เด็กบางคนไม่มีแม้แต่ชื่อในทะเบียนบ้าน แต่ครูจะจำชื่อเขาได้เสมอ : บทสัมภาษณ์ ด.ต.หญิง มาลินณา สังข์แก้ว ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

เด็กบางคนไม่มีแม้แต่ชื่อในทะเบียนบ้าน แต่ครูจะจำชื่อเขาได้เสมอ : บทสัมภาษณ์ ด.ต.หญิง มาลินณา สังข์แก้ว ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

ทางที่ต้องข้ามสิบสองลำห้วย เพื่อมาเรียนหนังสือ

บ้านถ้ำหิน…ชื่อที่ฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากนิทาน แต่เด็กที่อยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตอยู่กลางโรคระบาด ไข้ป่า และความเงียบ ระยะทางจากอำเภอแค่สิบกว่ากิโลเมตร แต่ต้องข้ามลำห้วยสิบสองสายก่อนถึงโรงเรียน

บางช่วงของปี น้ำหลากจนข้ามไม่ได้ เด็กต้องหยุดเรียนโดยไม่มีใครออกใบลาให้ บางคนเปียกปอนตั้งแต่เช้าแต่ยังยิ้มได้เมื่อเห็นหลังคาโรงเรียนลิบ ๆ อยู่ตรงหน้า

ถนนที่เป็นลูกรังจะกลายเป็นโคลนเมื่อฝนตก ล้อรถมอเตอร์ไซค์จมดินเหมือนตั้งใจไม่ให้ใครไปไหนได้ง่าย ๆ

แต่พวกเขาก็ยังมา

ที่นี่ไม่อยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษา แต่สังกัด “หัวใจ” ของครู ที่ยืนอยู่ตรงนี้มานานพอจะรู้ว่า บางทีการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องในหลักสูตร แต่คือคำว่า “เราจะไม่ปล่อยมือเธอ”

ห้องเรียนที่ไม่มีใครเหมือนกันเลย…แต่ทุกคนคือ ‘นักเรียน’

โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้ศูนย์อพยพ เด็กบางคนเป็นไทย บางคนเป็นพม่า บางคนเป็นกะเหรี่ยง บางคนไม่มีแม้แต่เอกสารยืนยันตัวตน แต่ทั้งหมดนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน เรียนภาษาไทย…ที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของใครเลย

บางคนพูดไทยไม่ได้เลยตอนวันแรกที่มาเรียน บางคนเข้าใจคำสั่งครูแค่ครึ่งเดียว แต่ทุกคนถูกนับเป็นนักเรียนเหมือนกันหมด

ผู้ปกครองจำนวนมากก็ไม่สามารถอ่านหนังสือไทย ไม่เข้าใจว่าการบ้านคืออะไร ไม่รู้ว่าการเรียนต่อมีขั้นตอนแบบไหน ครูที่นี่จึงต้องสื่อสารกับบ้านทีละหลัง ช่วยแปลคำว่า “อนาคต” ให้เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในห้องเรียนหนึ่ง เด็กอายุห่างกันเกือบสิบปี นั่งอยู่บนเสื่อผืนเดียวกัน คนหนึ่งเพิ่งฟังรู้เรื่อง อีกคนเพิ่งเขียนตามได้

บางคนอายุ 14 เพิ่งเข้า ป.1 บางคนไม่มีบ้านให้อยู่ แต่มีโรงเรียนให้กลับมาเสมอเด็กบางคนเป็นไทย บางคนเป็นพม่า บางคนเป็นกะเหรี่ยง บางคนไม่มีแม้แต่เอกสารยืนยันตัวตน แต่ทั้งหมดนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน เรียนภาษาไทย…ที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของใครเลย

บางคนอายุ 14 เพิ่งเข้า ป.1 บางคนไม่มีบ้านให้อยู่ แต่มีโรงเรียนให้กลับมาเสมอ

เด็กบ้านไกล กับบ้านที่ไม่มีเส้นทาง

เด็กที่นี่ไม่ได้ “โดดเรียน” บางคนแค่ “หลง” อยู่ระหว่างทาง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไป ครูต้องเดินเข้าป่า ตามหาเด็กในสวนยาง ในความเงียบที่ไม่เคยเป็นข่าว

บางครั้ง เด็กก็ออกจากบ้านแต่ไปไม่ถึงโรงเรียน ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าหิว เหนื่อย หรือเจอสิ่งเร้าระหว่างทางที่ดึงตัวเขาออกไปจากบทเรียน

บางคนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กะเวลาออกจากบ้านให้ถึงโรงเรียนทันเคารพธงชาติ แต่ล้อจักรยานติดโคลน รองเท้าหลุดกลางทาง หรือฝนตกหนักเกินไปจนต้องนั่งรอใต้ต้นไม้

บางคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อาศัยอยู่กับญาติในหมู่บ้านเพราะบ้านจริงอยู่ไกลเกินกว่าจะมาเรียนได้ทุกวัน

บางคนไม่ได้มาโรงเรียนเพราะไม่อยากเรียน แต่อยู่บ้านเพราะไม่มีค่ารถ ไม่มีใครพามา ไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนน้องเล็ก

และเมื่อเด็กหายไปจากห้องเรียน ไม่มีเสียงประกาศ ไม่มีหนังสือแจ้งเตือน มีแต่ครูที่เริ่มนับชื่อ…แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง เพราะรู้ว่า ต้องไปตามอีกแล้ว”โดดเรียน” บางคนแค่ “หลง” อยู่ระหว่างทาง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไป ครูต้องเดินเข้าป่า ตามหาเด็กในสวนยาง ในความเงียบที่ไม่เคยเป็นข่าว

บางครั้ง เด็กก็ออกจากบ้านแต่ไปไม่ถึงโรงเรียน ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่าหิว เหนื่อย หรือเจอสิ่งเร้าระหว่างทางที่ดึงตัวเขาออกไปจากบทเรียน

การศึกษา…คือเครื่องคุ้มครองเพียงชิ้นเดียวที่เด็กเหล่านี้มี

ไม่มีสัญชาติ ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีใครในระบบรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ แต่โรงเรียนรู้

โรงเรียนไม่ถามว่าเด็กมีบัตรไหม ไม่ได้ดูว่าเขาเป็นใครจากเอกสาร แต่ดูจากแววตาว่าเขาอยากเรียนหรือไม่

ที่นี่ เด็กที่ถือบัตรเขียว ขอบแดง หรือไม่มีบัตรเลย ได้รับการปูเสื่อให้นั่งเรียนเหมือนกันหมด เด็กที่ไม่มีเอกสาร ยังคงได้รับหนังสือเรียน อาหารกลางวัน และบางครั้ง…ความเข้าใจจากใครสักคนเป็นครั้งแรกในชีวิต

เพราะการศึกษาไม่ใช่แค่การปูพื้นฐานชีวิต แต่คือการปกป้องจากความไม่เท่าเทียมที่อยู่ล้อมรอบ

ปพ.1 กลายเป็นเอกสารชิ้นแรก และอาจเป็นชิ้นเดียว ที่บอกว่าเด็กคนนี้เคยเป็นนักเรียน เคยมีตัวตน เคยมีใครเรียกชื่อเขาด้วยความตั้งใจ

บางครั้ง เด็กเหล่านี้ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย นอกจากความหวังว่าจะมีใครเห็นว่าเขาก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่ควรจะได้เรียน ได้โต ได้ฝันไม่ได้ดูว่าเขาเป็นใครจากเอกสาร แต่ดูจากแววตาว่าเขาอยากเรียนหรือไม่

ปพ.1 กลายเป็นเอกสารชิ้นแรก และอาจเป็นชิ้นเดียว ที่บอกว่าเด็กคนนี้เคยเป็นนักเรียน เคยมีตัวตน เคยมีใครเรียกชื่อเขาด้วยความตั้งใจ

โรงเรียนที่ไม่มีแม่ครัว ไม่มีภารโรง

แต่มีเด็กที่ทำอาหารให้เพื่อนเองทุกวัน

ที่นี่ไม่มีแม่ครัว ไม่มีภารโรง ไม่มีคนเก็บเศษใบไม้ ไม่มีใครล้างห้องน้ำนอกจากเด็กนักเรียนเอง

เด็กบ้านไกลที่มาอยู่ประจำ ต้องตื่นเช้าเก็บไข่ไก่ ให้อาหารสัตว์ กวาดสนาม และดูแลโรงเรียนเหมือนบ้านของตัวเอง

จากแปลงผักถึงจานข้าว ทุกอย่างถูกปลูก ถนอม เก็บรักษา และส่งต่อโดยมือของนักเรียนเอง เด็กบางคนไม่เคยรู้ว่ากะหล่ำปลีโตจากดินหน้าตาเป็นอย่างไร จนวันที่เขาต้องเก็บมันมาหั่นใส่หม้อแกง

ร้านค้าสหกรณ์กลายเป็นห้องเรียนที่ไม่มีเก้าอี้ แต่มีเครื่องชั่ง มีสมุดบัญชี และมีบทเรียนเรื่องความซื่อสัตย์ที่ต้องฝึกทุกวัน

เด็ก ๆ ที่นี่รู้ว่าวัตถุดิบหนึ่งอย่างต้องเดินผ่านกี่มือถึงจะกลายเป็นกับข้าวกลางวัน และพวกเขาเรียนรู้ว่าการทำให้เพื่อนอิ่ม คืออีกบทหนึ่งของความรับผิดชอบ

พวกเขาไม่ได้แค่กินอิ่ม แต่ได้เรียนรู้การอยู่รอดอย่างมีศักดิ์ศรี

ห้องเรียนของพวกเขาไม่ได้จบในสมุดจด แต่ทอดยาวไปถึงเล้าไก่ โรงเรือนผัก ร้านค้าสหกรณ์ และโต๊ะอาหารเด็ก ตชด. ต้องปลูก เก็บ ขาย คิดบัญชี และเรียนรู้ว่าข้าวจานหนึ่งเกิดจากน้ำมือหลายคู่ พวกเขาไม่ได้แค่กินอิ่ม แต่ได้เรียนรู้การอยู่รอดอย่างมีศักดิ์ศรี

ห้องเรียนของพวกเขาไม่ได้จบในสมุดจด แต่ทอดยาวไปถึงเล้าไก่ โรงเรือนผัก ร้านค้าสหกรณ์ และโต๊ะอาหาร

เด็กที่กลับมาในวันที่เขาเลือกจะ ‘ให้’

ไม่ใช่เด็กทุกคนจะเดินไปได้ไกลในแผนที่ชีวิตที่เราอยากให้เขามี บางคนเรียนจบ ป.6 แล้วออกไปทำงานในครัวของรีสอร์ท บางคนโตขึ้นพร้อมชื่อที่ยังไม่มีในระบบราชการ แต่กลับมา พร้อมกับไอศกรีมห่อใหญ่ในวันเกิด

เขายืนอยู่หน้าห้องเรียนเดิม บอกกับครูว่า “วันนั้นที่ครูให้ผมกินข้าว วันนี้ผมขอเลี้ยงคืนครับ”

เด็กบางคนไม่มีแม้แต่บัตรประชาชน แต่มีความทรงจำว่าเคยมีโรงเรียนอยู่กลางป่า ที่มีครูหนึ่งคน…ซึ่งไม่เคยลืมชื่อเขาเลย

และวันหนึ่ง เขาเลือกกลับมาเพื่อให้ใครสักคนรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาเคยรู้สึกหรือตำแหน่ง แต่อาจคือเด็กคนหนึ่งที่ย้อนกลับมาพูดว่า
“วันนั้นที่ครูให้ผมกินข้าว วันนี้ผมขอเลี้ยงคืนครับ”

เด็กบางคนไม่มีแม้แต่บัตรประชาชน แต่มีความทรงจำว่าเขาเคยมีโรงเรียน…และมีครูที่ไม่เคยลืมเขา

บางครั้ง ‘การสอน’ คือการตามหาเด็กคนหนึ่งกลับมาให้ทันเวลา

ไม่ใช่การสอนเลข วิทย์ หรือภาษาไทย แต่คือการตามหาเด็กที่ไม่ถึงโรงเรียน แล้วพูดกับเขาด้วยถ้อยคำที่ไม่ทำให้เขาหนีไปไกลกว่าเดิม

บางครั้ง เด็กไม่ได้หนีจากบทเรียน แต่หนีจากโลกที่เขารู้สึกว่าไม่มีที่ให้ยืน บางครั้ง เด็กไม่ได้อยากลาออกจากระบบ แต่แค่ไม่รู้ว่าระบบนี้มีใครเข้าใจเขาจริงไหม

ครูที่นี่จึงต้องรู้จักใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง และบางครั้ง…ก็แค่ต้องนั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร

บางวัน ครูต้องขี่รถเข้าไปถึงบ้านบนเขา ไปยืนรอเงียบ ๆ หน้าเพิงไม้ไผ่ แล้วเรียกชื่อเด็กคนนั้นเบา ๆ รอเขาโผล่หน้ามาอย่างเก้อ ๆ จากหลังบ้าน

บางครั้ง ครูต้องเล่าเรื่องของเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยหายไป แล้วกลับมาจบ ป.6 ได้สำเร็จ เพื่อให้เด็กคนใหม่เห็นภาพว่าการ ‘กลับมา’ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องอายใคร

การกลับมาของเด็กคนหนึ่ง อาจไม่ใช่เพราะคำสั่ง แต่เพราะความเงียบที่ไม่ตัดสิน และเพราะเขารู้ว่า ถึงหายไปนานแค่ไหน…ก็ยังมีใครบางคนที่รอเรียกชื่อเขาอยู่เหมือนเดิมวิทย์ หรือภาษาไทย แต่คือการตามหาเด็กที่ไม่ถึงโรงเรียน แล้วพูดกับเขาด้วยถ้อยคำที่ไม่ทำให้เขาหนีไปไกลกว่าเดิม

บางครั้ง เด็กไม่ได้หนีจากบทเรียน แต่หนีจากโลกที่เขารู้สึกว่าไม่มีที่ให้ยืน บางครั้ง เด็กไม่ได้อยากลาออกจากระบบ แต่แค่ไม่รู้ว่าระบบนี้มีใครเข้าใจเขาจริงไหม

ครูที่นี่จึงต้องรู้จักใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง และบางครั้ง…ก็แค่ต้องนั่งอยู่ข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไร

การกลับมาของเด็กคนหนึ่ง อาจไม่ใช่เพราะคำสั่ง แต่เพราะความเงียบที่ไม่ตัดสิน และเพราะเขารู้ว่า ถึงหายไปนานแค่ไหน…ก็ยังมีใครบางคนที่รอเรียกชื่อเขาอยู่เหมือนเดิมวิทย์ หรือภาษาไทย แต่คือการตามหาเด็กที่ไม่ถึงโรงเรียน แล้วพูดกับเขาด้วยถ้อยคำที่ไม่ทำให้เขาหนีไปไกลกว่าเดิม

บางครั้ง ต้องใช้ไม้แข็ง บางครั้ง ต้องใช้ความรักแบบที่ไม่ยอมแพ้

เธอเองก็เคยเดินข้ามสิบสองลำห้วยมาเรียน

และวันนี้เธออยู่ที่นี่…เพื่อให้เด็กไม่ต้องเสี่ยงอีกแล้ว

เธอคือเด็ก ตชด. เก่าคนหนึ่ง ที่เคยเสี่ยงทุกอย่างเพื่อได้เรียน ป.6
เธอเคยมีเพื่อนร่วมรุ่น 13 คน ได้เรียนต่อ 3 คน และเธอคือหนึ่งในนั้น

วันนั้น เธอเดินจากบ้านมาที่โรงเรียน ด้วยรองเท้าคู่เดียวและความเชื่อว่าการศึกษาอาจเปลี่ยนชีวิตได้

วันนี้ เธอกลายมาเป็นครูใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่เพื่อลดระยะห่างระหว่าง ‘เด็กที่ไม่มี’ กับ ‘การได้เรียน’

เธอไม่เพียงแค่สอนหนังสือ แต่ยื่นโอกาสให้กับเด็กที่ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าฝัน เพราะเธอรู้ว่าการได้เรียนไม่ใช่เรื่องธรรมดา

มันคือโอกาสที่บางคนต้องเดินข้ามสิบสองลำห้วยมาหา และเธอก็อยู่ตรงนี้…เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องเดินลำพัง