เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 หนังสือพิมพ์มติชนและมติชนออนไลน์ ร่วมกับ AIS จัดงานสัมมนาเพื่อสังคม “AIS-Matichon Talks for Thailand 2025: AI for Equality เติมพลังเท่าเทียม” ชวนสังคมร่วมค้นหาคำตอบต่อคำถามสำคัญของยุคสมัย เมื่อเทคโนโลยี AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกมิติของชีวิตมนุษย์ ไม่เพียงในแง่ของการเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึก แต่ยังสะท้อนประเด็นอ่อนไหวอย่าง “ความเหลื่อมล้ำ” โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่อาจยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีนี้ได้
หนึ่งในกิจกรรมสำคัญของงานคือวงเสวนาในหัวข้อ “AI ตัวช่วย – ตัวฉุด ความเหลื่อมล้ำ กับการสร้างโอกาส–ลดเหลื่อมล้ำในมิติสังคมไทย?” โดยมีวิทยากรมากประสบการณ์ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้แก่ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) รศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ รองอธิการบดีฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน มหาวิทยาลัยมหิดล ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ผศ.ดร.ราชศักดิ์ สมยานนทนากุล กรรมการและเลขานุการ สมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ดำเนินรายการโดย มนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัล

ดร.ไกรยส กล่าวว่า หากมองในภาพรวมของประเทศไทย จะเห็นว่าประชาชนจำนวนมากเริ่มสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ การมองไปข้างหน้าอีก 10–20 ปี เพราะในช่วงเวลานั้น เด็กในวันนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเข้าสู่วัยทำงาน เราจำเป็นต้องคาดการณ์ว่า “อาชีพใดจะหายไป และอาชีพใดจะเกิดขึ้นใหม่” เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการเรียนรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

จากข้อมูลของ กสศ. พบว่า ปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนไทยอายุ 3–18 ปี จำนวนกว่า 880,000 คน ยังอยู่นอกระบบการศึกษา หรือคิดเป็นราว 10% ของเด็กทั้งหมดในวัยนี้กว่า 8 ล้านคน เด็กกลุ่มนี้ไม่เพียงขาดโอกาสทางการศึกษาเท่านั้น แต่ยังแทบไม่มีทางเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้เลย เพราะเพียงแค่การเรียนพื้นฐานในห้องเรียนปกติยังไม่ทั่วถึง
ในอีกด้านหนึ่ง รายได้เฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน โดยมีระยะเวลาการศึกษาเฉลี่ยเพียง 9 ปี หรือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งสะท้อนว่า “โอกาสทางการศึกษา” ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นของความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี หากต้องการให้คนไทยสามารถใช้ AI ได้อย่างเต็มศักยภาพในอนาคต ต้องเริ่มจากการปลดล็อกโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึงเสียก่อน

“เมื่อเด็กไทยเข้าถึงการศึกษาได้แล้ว จะไปสู่โจทย์ต่อไปคือเรื่องการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยี เพื่อให้คนไทยในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้า สามารถทํางานร่วมกับ AI ที่จะเติบโตไปเป็น AGI ในอนาคตได้พร้อมกัน” ดร.ไกรยส ภัทราวาท
อย่างไรก็ตาม ดร.ไกรยส แสดงความกังวลว่า หากพัฒนาการของ AI ไปสู่ AGI (Artificial General Intelligence) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ระดับการศึกษาของคนไทยยังเฉลี่ยเพียง 9 ปี ก็อาจทำให้เด็กไทยจำนวนมากพลาดโอกาสสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนา

ในระดับโลกขณะนี้ หลายประเทศเริ่มนำ AI เข้าไปบรรจุในหลักสูตรการศึกษา บางแห่งอยู่ในขั้นทดลองหรืออยู่ระหว่างประเมินความเหมาะสม ขณะที่ประเทศไทยเองอยู่ในจุดกึ่งกลางของการศึกษาแนวทางดังกล่าว แต่ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่นำ AI เข้าสู่หลักสูตรอย่างเต็มรูปแบบ
ดร.ไกรยส ได้ยกคำกล่าวของ ศาสตราจารย์คาริม อาร์. ลัคฮานี (Karim R. Lakhani) จาก Harvard Business School ที่ว่า “AI won’t replace humans – But humans with AI will replace humans without AI.” หรือ “AI จะไม่มาแทนที่มนุษย์ แต่มนุษย์ที่ใช้ AI จะมาแทนที่มนุษย์ที่ไม่ใช้ AI” คำกล่าวนี้สะท้อนชัดเจนว่า ความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาในวันนี้คือความเหลื่อมล้ำของการใช้ AI ในอนาคต
ดร.ไกรยส ยังกล่าวถึงทิศทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดกรอบแนวทางการใช้ AI ในระบบการศึกษา ซึ่งคาดว่าภายในปี 2026–2027 จะเริ่มเห็นนโยบายที่ชัดเจนขึ้นในหลายประเทศ
“ต่อไปจะต้องมีหลักการประเมินความสามารถในการใช้ AI ของเด็กไทย ว่าสามารถใช้ได้ในระดับทั่วไปหรือขั้นสูง เรื่องนี้ควรเป็นนโยบายระดับชาติ และถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2551 ให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัลมากขึ้น”

สำหรับบทบาทของ AI ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ดร.ไกรยส มองว่า AI สามารถเป็นเครื่องมือช่วยเด็กที่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กในกลุ่มเปราะบาง ให้ได้รับโอกาสเรียนรู้ที่เหมาะกับตนเองมากขึ้น
ปัจจุบัน กสศ. ได้ร่วมมือกับ กสิกร บิซิเนส เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และ MIT Media Lab พัฒนาแอปพลิเคชันชื่อ “Future You” ซึ่งเป็นการจำลอง AI จากต้นแบบของผู้เรียน เพื่อคาดการณ์อนาคตในอีก 10–20 ปี ว่าเด็กแต่ละคนเหมาะกับเส้นทางอาชีพแบบใด รวมถึงใช้พูดคุยและให้คำปรึกษากับผู้เรียนได้ในรูปแบบ AI Assistant โครงการนี้จะถูกนำมาทดลองใช้กับเด็กกลุ่มเปราะบาง เพื่อทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อภาครัฐว่า AI ไม่ได้มีไว้เพื่อเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาคนและเติมเต็มช่องว่างของทรัพยากรในระบบการศึกษาได้อย่างแท้จริง

“ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ OECD ได้เห็นวิสัยทัศน์ในเรื่องห้องเรียนแห่งอนาคตที่ OECD คาดการณ์ว่า จะมีภาพของครูและเด็กที่ใช้ AI เป็นผู้ช่วยในการเรียนรู้ บางบทเรียน AI จะช่วยสอนเด็ก ขณะเดียวกันครูจะมีบทบาทสอนการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม และระบบการประเมินผลก็จะพัฒนาให้สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกับ AI ทั้งสำหรับนักเรียนและครู”
อย่างไรก็ตาม ดร.ไกรยสมองว่า การผลักดัน AI ให้เกิดขึ้นจริงในด้านการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จำเป็นต้องมีเสถียรภาพทางนโยบาย และความต่อเนื่องของรัฐบาล
“ถ้าเรามีความชัดเจนในนโยบายและมีกฎหมายรองรับ การใช้ AI จะเดินหน้าได้รวดเร็ว แต่หากยังขาดเสถียรภาพ นั่นจะเป็นความท้าทายสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำจากเทคโนโลยีนี้”

ในตอนท้าย ดร.ไกรยส กล่าวถึง ความปลอดภัยและภูมิคุ้มกันในการใช้ AI ว่า ไม่ว่ากฎหมายหรือโครงสร้างของรัฐจะดีเพียงใด สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญคือ การพัฒนาคนให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี
“การใช้ AI ก็เหมือนกบที่อยู่ในหม้อน้ำร้อน กบจะรอดได้ก็ต่อเมื่อรู้ตัวและกระโดดออกทันเวลา การรู้เท่าทันคือภูมิคุ้มกันที่แท้จริงของสังคม”
หากประเทศไทยสามารถพัฒนาคนให้มีความเข้าใจในเทคโนโลยี มีนโยบายที่ชัดเจน และลงทุนต่อเนื่องในเรื่องการศึกษา ก็จะทำให้การใช้ AI เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่หากปล่อยให้ทุนนิยมครอบงำการพัฒนาและการลงทุนด้าน AI จนความเหลื่อมล้ำขยายตัวมากขึ้น จะถือเป็นความล้มเหลวของกลไกตลาด ดังนั้น รัฐต้องเข้าใจและจัดการด้วยวิธีที่เหมาะสม เพื่อให้ AI กลายเป็นพลังขับเคลื่อนความเสมอภาค ไม่ใช่ต้นตอของความเหลื่อมล้ำ
