โรงเรียนเล็กในศูนย์พักพิง… พื้นที่พิงใจของเด็กในวิกฤตสงคราม

โรงเรียนเล็กในศูนย์พักพิง… พื้นที่พิงใจของเด็กในวิกฤตสงคราม

“เด็กหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมเขาต้องมาอยู่ที่ศูนย์พักพิง ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กที่อื่น ส่วนในฐานะครู ก็คิดว่าทำไมเราไม่ได้สอน ไม่ได้เอาความสามารถมาช่วยพัฒนาเด็กอย่างเต็มที่กว่านี้ …แต่ก็เข้าใจสถานการณ์ค่ะ และรู้ว่าเราต้องพร้อมที่จะทำงานของเราให้ได้ ไม่ว่าจากที่ไหน หรือไม่ว่าในสภาพการณ์แบบใดก็ตาม”   

ครูหนูดี เสาวนีย์ สุขแสนศรี ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 2 จาก โรงเรียนนิคมสร้างตนเองประสาท 2 ซึ่งบรรจุเทอมแรก ณ ชุมชนบ้านเกิด ตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อันเป็นพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะของทหารไทยและกัมพูชามายาวนานกว่า 5 เดือน

ครูหนูดี เสาวนีย์ สุขแสนศรี

โดยนับตั้งแต่เหตุปะทะครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2568 โรงเรียนในพื้นที่ต้องประกาศเปิด-ปิดตามสถานการณ์ และต้องซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรกอยู่เสมอ และนี่เป็นอีกครั้ง ที่หลังโรงเรียนกลับมาเปิดได้ไม่กี่สัปดาห์ ช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม เสียงสัญญาณเตือนให้อพยพดังขึ้น ขณะที่ครูหนูดีกำลังเตรียมการสอนสำหรับเช้าวันถัดไป ครั้งนี้คุณครูบอกว่า “รู้สึกว่าเสียงสัญญาณจะดังยิ่งกว่าทุกครั้ง ทั้งจากเสียงตามสายชุมชน และจากข้อความเตือนภัยทางโทรศัพท์ ที่ส่งเสียงพร้อมกันเป็นร้อยเครื่อง”

คล้อยหลังไม่ถึงสิบสองชั่วโมง เช้าวันใหม่มาถึง ครูหนูดีก็มาอยู่กับผู้คนจากหลายหมู่บ้านที่ศูนย์อพยพ เธอไม่รีรอจะกวาดสายตาประเมินจำนวนเด็กพร้อมจำแนกช่วงวัยคร่าว ๆ จากนั้นจึงเริ่มงานของเธอทันที  

“ตั้งแต่ช่วงปะทะครั้งแรก เราได้ไปอยู่กับเด็ก ๆ ที่ศูนย์อพยพ ตอนนั้นโรงเรียนแต่ละแห่งยังไม่มีแผนเลยว่าจะดูแลเรื่องการเรียนรู้ของเด็ก ๆ กันอย่างไร แต่พอห้าเดือนผ่านมา พวกเราผ่านประสบการณ์ในศูนย์อพยพกันหลายครั้ง คราวนี้ทุกโรงเรียนมีการเตรียมการเรียนการสอนในภาวะฉุกเฉิน มีใบงานมีการบ้านสำหรับเด็กทุกระดับชั้น ตัวเราเองก็ต้องทำหน้าที่เดินทางไปพบเด็กในโรงเรียนของเราด้วย แต่ไม่ได้ไปทุกวัน เพราะเด็กโรงเรียนเราเกือบทั้งหมดอยู่ที่อีกศูนย์หนึ่งซึ่งไกลออกไป …แต่การอยู่ที่ศูนย์นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเด็ก ๆ ให้ดูแล ดังนั้นงานของเราก็ยังทำต่อไปได้ไม่ว่าอยู่ตรงไหนก็ตาม”  

‘งาน’ ที่ครูหนูดีว่า คือกิจกรรมที่จัดมาแล้วทุกครั้งที่เธอมาอยู่กับเด็ก ๆ ในศูนย์อพยพ เป็นกิจกรรมศิลปะ วาดภาพ ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน ด้วยจุดประสงค์ให้เด็กได้ผ่อนคลาย ทั้งเป็นความพยายามสำรวจอารมณ์ความรู้สึก โดยเลี่ยงวิธีสื่อสารผ่านถ้อยคำ

“ที่นี่จะแบ่งโซนตามอาคารต่าง ๆ ส่วนที่เราอยู่มีเด็กประมาณหกสิบคน ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ขี่รถออกมาจากพื้นที่ ก็คิดแล้วว่ารอบนี้ต้องทำกิจกรรมอีก เพื่อเสริมกับใบงานหรือการบ้านที่เด็กได้รับจากครูที่โรงเรียนอยู่แล้ว โดยใจความสำคัญของกิจกรรมคืออยากให้เด็ก ๆ ได้มีพื้นที่ระบายความรู้สึก และเอาตัวเองออกมาจากความตึงเครียดของสถานการณ์     

“การหยุดเรียนด้วยเหตุฉุกเฉินมันไม่เหมือนปิดเทอม อย่างแรกเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้นหรือสิ้นสุดเมื่อไหร่ ภาวะเช่นนี้นำมาซึ่งความเครียดซึ่งต้องเยียวยา ฉะนั้นพอมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงเข้าวันที่สาม เราจึงตั้งโต๊ะกิจกรรม ให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยส่งข่าวออกไป ว่าตรงนี้เราพร้อมเปิดรับเด็ก ๆ ทั้งวัน ตั้งแต่ช่วงเช้า เด็กก็ทยอยกันมา แล้วอาคารนี้มีเราคนเดียวที่เป็นครู หลายครอบครัวพอรู้เขาก็รู้สึกอุ่นใจ อยากให้เด็กมาอยู่กับเรา บางคนเอาลูกมาส่งแล้วก็นั่งดูลูก ๆ หลาน ๆ ทำกิจกรรมอยู่ด้วย”          

‘จดหมายฉบับแรก …จากเพื่อนชายแดน’

ครูหนูดีบอกว่า นับตั้งแต่เสียงแรกจากการปะทะดังขึ้น ชีวิตของคนในพื้นที่ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม โดยเฉพาะกับการอพยพรอบล่าสุดนี้ ที่ตั้งแต่เช้าจนค่ำ จะมีเสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงเล่าบอกของชาวบ้านถึงข่าวลือต่าง ๆ เซ็งแซ่ตลอดทั้งวัน

“เราอยู่ในเขตเมืองยังรับแรงสะเทือนได้ชัดมาก รู้สึกว่าความรุนแรงรอบนี้ค่อนข้างหนัก และขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ซึ่งก็ตรงกับที่มีการเตือนว่าแม้จะอยู่ในศูนย์อพยพ แต่ครั้งนี้เราต้องเตรียมพร้อมโยกย้ายได้ทุกเวลา ฉะนั้นเราอยู่กับเด็กก็ต้องคอยสำรวจและปกป้องจิตใจของเขา เพราะความกลัวของเขา เรารับรู้ได้ ดังนั้นการจะไปถามเขาว่ารู้สึกยังไง เป็นยังไงบ้าง มันเหมือนเรายิ่งไปตอกย้ำความกลัวนั้น ซึ่งจากที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมศิลปะ มันทำให้เราค่อนข้างแน่ใจว่าจะเข้าถึงเด็กได้ดีกว่า

“รอบนี้เราเริ่มกิจกรรมด้วยโจทย์เรื่อง ‘จดหมายฉบับแรกจากเพื่อนชายแดน’ เราจะแจกกระดาษ สี และซองจดหมาย รวมถึงดินน้ำมันให้ทุกคน เพื่อให้เด็กได้เขียน ได้วาด หรือได้ปั้นความรู้สึกข้างออกมา โดยเป็นหัวข้ออะไรก็ได้ ซึ่งผลงานที่ออกมา ก็ทำให้เห็นว่าเมื่อเด็กได้จดจ่อกับงานตรงหน้า เขาจะแสดงออกมาให้เรารู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันส่งผลอย่างไรต่อตัวเขาบ้าง โดยหลายคนจะเลือกวาดภาพโรงเรียน วาดตัวเขาเองตอนเล่นกับเพื่อน ๆ หรือบางคนก็วาดภาพชุมชนที่เคยสงบสุข มีบ้างที่ปลดปล่อยความรู้สึกข้างในออกมาเป็นภาพของทหาร ปราสาท เครื่องบินทหาร พอเราถามว่าเอามาจากไหน เขาก็บอกว่าเห็นจากในข่าว หรือบางคนก็บอกว่าได้ยินผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ตรงนี้มันก็ทำให้เรายิ่งต้องพยายามช่วยดูแลเรื่องการรับข่าวสารของเด็ก ๆ ด้วย”

ครูหนูดีสะท้อนว่าใจความสำคัญของกิจกรรม คือต้องการพาเด็ก ๆ ออกจากเหตุการณ์ปะทะ จากความรุนแรงของสงคราม ไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง หรือโลกอีกใบหนึ่ง ที่จินตนาการจะมาช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย มีความหวัง และเติบโตจากภายในได้ แม้ยังไม่รู้ว่าชีวิตปกติที่เคยมีจะกลับมาเมื่อไหร่

“ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะและต้องปิดโรงเรียน เราคิดมาตลอดว่าเด็ก ๆ ไม่ควรต้องเจอสถานการณ์อย่างนี้ เลยอยากพาเขาออกไปให้ได้ แม้จะแค่ชั่วคราว กิจกรรมที่คิดไว้จึงตั้งใจจะให้เขาได้เขียนจดหมายทุกวัน แล้วถึงวันกลับบ้านเราจะมาเปิดอ่านด้วยกัน และทิ้งความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ที่นี่ ไม่เอาติดตัวออกไป เพราะเราอยากให้เมื่อถึงวันนั้น เด็ก ๆ ทุกคนจะสามารถก้าวเดินต่อไปได้ โดยเหลือร่องรอยของความรุนแรงหรือความสูญเสียไว้ในใจให้น้อยที่สุด”