาต่อยอดอาชีพด้วยการโยนโจทย์ให้พวกเด็กๆ เอาส้มของขึ้นชื่อไร่ส้มไปทำเมนูอะไรขายได้บ้าง แล้วภาคบ่ายก็จะมีพาเด็กๆ ทำข้าวพอง เผื่อเขาต่อยอดเอาไปขายต่อได้” ครูกิ๊ก เล่าถึงกระกวนการเรียนรู้ในครั้งนี้ 

กิจกรรมการเรียนรู้ของห้องเรียนระบบสองไม่มีตัวชี้วัดแน่ชัด แต่ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นร่องรอยการเรียนรู้แทน 

“เอาสิ่งที่เด็กได้ลงมือทำมาเป็นร่องรอยมากกว่า แล้วครูก็พยายามเชื่อมโยงร่องรอยนั้นว่าไปตรงกับตัวชี้วัดไหน ได้บ้างไม่ได้บ้าง อาจจะต้องอยู่บนพื้นฐานการยืดหยุ่นให้เด็ก มันจะใช้มาตรฐานเหมือนปกติทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้นเด็กจะไปไม่รอดหรอก สุดท้ายเด็กก็หลุดระบบ เราต้องยืดหยุ่นทั้งความคิดและวิธีการค่อนข้างสูงพอสมควร” ผอ.พิเศษกล่าว

ครูหนิง หทัยชนก ถาแหล่ง ผู้รับผิดชอบดูแลวิชาข้าวพอง กล่าวว่า ก่อนที่จะฝึกปฏิบัติจริง จะมีการเรียนรู้เรื่องการคำนวณต้นทุนก่อน

“ก็จะถามเด็กๆ ว่าทำข้าวพองต้องใช้ข้าวกี่กรัม น้ำผึ้งกี่กรัม เกลือเท่าไร แล้วช่วงที่ฝึกทำจริงก็ต้องทำตามสูตรที่มีการชั่งตวงตามหลักถูกต้อง จริงๆ แล้วคิดว่าการทำแบบนี้ไม่ได้อะไร แต่ในอนาคตเขาอาจจะเอาการทำข้าวพองไปหารายได้ก็ได้ เพราะครูก็เคยทำขายในโรงเรียน และการคำนวณเรื่องส่วนผสมก็คือการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไปในตัว”

“เด็กๆ มาถ่ายรูปใส่ใบวุฒิการศึกษา แต่งตัวทำผมให้เรียบร้อยแล้วมาต่อแถวกันเลย” ครูแชมป์ ธิติสรรค์ กันทะนิด หนึ่งในคณะครูที่เดินทางไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มฯ กล่าวว่าการมาสอนครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับเด็กๆ รุ่นนี้ เพราะถ้าใครผ่านเกณฑ์ก็จะได้รับวุฒิการศึกษาตามระดับที่ลงเรียนไว้ ซึ่งคณะครูต้องเป็นผู้ประเมิน ตรวจสอบการเรียนรู้ทุกอย่างที่ผ่านมาของเด็กๆ รวมถึงแม้กระทั่งตัดต่อรูปทำใส่ในใบวุฒิ

“ขอแค่มีหน้าพวกเขา ครูก็จะเอาไปตัดต่อ เราบังคับถ่ายทุกคน จบไม่จบไม่รู้ถ่ายไว้ก่อน ซึ่งเราก็หวังว่าเด็กจะจบทุกคนนะ” ครูแชมป์ กล่าว 

การทำงานของคณะครูเข้มข้นที่สุดคือช่วงการประเมินจบ โดยต้องตรวจสอบบันทึกร่องรอย การประเมิน ถอดบทเรียนของเด็กๆ แต่ละคนเพื่อประชุมกับคณะครูทุกคนอีกที นอกจากนี้ยังมีการแนะแนวทางเลือกให้กับคนที่สนใจเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น

“ใจจริงผมไม่อยากให้มีเด็กระบบสองเพิ่มขึ้นสักคนเลยนะ ฟังดูใจร้ายแต่จริงๆ คืออยากให้ทุกคนได้เรียนในระบบปกติ ถ้าไม่มีห้องเรียนระบบสองแล้วก็คือจะไม่มีเด็กคนไหนเสี่ยงหลุดระบบแล้ว แต่ตอนนี้ก็พยายามทำได้ สร้างทางเลือกให้เด็กได้มากที่สุด พวกเขาก็เหมือนลูกหลาน” ความในใจทิ้งท้ายจาก ผอ. พิเศษ


เรื่อง : มยุรา ยะทา 
ภาพ : ธาตรี แสงมีอานุภาพ