“เด็กเขาเดินเข้าไปบ้านไมตรีที่เป็นศูนย์กลางของโครงการ แล้วบอกว่าผมอยากเลิกยา” อาจารย์กริ่งกาญจน์ เจริญกุล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผู้ดำเนินงาน ‘โครงการการพัฒนาทักษะการผลิตสื่อดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชนนอกระบบการศึกษา’ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เล่าให้เราฟังในเช้าวันที่เหยียบจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะออกเดินทางไป ‘บ้านไมตรี’ ที่กองผักปิ้ง
‘ชุมชนกองผักปิ้ง’ เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีเขตแดนติดกับประเทศพม่า ซึ่งหากเราลองหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาคำว่ากองผักปิ้ง เราจะไม่เห็นหมุดหมายที่จะพาเข้าไปในชุมชน เว้นเสียแต่มีคนที่อาศัยอยู่ในนั้นกดแชร์โลเคชันมาให้
บางคนอาจคิดว่าพื้นที่ชุมชนห่างไกลเมืองหลวงน่าจะมีอากาศที่เย็นสบาย หายใจโล่งปอด แต่วันที่ก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ ฝุ่นควันที่พัดมาจากประเทศเพื่อนบ้านกลับคละคลุ้งเต็มอากาศ ค่า PM 2.5 ไต่ขึ้นระดับสีม่วง ทว่าเด็กๆ ที่กองผักปิ้งกลับไม่มีใครสวมหน้ากากเพื่อกรองฝุ่น
ซึ่งความอันตรายในอากาศที่เด็กๆ ในกองผักปิ้งสูดเข้าไป ไม่ต่างอะไรกับ ‘ยาเสพติด’ ที่สามารถเดินทางข้ามพรมแดน แวะเวียนเข้ามาเสิร์ฟถึงหน้าบ้านของพวกเขาได้
บ้านของ ‘ไมตรี จำเริญสุขสกุล-ยุพิน ซาจ๊ะ’ มักจะมีเด็กๆ ไม่ต่ำกว่า 5 ชีวิตแวะเวียนเข้ามา ‘พัก คุย เล่น นั่ง กิน นอน’ ตลอดเวลา นี่ไม่ใช่พื้นที่มั่วสุมแต่เป็น ‘บ้านที่รู้กัน’ ของเด็กชาวลาหู่ในหมู่บ้าน และเป็นพื้นที่จริงๆ ที่พวกเขาได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ปลดปล่อยความเป็นเด็ก ท่ามกลางการต่อสู้กับชีวิตในแต่ละวันแบบปากกัดตีนถีบ
ไร้พ่อแม่ ความยากจน วงจรยาเสพติด อคติต่อชาติพันธุ์ และถูกระบบการศึกษาผลักออกมา คือ เรื่องราวของเด็กแต่ละคนที่เล่าให้ฟัง
“เขาไม่รู้จะไปไหน ก็มาที่นี่” ไมตรีบอกว่านอกจากเด็กๆ จะมานั่งเล่นกันที่นี่แล้ว ยังได้รับการเรียนรู้ทักษะชีวิต และพัฒนาตัวเองไม่ให้เป็นอย่างที่ชาวบ้านรอบข้างเขาก่นด่า ผ่านการสนับสนุนภายใต้โครงการพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเยาวชนนอกระบบการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา
“บางวันก็พากันมาฝึกเต้นจะคึ (การเต้นเพื่อบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมสำคัญของชาวลาหู่)” ยุพินเล่าให้ฟัง
ทั้งคู่ได้รับฉายาว่าเป็นพี่เลี้ยงกองผักปิ้ง ที่เด็กที่นี่เรียกทั้งคู่อย่างสนิทสนมว่า ‘พี่’ ไม่ใช่ ‘ครู’ และเป็นเจ้าของบ้านที่รู้กันของเด็กๆ ในชุมชนนี้

“เวลาเด็กมาที่นี่ เขาจะมาพูดระบายให้เราฟัง”
ในช่วงแรกที่เริ่มเปิดบ้าน เด็กที่เข้ามามักไม่ค่อยเล่าอะไรให้ยุพินและไมตรีฟัง ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้คาดหวัง บีบบังคับ หรือสั่งสอน แต่ใช้วิธีการพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน อย่างการชวนเด็กกินข้าวด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน จนถึงวันหนึ่งเด็กคนนั้นก็จะเปิดใจเล่าทุกอย่างให้ฟังโดยที่พวกเขาไม่ต้องถาม ทำให้ไมตรีและยุพินรู้ว่าจะต้องช่วยเหลือเด็กคนนี้อย่างไร
วิธีการของไมตรีและยุพิน เริ่มจากการสอนให้เด็กสร้างเป้าหมายในชีวิตว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากพัฒนาไปด้านไหน และเมื่อเด็กมีเป้าหมาย พวกเขาก็จะหาวิธีส่งเสริมและชี้นำไปในเส้นทางที่สามารถเข้าใกล้ฝันได้มากขึ้น แต่จะไม่ได้บังคับตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าเด็กต้องการทำหรือเปล่า
สิ่งที่สำคัญที่ทำให้บ้านของไมตรีและยุพินเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชนชาวลาหู่จึงอาจไม่ใช่พื้นที่ของบ้านที่เป็นพื้นที่เดียวในชุมชนที่ห่างจากยาเสพติด แต่เป็นตัวของไมตรีและยุพินเองที่คอยรับฟังเรื่องราวของเด็กทุกคนด้วยความเข้าใจ และไม่ตัดสินมากกว่า

บางชุมชนอาจมีลานกิจกรรมของหมู่บ้านให้คนในชุมชนออกไปใช้สอย มีสนามกีฬาให้ไปออกกำลังกายด้วยกัน แต่สำหรับเด็กๆ ชุมชนกองผักปิ้ง พวกเขาไม่มีพื้นที่แบบนั้น หากไปใช้สนามฟุตบอลของโรงเรียนก็กลัวว่าจะเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับเด็กกลุ่มอื่น
เก้าอี้พลาสติกและลานดินหน้าบ้านของไมตรีและยุพินจึงเป็นพื้นที่กิจกรรมของเด็กในชุมชนที่แวะเวียนเข้ามา
“เด็กเล่นฟุตบอลกันตรงนี้แล้วก็เตะเข้าบ้านเราด้วยนะ ตอนมีลูกเปตองที่อาจารย์คนหนึ่งเอามาให้ เด็กก็เล่นกันอยู่ตรงนี้ ถ้าที่ตรงนี้ปิด เด็กๆ เขาก็ไม่มีที่ให้ไปเล่น”
แน่นอนว่าเมื่อเด็กๆ แวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้ง ย่อมเกิดสายตาที่มองอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งไมตรีเล่าว่าในช่วงแรกบ้านของเขาถูกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุม เพราะเด็กหลายคนมีพื้นเพที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและบุหรี่ บ้างก็เป็นเด็กดมกาว แต่การที่ไมตรีเปิดบ้านให้เด็กๆ กลุ่มนี้เข้ามาทำให้เขารู้ว่าเด็กเหล่านี้ต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ในตอนนี้กิจกรรมที่เด็กๆ อยากทำจึงไม่ใช่การรวมตัวกันเพื่อดมกาว แต่เป็นการเล่นกีฬา พูดคุย และร้องเพลง เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เกิดสังคมภายในรั้วบ้านที่ปลอดภัย ไม่มียาเสพติด

“คอกไก่เราให้เด็กเขาสร้างกันเองนะ”
ยุพินชี้ให้เราดูว่าคอกไก่บริเวณนี้เป็นฝีมือของเด็กๆ ภายใต้โครงการที่เธอและไมตรีเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งยุพินอธิบายว่าโครงการจะจัดหาอุปกรณ์สำหรับทำคอกไก่ และจัดหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาให้เด็กๆ เลี้ยง โดยเด็กๆ จะมีหน้าที่เวียนกันมาให้น้ำ เติมข้าว และเมื่อไก่โตเต็มวัยก็จะถูกขายให้กับคนที่สนใจ สร้างรายได้ให้กับเด็กๆ ในโครงการ
การเลี้ยงไก่เป็นหนึ่งในการเรียนรู้ที่ไมตรีและยุพินจัดสรรไว้ให้กับเด็กที่นี่ เพราะพวกเขามองว่าหากเด็กกลุ่มนี้มีรายได้จากการเลี้ยงไก่ พวกเขาจะถอยห่างจากยาเสพติดมาได้ก้าวหนึ่ง
“ผมเข้าใจในฐานะที่เป็นนักกิจกรรมว่า เรื่องปากท้องไม่ควรเป็นเรื่องหลักที่จะส่งเสริมให้กับเด็ก แต่แนวคิดนี้ อาจเหมาะกับเด็กพื้นที่อื่น แต่เด็กๆ ที่นี่ พวกเขาต้องเอาปากท้องให้รอดก่อน”
ไมตรีวางแผนว่าเขาอยากให้มีปลา มีหมู ให้เด็กกลุ่มนี้เลี้ยงและพัฒนาไปเป็นอาชีพของตัวเอง ซึ่งไมตรีมองว่ากิจกรรมสามารถเป็นตัวชี้นำความสนใจ การเรียนรู้ และอนาคตของเด็กๆ ได้ แต่มันจะมีประสิทธิภาพต่อเมื่อพวกเขามีอันจะกิน ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง
“การมีกินเพื่อปากท้องของเขาสำคัญกว่าอย่างอื่น ถ้าเขามีปากท้องได้ มีอาหารได้ เราค่อยๆ เพิ่มอย่างอื่นเข้าไปได้ ประเด็นคือ เขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีข้าวกิน แค่นั้นเอง”

ถังน้ำมะขามป้อมภายในบ้านของไมตรีและยุพินเป็นอีกหนึ่งการเรียนรู้เพื่อสร้างอาชีพให้กับเด็กและเยาวชนในโครงการ ซึ่งน้ำมะขามป้อมที่เราได้ลองชิมเป็นฝีมือของเด็กๆ ที่พวกเขาเริ่มจากการเก็บมะขามป้อมในป่ามาหมักเป็นระยะเวลาร่วมปี
“เราใช้อาหารเป็นฐานการเรียนรู้ วิธีคือเอาอาหารที่เราเคยทํามาสร้างคอนเทนต์ มีการถ่ายทำ ให้เขาออกแบบแพ็กเกจเพื่อขาย”
อาจารย์กริ่งกาญจน์อธิบายว่า การส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทำสื่อนั้นตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ‘ต้องเป็นสื่อที่กินได้’ เพื่อตอบสนองกับปัญหาปากท้องที่เด็กๆ กำลังเผชิญ โดยที่ผ่านมาทางโครงการได้หยิบเอาความรู้ด้านอาหารชาติพันธุ์มาเป็นบทเรียนให้เด็กและเยาวชนในโครงการเรียนรู้ที่จะทำ เรียนรู้ที่จะทำสื่อประกอบการขาย และเมื่อจบชั่วโมงเรียน เด็กและเยาวชนในโครงการก็สามารถนำสิ่งที่พวกเขาทำกลับไปกินที่บ้านได้

“บางคนนอนที่นี่ประจำนะ ส่วนมากจะเป็นเด็กผู้ชายที่มานอน”
ห้องนอนของเด็กๆ กลุ่มนี้เป็นห้องนอนที่ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากนัก นอกจากเตียง โต๊ะตัวเล็ก และพัดลม ซึ่งกองผ้าบนเตียงทำให้เราเห็นว่ามีคนเข้ามานอนที่นี่จริงๆ ส่วนผนังด้านในและกระจกถูกวาดเป็นตัวการ์ตูนเด็กผู้หญิงตาหวาน สลับกับการเขียนข้อความบางอย่างลงไป บ้างก็เป็นชื่อของตัวเอง บ้างก็เป็นคำที่เราอ่านไม่ออก ซึ่งยุพินบอกว่าบางครั้งคำที่เขียนบนกระจกก็เป็นคำหยาบที่เด็กเขียนด่ากัน ถึงจะมีใครลบไป แต่สุดท้ายเด็กที่มานอนค้างที่นี่ก็จะเขียนใหม่อยู่ดี
ยุพินเล่าว่า โดยปกติแล้วถ้ามีเด็กหลายคนมานอนที่บ้าน เด็กๆ จะพากันเอาผ้าปูพื้นเพื่อนอน ไม่ได้มีการเกี่ยงกันว่าใครจะนอนตรงไหน ซึ่งเป็นธรรมชาติของเด็กๆ ที่สบายใจเมื่ออยู่กับเพื่อน และถ้าเป็นหน้าร้อน พวกเด็กๆ จะพากันออกไปปูเสื่อนอนข้างนอก หากหนาวก็จะช่วยกันก่อไฟ

ความตั้งใจของไมตรีและยุพิน คือ การมีพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กมาพักพิงชั่วคราว เพื่อคอยดูแล คอยสอนเรื่องที่จำเป็นให้กับพวกเขา เพราะมีเด็กหลายคนที่ถูกครอบครัวทอดทิ้ง ไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปอาศัยอยู่กับญาติที่ไม่ได้เอาใจใส่อะไรมากนัก ซึ่งที่ผ่านมามีเด็กบางคนที่ต้องนอนในป่า และประทังชีวิตด้วยการแอบมาขโมยไก่ชาวบ้านไปกิน
“ตอนแรกที่เปิดบ้าน ไม่ว่าของกินอะไรก็หายหมด ผมไม่ได้ว่าอะไรเขาเพราะเข้าใจว่าหิว อยู่ไม่ได้ เลยต้องขโมย แต่ผมนั่งคุยกับเขา ปรับความคิดให้เขาใหม่ว่าจะเอาอะไรให้มาขออนุญาตก่อน ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะหยิบจับอะไรในบ้านก็จะมาขอก่อนเสมอ ”
ในตอนนี้ การเข้าออกที่นี่แทบจะเป็นกิจวัตรของเด็กๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการบอกล่วงหน้า ไม่จำเป็นต้องมีบัตรผ่าน หรือมีการลงชื่อจอง เพราะถ้าเด็กคนไหนอยากเดินเข้ามาก็สามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อ อยากนอนค้างก็นอนค้างได้ หรือถ้าไม่มีอะไรกินก็เข้ามากินข้าวที่บ้านแห่งนี้ได้
แม้วันที่เราเข้าไปนั่งคุยกับพี่เลี้ยงทั้งสองจะไม่มีเด็กคนไหนเดินเข้ามาในพื้นที่บ้าน แต่ก็มีมอเตอร์ไซต์ 2-3 คัน ที่ชะลอเมื่อผ่านรั้วบ้านของไมตรี-ยุพินเพราะอยากเข้ามาตามปกติ เพียงแต่เพราะมีคนแปลกหน้าอย่างเรานั่งอยู่พวกเขาจึงไม่ได้เข้ามา